คืนนั้นเฮอหมิงโทรมาหาเกาเผิงและบอกเขาว่าภรรยาของเขาป่วยกะทันหัน ทำให้นัดในวันพรุ่งนี้เขาคงไม่สามารถไปเจอได้ เท่าที่ฟังดูน้ำเสียงของเขาไม่ค่อยจะสู้ดีเท่าไหร่นัก
“เอ่อ กัปตันเฮอครับ มะรืนนี้ผมจะย้ายไปหยูโจวแล้วนะครับ เรื่องนัดเจอคงต้องเป็นโอกาสหน้าแล้วล่ะครับ” เกาเผิงตอบ
เกาเผิงรู้สึกว่าเรื่องนี้มันบังเอิญไปรึเปล่า เขากำลังหาข้ออ้างไม่ไปตามนัดเฮอหมิงอยู่พอดี จู่ๆ เฮอหมิงก็โทรมายกเลิกเองซะงั้น
ผ่านไป 10นาที โทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง เฟลมมี่ที่อาศัยจังหวะออกจากลู่วิ่ง กระโดดแหยงๆไปหยิบโทรศัพท์และส่งมันให้เจ้านายอย่างประจบประแจง
เกาเผิงมองไปที่สายเรีกเข้าพบว่า เป็นสายของผู้อำนวยเฉิน ก่อนที่เขาจะกดรับ เกาเผิงได้หันไปถูกกับเฟลมมี่ว่า
“โอ้เฟลมมี่ดูแกในตอนนี้สิ เหงื่อยังไม่ทันออกเลย งั้นวิ่งเพิ่มอีก 1ชั่วโมงล่ะกันนะ”
‘ไม่นะ’ ตอนนี้เฟลมมี่ช็อคล้มลงไปบนพื้น ราวกับวิญญาณได้ออกจากร่างไปแล้ว
“เกาเผิง กลับมาจากเจียงหนานแล้วใช่มั้ย” เสียงของผูอำนวยกสนเฉินที่ทักทายอย่างอบอุ่น “พรุ่งนี้แธอว่างมั้ย พอดีฉันมีเรื่องที่จะไว้วานให้เธอช่วยอีกน่ะ ไม่ต้องกังวลไม่ใช่เรื่องไม่ดีอย่างแน่นอน”
“..ผู้อำนวยการเฉินครับทำไมคุณถึงลาออกจากสถาบันเพาะพันธุ์สัตว์อสูรล่ะครับ” เกาเผิงตัดสินใจถามเรื่องนี้ เพราะดูเหมือนเขาจะดำรงตำแหน่งนี้มานาน เขาอยู่มาตั้งแต่สถาบันนี้ได้รับการก่อตั้งขึ้นมาเลย
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็ทำให้ผู้อำนวยการเฉินรู้สึกเศร้าเล็กน้อย
“ที่นั่นมันเปลี่ยนไปแล้วล่ะ มันไม่ใช่ที่ที่ฉันเคยทำงานอีกต่อไปแล้ว โครงสร้างภายในองค์กรไม่ต่างจากเป็นแผนกหนึ่งของสหพันธ์ผู้ฝึกสอนสัตว์อสูรเลย การทำงานไม่ค่อยจะสะดวกเท่าไหร่ เฮ้อ..” ผู้อำนวยกรเฉินเงียบไป เขาไม่รู้จะพูดถึงเรื่องนี้อย่างไรดี
“ผมได้ยินมาว่าการก่อตั้งสหพันธ์ผู้ฝึกสอนสัตว์อสูรนี้สหพันธ์รัฐบาลโลกมีส่วนเกี่ยวข้องด้วยใช่มั้ยครับ” เกาเผิงรู้สึกว่า สองหน่วยงานนี้ค่อนข้างมีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดมาก
หลังจากที่ผู้อำนวยการเฉินได้ยินคำถามของเกาเผิงเข้าไป เขาก็หัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ใช่แล้วทางสหพันธ์รัฐบาลโลกกับสหพันธ์ผู้ฝึกสอนสัตว์อสูรเกี่ยวข้องกัน แต่ไม่ใช่ในแบบที่เธอคิดนะ ทั้งสององกรณ์ยังมีอำนาจในการตัดสินใจเป็นของตัวเองอยู่”
“นี่เกาเผิงรู้มั้ย ตอนนี้ฉันมาทำงานให้กองทัพอยู๋ เธอสนใจจะมาทำงานที่นี่มั้ย ด้วยศักยภาพของเธอ ฉันจะให้เธอคุมห้องแล็บและดูแลด้วยตัวเองเลย” เขารู้ว่าเกาเผิงชอบที่จะตัดสินใจและคุมทุกอย่างด้วยตัวเอง เขาเลยยื่นข้อเสนอนี้ให้เขา
หากเป็นเกาเผิงในเมื่อก่อนคงตกลงไปแล้ว แต่ตอนนี้เขาไปพบกับคุณตาแล้ว เทียบกับข้อเสนอของผู้อำนวยการเฉินแล้ว เขาเชื่อว่าคุณตาของเขาให้เขาได้มากกว่านี้อีก ดังนั้นเขาจึงตอบปฏิเสธไป
ผู้อำนวยดารเฉินรู้สึกเศร้าเล็กน้อยที่เกาเผิงตอบปฏิเสธไป แต่เขาก็ฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว
“ไม่เป็นไร ฉันเข้าใจ แต่ว่าฉันมีงานใหญ่รอเธออยู่ถ้าเธอสนใจล่ะนะ แต่ขอบอกไว้ก่อนว่าฉันจ่ายให้เธอเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้แล้ว แต่ฉันชดเชยด้วยวัตถุดิบหายากแทนล่ะกัน” ผู้อำนวยการเฉินรู้ดีว่า คนอย่างเกาเผิง หากนำเงินมาล่อจะติดกับได้อย่างง่ายดาย
“บอกมาเลยครับผู้อำนวยการเฉิน ผมจะพยายามอย่างเต็มที่ให้สุดความสามารถเลยครับ”
“ก็ได้ๆ เธอยังจำเรื่องของไส้เดือนเผ่ามนุษย์กินคนที่อพยพมาจากทะเลทรายต้าหลี่ได้มั้ย เมื่อเร็วๆนี้ทางสมาคมนักล่าได้ค้นพบว่ามีไส้เดือนเผ่ามนุษย์กินคนตัวที่อยู่ในชนชั้นนักรบ ตอนนี้มันกำลังจะกลายเป็นชนชั้นราชวงศ์แล้ว”
‘ไส้เดือนเผ่ามนุษย์กินคนตัวหนึ่งกำลังจะกลายเป็นชนชั้นราชวงศ์สินะ’ เกาเผิงกำลังย่อยข้อมูล
“ตอนนี้ทางกองทัพกำลังวางแผนที่จะจับเจ้าไส้เดือนตัวที่ว่ามา” ตอนนี้ผู้อำนวยการเฉินเป็นเสมือนตัวของกองทัพ ดังนั้นคำขอของเขาก็ไม่ต่างจากคำขอของกองทัพ
“แต่แผนนั้นไม่ค่อยเวิร์คเท่าไหร่ ฉันเลยคิดไว้อีกแผนหนึ่ง ฉันตั้งใจจะให้มันเลื่อนชนชั้นได้สำเร็จ เราเชื่อหากเราช่วยจ่าฝูงของมันทำสำเร็จ พวกมันทั้งหมดต้องกลับไปที่ทะเลทรายต้าหลี่อย่างแน่นอน”
เกาเผิงรู้สึกว่าพวกเขาดำเนินแผนการนี้มาได้สักพักแล้ว โดยตอนนี้ทะเลทรายต้าหลี่ถูกผู้ปกครองผืนทะเลทรายยึดครองอยู่ แม้ว่าอาณาเขาของทะเลทรายจะกว้างขึ้นหลังมหาภัยพิบัติ แต่พื้นที่แค่นั้นไม่เพียงพอให้สัตว์อสูรชนชั้นราชวงศ์อาศัยอยู่ร่วมกันได้ เมื่อแผนการช่วยเลื่อนชนชั้นสำเร็จ ขั้นต่อไปทางกองทัพต้องคอยเตรียมการรับแรงปะทะของสัตว์อสูรทั้งสองที่อาจส่งผลกระทบมาที่เมืองฉางอานแห่งนี้
แต่สิ่งเดียวที่เกาเผิงไม่เข้าใจ เขาจะอยู่ส่วนไหนของแผนการนี้ เพราะอะไรหลายๆอย่างเกินตัวเขาไปหน่อย เขาอาจทำได้แต่เฝ้าดูเท่านั้น
“ทำไมผู้อำนวยการเฉินมาติดต่อผมล่ะครับ คุณน่าจะติดต่อผู้ฝึกสอนสัตว์อสูรที่เก่งๆในกองทัพแทนมากกว่า”
“อืมม..” ผู้อำนวยการเฉินไปต่อไม่ถูก ก่อนจะพูอออกมาอย่างงุ่มง่าม
“ฉันเป็นคนคิดแผนนี้ขึ้นมาเองน่ะ แต่นายทหารชั้นสูงกับไม่ชอบแผนนี้ ดังนั้นฉันต้องพึ่งพาเส้นสายของตัวเองและดำเนินแผนการนี้ด้วยตัวเอง และไม่ต้องกังวลไปนะเพราะฉันยังมีนายทหารบางส่วนคอยหนุนหลังฉันอยู่ และหากแผนสำเร็จ เจ้าพวกนายทหารโง่พวกนั้นจะต้องหน้าเสียแน่ๆ ฮ่ะฮ่าๆ”
‘ดูเหมือนว่าทางผู้อำนวยการเฉินก็ลำบากอยู่หน่อยๆนะ’ เกาเผิงคิด
“แล้วไส้เดือนตัวนั้นล่ะครับ มันจะเลื่อนชนชั้นตอนไหนครับ”
“จากที่ได้รับรายงานมาว่าพวกไส้เดือนเผ่ามนุษย์กินคนจำนวนมากได้เริ่มรวมตัวกันแล้ว คาดว่าอีกสองวันมันจะเลื่อนชนชั้นตอนนั้นน่ะ หากเรื่องนี้ผ่านไปด้วยดี ฉันคงติดหนี้เธออย่างใหญ่หลวงแล้วล่ะ ฮ่ะฮ่าๆ”
ผู้อำนวยการเฉินรู้สึกขอบคุณเกาเผิงอย่างลึกซึ้ง แต่เขาเขินที่จะพูดออกมาเลยหัวเราะกลบเกลื่อน
นับตั้งแต่ที่เขาลาออกจากแผนกผู้เพาะพันธุ์สัตว์อสูรเขาก็เข้าใจสัจธรรมของชีวิต ดั่งคำกล่าวที่ว่า เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก ก่อนหน้าที่เขาจะติดต่อเกาเผิง เขาได้ติดต่อเพื่อนวงการหลายๆคน แต่พอพวกเขารู้ว่าปัญหาที่เขาเผชิญเกี่ยวข้องกับสัตว์อสูรชนชั้นราชวงศ์ พวกก็ปฏิเสธเขาอย่างไรเยื่อใยทันที ฉะนั้นผู้อำนวยการเฉินจึงรู้สึกซึ้งใจเป็นอย่างมาก
………
วันถัดมา
เกาเผิงได้เดินทางไปที่ทะเลสาบคันฉ่องที่อยู่ใกล้ๆเมืองฉางอาน ที่นี่เป็นที่นัดรวมพลที่ผู้อำนวยการเฉินนัดไว้
เมื่อเขามาถึงกลับพบผู้อำนวยการเฉินและคนอื่นมาถึงแล้ว
ที่ยืนอยู่ข้างผู้อำนวยการเฉินมีชายสองคนใส่ชุดลำลอง พวกเขาทั้งสองทั้งสูงทั้งอ้วน น้ำหนักรวมกันคงจะได้ 200กิโลกระมัง
“และนี่คือ” ผู้อำนวยการเฉินมองไปที่ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างๆเกาเผิง
“เขาเป็นญาติผู้ใหญ่ของผมน่ะครับชื่อลุงหลิว” เกาเผิงแนะนำลุงหลิวให้รู้จัก
“อรุณสวัสดิ์ทุกคนทานอะไรมารึยัง ฉันซื้อขนมปังมาฝากทุกคน กำลังร้อนๆอยู่เลย” ลุงหลิวได้ทักทายทุกคน พร้อมยื่นห่อขนมปังที่หอมกรุ่นให้กับพวกเขา
“ไม่เป็นครับพวกเรากินแล้ว” ผู้อำนวยการเฉินกล่ามพร้อมรอยยิ้มที่อึดอัดใจ
“เอ๋ ทำไมล่ะ เขาอุตส่าห์ซื้อมาให้เรา” ชายอ้วยด้านซ้ายพูดไปพลางหยิบขนมปังมาจากลุงหลิว
“ลุงนี่ใจกว้างมากเลย ขอบคุณสำหรับขนมปังนะ” ชายอ้วนด้านขวาก็เอื้อมมือไปหยิบขนมปัง ทั้งสองกินอย่างเอร็ดอร่อย
ผู้อำนวยการเฉินมองพวกเราอย่างเงียบๆ
“เอ่อ ลุงหลิวเขาชอบแต่งตัวแบบสบายๆ น่ะครับ” เกาเผิงพยายามพูดอะไรที่ช่วยทำให้บรรยากาศแปลกๆนี้หายไป
ผู้อำนวยการเฉินอาจรู้สึกแปลกๆที่เห็นลุงหลิวใส่เสื้อกีฬา กางเกงขาสั้นสีเทา และรองเท้ากีฬาสีเขียว ดูเผินเหมือนลุงหลิวแกมาออกกำลังกายเลย
“ฉันซื่อว่า หลิว ซาวทัง ยินดีที่ได้รู้จัก” ลุงหลิวกล่าวแนะนำตัว “พวกคุณสามารถเรียนฉันได้ว่าลุงหลิวหรือเฒ่าหลิวได้”
นี่เป็นครั้งแรกที่เกาเผิงได้ยินชื่อเต็มของลุงหลิว ชื่อของเขาเพราะกว่าที่คิด แต่อย่างไรก็ตามมันคงจะดีกว่าหากลุงหลิวแกตัวแต่งให้เรียบร้อยกว่านี้
“ฉันชื่อหลี่ชิง” ชายอ้วนทางซ้ายกล่าว
“ฉันชื่อฉินยี่” ชายอ้วนทางขวากล่าว
“เอ๋! และซองล่ะ” ลุงหลิวรู้สึกแปลกๆกับชื่อของทั้งสอง
—————————————-
li qing ren yi zhong (礼轻人意重): เป็นสำนวนของจีนแปลว่า ‘สิ่งที่ตาเห็น อาจไม่เป็นอย่างที่คิดไว้เสมอไป’