ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ – ตอนที่ 280 อย่ารังแกเด็กหนุ่มที่ยากจน

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 280 อย่ารังแกเด็กหนุ่มที่ยากจน

ตอนที่ 280 อย่ารังแกเด็กหนุ่มที่ยากจน

นี่มันสถานการณ์อะไรกัน?

เมื่อเห็นคะแนนสะสมของตัวเอง เยี่ยเว่ยหมิงก็ประหลาดใจปนสงสัย “จอมยุทธ์หัน คะแนนสะสมบนตัวข้านี่คืออะไร”

หันเสี่ยวอิ๋งยิ้มบางๆ แล้วอธิบายอย่างใจเย็น “ที่จริงเมื่อการทดสอบเมื่อครู่นี้ นอกจากเป็นการยืนยันว่าเจ้าจะเข้าร่วมการประลองยุทธ์เจ็ดสังกัดได้หรือไม่ การแสดงออกของเจ้าตอนทดสอบก็รวมอยู่ในคะแนนแล้วเช่นกัน…

…และการยืนหยัดทนต่อการโจมตีของข้าสามนาทีหรือสิบนาที คะแนนสะสมที่ได้รับก็ย่อมไม่เท่ากัน ยิ่งไปกว่านั้น การที่เจ้าบดขยี้ยอดฝีมืออย่างข้าได้สบายๆ ได้รับคะแนนสะสม 2000 แต้มก็ไม่ถือว่าเยอะ”

เยี่ยเว่ยหมิงพยักหน้า แต่กลับได้ยินหันเสี่ยวอิ๋งพูดต่อว่า “ส่วนผู้เล่นไม่กี่คนที่ได้คะแนนสะสมสูงกว่าเจ้า ตอนนี้ความสามารถของพวกเขาอาจไม่แข็งแกร่งกว่าเจ้าก็ได้ แต่เป็นเพราะระดับความยากของภารกิจที่พวกเขาท้าทายสูงกว่า คะแนนสะสมที่ได้รับจึงสูงกว่า…

…อย่างไรเสีย การยืนหยัดต่อการโจมตีของข้าสามนาที กับการยืนหยัดต่อการโจมตีของพี่ใหญ่ของข้าสามนาทีก็มีความหมายต่างกันโดยสิ้นเชิงอยู่แล้ว ด้วยความสามารถของจอมยุทธ์น้อยเยี่ย หากคู่ต่อสู้ของเจ้าคือพี่ใหญ่ของข้า ต่อให้ล้มเหลวในช่วงสุดท้ายของการทดสอบ แต่คะแนนสะสมที่ได้ก็จะมากกว่าตอนนี้เยอะแน่นอน”

เวลาก็คือคะแนนสะสม เยี่ยเว่ยหมิงขี้คร้านจะเปลืองคำพูดกับนางต่อ กุมหมัดอำลานางทันที แล้วหันตัวออกจากดันเจี้ยนห้องนี้ไป

เพราะยิ่งไปถึงเขาทรายพิษเร็วเท่าไร ก็ยิ่งแย่งฆ่ามอนสเตอร์ได้เร็วเท่านั้น ทำให้ข้อได้เปรียบที่ได้มาจากการประลองทดสอบก่อนหน้านี้มั่นคงยิ่งขึ้น

ถึงอย่างไรกระบองไผ่เขียวก็ยังอยู่ที่หันเสี่ยวอิ๋ง รอให้เขากลับมารับได้ทุกเมื่อ!

คะแนนสะสมของเขาตอนนี้แม้จะเป็นอันดับหนึ่ง แต่ก็ไม่แน่ว่าเมื่อไหร่จะมีคนอื่นนำหน้า

“เคอเจิ้นเอ้อ เจ้าตาบอด!”

“เจ้าพูดให้ชัดเจนเดี๋ยวนี้! คนอื่นๆ ที่เรียนวิชากับเจ้า ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายธรรมะหรือฝ่ายอธรรมก็ล้วนเข้าร่วมการประลองยุทธ์เจ็ดสังกัดได้ แต่ทำไมข้าดันเข้าร่วมไม่ได้”

เพิ่งจะออกมาจากห้องของหันเสี่ยวอิ๋ง เยี่ยเว่ยหมิงก็ได้ยินเสียงด่าทอด้วยความหงุดหงิดถึงขีดสุดดังมาจากลานบ้านไม่หยุด

อีกทั้งเสียงนี้ก็เหมือนจะคุ้นหูมากด้วย

พอหันกลับไปมอง ก็เห็นพูดที่ด่ามีรูปร่างสูงใหญ่ กล้ามเนื้อแน่นปึกทั้งตัวดูแล้วค่อนข้างอ้วนฉุ ศีรษะใส่หมวกนักพรตเต๋าที่ได้มาตรฐานมาก แต่บนตัวกลับสวมใส่จีวรขาดรุ่งริ่งที่มีทั้งรูเล็กรูใหญ่ ยังคลุมผ้ากาสาวพัสตร์ผืนหนึ่งบนหลังที่กำลังปลิวสะบัดเบาๆ ท่ามกลางสายลมด้วย

และจุดที่ดึงดูดสายตาคนที่สุดก็คือสร้อยประคำไข่มุกขนาดใหญ่บนคอของเขา มันเป็นสีแดงเข้มแวววาว ดูเหมือนถั่ววอลนัทขัดเงา แต่เมื่อประกอบกับหมวกนักพรตเต๋าบนศีรษะของเขา กลับดูไม่เข้ากันเลย

การแต่งตัวประหลาดขนาดนี้ ประกอบกับเสียงดังที่เยี่ยเว่ยหมิงคุ้นเคยมาก นอกจากพระมารหนิวจื้อชุนก็ไม่มีใครอีกแล้ว

และพฤติกรรมที่เขาดักด่าเคอเจิ้นเอ้ออยู่ตรงประตูก็ย่อมดึงดูดให้บรรดาผู้เล่นที่เดินเข้าเดินออกห้องดันเจี้ยนพากันหันมอง แต่กลับไม่มีใครว่างจนไปยุ่งเรื่องชาวบ้าน

ถึงอย่างไรตอนนี้ทุกคนก็ทำภารกิจแข่งกับเวลา ใครจะมัวมาเยาะเย้ยผู้ชายที่ไม่มีความสำคัญคนนี้ในเวลานี้ อยากหาเรื่องใส่ตัวอย่างนั้นหรือ

ตอนที่หนิวจื้อชุนกำลังด่าทอ ก็มองไปยังผู้เล่นที่เข้าออกดันเจี้ยนรอบๆ ด้วยความไม่พอใจ ตอนที่เขาเห็นเยี่ยเว่ยหมิง ตาก็เป็นประกายทันที เขาพุ่งเข้ามาหาอย่างรวดเร็วราวกับลูกธนู คว้าแขนเสื้อเยี่ยเว่ยหมิงพร้อมบอกว่า “สหายเยี่ย ข้ารู้สึกเหมือนตัวเองถูกเกมนี้ทอดทิ้งแล้ว ผู้เล่นทุกคนที่เคยเรียนทักษะยุทธ์กับเจ็ดประหลาดเจียงหนานรับภารกิจนี้ได้แท้ๆ แต่ทำไมข้าดันรับไม่ได้”

เยี่ยเว่ยหมิงรีบสะบัดมือออกจากเขา แล้วถามด้วยความฉงนใจ “เจ้ารับภารกิจไม่ได้ แล้วจะดึงข้ามาทำไม”

หนิวจื้อชุนยิ้มแห้ง “ก็เจ้าค่อนข้างต่ำ…เอ้ย เจ้าปัญญามากแผนการไม่ใช่หรือ ถ้าอยากให้เจ้าช่วยวิเคราะห์ให้ข้าหน่อย ว่าปัญหาอยู่ที่ไหนกันแน่…

…ที่จริงแค่ภารกิจนี้อย่างเดียว ข้าก็ไม่เป็นอะไรหรอก ข้ากังวลว่าบนตัวข้าเกิดปัญหาอะไรแล้วหรือเปล่า ถึงทำให้ข้ารับภารกิจไม่ได้เยอะขนาดนี้…

…ถ้าข้าหาสาเหตุนี้ไม่เจอ ใจข้าก็ไม่สงบสุขเลยจริงๆ!”

เมื่อเห็นเขามีท่าทางน่าสงสารเหมือนเด็กน้ำหนักร้อยกิโลกรัม เยี่ยเว่ยหมิงก็อดถามอย่างใจอ่อนไม่ได้ว่า “ลองเล่ามาว่าเรื่องเป็นอย่างไรกันแน่”

หนิวจื้อชุนอธิบายอย่างจนใจ “คนอื่นได้รับพิราบสื่อสารเชิญให้มารับภารกิจที่นี่ แต่ข้าเรียน ‘วิชาไม้เท้าสยบมาร’ มาจากเคอเจิ้นเอ้อแท้ๆ เขากลับไม่ส่งพิราบสื่อสารไปให้ข้า ข้ารู้ข่าวมาจากปากคนอื่นถึงได้มาต่อว่าเขา สองครั้งก่อนเข้าประตูไม่ได้ด้วยซ้ำ ครั้งที่สามแม้จะเข้ามาแล้ว แต่เขากลับพูดเพียงคำว่า ‘ไสหัวไป’ ไล่ข้าออกมาแบบนี้”

“สหายเยี่ย” หนิวจื้อชุนกล่าวอย่างไม่แน่ใจว่า “เจ้าช่วยข้าวิเคราะห์สักหน่อย ปัญหาอยู่ตรงไหนกันแน่ เป็นเพราะค่าวีรบุรุษของข้าต่ำเกินไป หรือการแต่งกายที่ใส่รวมทั้งจีวรพระทั้งชุดนักบวชเต๋าของข้า”

“ไม่ใช่ทั้งสอง” พอฟังหนิวจื้อชุนพูดจบ เยี่ยเว่ยหมิงก็รู้แล้วว่าปัญหาเกิดจากตรงไหน “ที่จริง จุดประสงค์ที่เจ็ดประหลาดเจียงหนานจัดการประลองยุทธ์เจ็ดสังกัดขึ้นมา ก็เพื่อเลือกผู้สืบทอดเจ็ดคน และผู้อาวุโสบู๊ลิ้มอีกคนเพื่อเดิมพันผลแพ้ชนะการประลอง”

หนิวจื้อชุนได้ยินแล้วงง ก่อนจะบ่นอย่างโมโหว่ “เดิมพันก็เดิมพันไปสิ เกี่ยวอะไรกับข้า”

“แน่นอนว่าไม่เกี่ยวอยู่แล้ว” เยี่ยเว่ยหมิงตบบ่านักพรตหนิว แล้วอธิบายพร้อมรอยยิ้ม “เพราะคนที่เดิมพันการประลองยุทธ์กับเขาชื่อว่าชิวชู่จี”

หนิวจื้อชุน “…”

ในที่สุดเขาก็รู้แล้วว่าทำไมเมื่ออยู่ในภารกิจนี้เคอเจิ้นเอ้อถึงจงเกลียดจงชังเขาขนาดนี้

ที่แท้อีกฝ่ายก็มองเขาเป็นสายลับที่สำนักฉวนเจินส่งมา!

อย่างไรเสีย อาจารย์ของหนิวจื้อชุนก็คือชิวชู่จี ผู้ที่นัดเดิมพันกับเจ็ดประหลาดเจียงหนาน!

เยี่ยเว่ยหมิงเห็นเขากลุ้มใจมาก จึงตบหน้าอกเขาพร้อมบอกว่า “ไม่ว่าเรื่องไหนก็ต้องคิดไปในทางที่ดี แม้เจ้าจะไม่มีส่วนในภารกิจประลองยุทธ์เจ็ดสังกัดนี้แล้ว แต่ในเมื่อเจ็ดประหลาดเจียงหนานแจกภารกิจแล้ว สำนักฉวนเจินจะไม่มีปฏิกิริยาโต้ตอบอะไรเชียวหรือ”

“ไม่แน่ว่าพอกลับไปแล้ว เจ้าอาจได้รับภารกิจเนื้อเรื่องขนาดใหญ่เร่งด่วนคล้ายๆ แบบนี้จากสำนักก็ได้นะ ยกตัวอย่างเช่น ‘บทเพลงแห่งเจ็ดประหลาด’ อะไรทำนองนั้น”

เยี่ยเว่ยหมิงเพิ่งพูดจบ จู่ๆ ก็มีพิราบขาวตัวหนึ่งบินมาจากที่ไกลๆ มาเกาะบนบ่าหนิวจื้อชุนแล้วหายไป

ส่วนหนิวจื้อชุนหลังจากเห็นพิราบสื่อสารตัวนี้แล้วก็ดีใจเหนือความคาดหมาย จะกระโจนกอดเยี่ยเว่ยหมิงทันที หลังจากเยี่ยเว่ยหมิงหลบทัน เขาก็หัวเราะแห้งพร้อมบอกว่า “สหายเยี่ย เจ้าช่างทำนายแม่นจริงๆ”

เยี่ยเว่ยหมิงสะบัดผมสั้นของเขา “แน่นอนอยู่แล้ว การทำนายของข้าเพิ่มพลังโจมตีได้นะ!”

“เชอะ!” ตอนนี้หนิวจื้อชุนถลึงตามองค้อนห้องของเคอเจิ้นเอ้อ “เจ้าตาบอด ไม่แจกภารกิจข้าใช่ไหม คอยดูข้าเถอะ พอถึงตอนนั้นข้าจะโจมตียอดฝีมือที่พวกเจ้าเชิญมาจนฟันร่วงเต็มพื้นให้หมด! จะทำให้เจ้ารู้ซึ้งถึงคำกล่าวที่ว่า ‘อย่ารังแกเด็กหนุ่มที่ยากจน[1]’!”

“สู้ๆ นะ!” เยี่ยเว่ยหมิงยกนิ้วหัวแม่มือให้เขา “ในฐานะสหาย ข้ารับรองว่าตอนประลองข้าจะให้เกียรติเจ้าที่สุด จะสู้กับเจ้าอย่างสุดกำลัง”

เมื่อพูดจบ เยี่ยเว่ยหมิงก็ใช้ท่าร่างแปดก้าวไล่ทันคางคกหายไปจากประตูนอกลานบ้านในชั่วพริบตาเดียว

เหลือเพียงหนิวจื้อชุนที่เพิ่งเข้าใจคำพูดของเขา ตอนนี้ยืนหนาวลำพังอยู่ท่ามกลางสายลม

คู่ต่อสู้คนอื่นยังดีหน่อย

แต่ถ้าเป็นเจ้าหมอนี่ ข้าสู้ไม่ชนะจริงๆ!

[1] อย่ารังแกเด็กหนุ่มที่ยากจน 莫欺少年穷 อุปมาว่าคนหนุ่มยังมีแรงสู้ชีวิต วันหนึ่งอาจประสบความสำเร็จและมาล้างแค้น

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ

Status: Ongoing
ไหนๆ ก็โดน NPC หลอกมาเข้าสำนักมือปราบที่ไม่มีวิทยายุทธ์ให้ฝึกแล้ว อย่างน้อยก็ขอสกิลดีๆ หน่อยแล้วกัน!นิยายแฟนตาซีแนวเกมออนไลน์ที่จะพาคุณไปท่องยุทธภพและไขคดีสไตล์มือปราบขั้นเทพ!เยี่ยเว่ยหมิง หนึ่งในเด็กหนุ่มที่ลงทะเบียนสมัครใจอพยพไปต่างโลกเพื่อป้องกันสมองตายระหว่างหลับจำศีลตอนเดินทางในอวกาศเขาจึงต้องร่วมเล่นเกมออนไลน์ที่มีฉากหลังเป็นยุทธภพก่อนจะโดน NPC ลึกลับหลอกเข้าสำนักมือปราบที่ไม่มีวิทยายุทธ์ให้ฝึกแต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าสำนักมือปราบจะไม่มีอะไรเลยเพราะหลังจากที่เยี่ยเว่ยหมิงทำแบบทดสอบของใต้เท้าซ่งผ่านเขาก็ได้รับสกิลตัดสินคดีที่พ่วงมาด้วยเวทชันสูตรศพและเวทบรรจุศพซึ่งเวทบรรจุศพนี้เองทำให้เขาสามารถรับของที่ซ่อนไว้บนตัวผู้ตายได้รวมถึงดูดเอาค่าประสบการณ์ทักษะยุทธ์ของผู้ตายได้อีกด้วยเยี่ยมเลย! ตอนนี้เขาพร้อมที่จะออกไปไขคดีทั่วยุทธภพแล้ว!…[ติ๊ง! เปิดใช้พาสซีฟสกิล ‘เวทชันสูตรศพ’ คุณพบ…][ติ๊ง! สกิลพิเศษ ‘เวทบรรจุศพ’ : สามารถดูดเอาค่าประสบการณ์ทักษะยุทธ์ของผู้ตายโดยการจัดการศพ BOSS][ติ๊ง! จัดการศพผู้อาวุโสสำนักไท่ซาน ได้รับ ‘ตระหนักรู้เคล็ดกระบี่’ เพิ่มค่าประสบการณ์เคล็ดกระบี่ 5000 แต้ม]

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท