ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ – ตอนที่ 322 ตำราตกทอดของตู๋กู

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ - ตอนที่ 322 ตำราตกทอดของตู๋กู

ตอนที่ 322 ตำราตกทอดของตู๋กู

[ติ๊ง! คุณค้นพบเขตลับยุทธภพ ‘ลานฝังกระดูกของตู๋กูฉิวไป้’

รางวัลค่าประสบการณ์: 20000 แต้ม

ค่าตบะ: 2000 แต้ม!]

แค่ค้นพบห้องหินห้องนี้ก็ได้รับรางวัลภารกิจไม่ต่ำกว่าระดับสี่ดาวแล้ว แค่นี้ก็รู้แล้วว่าตู๋กูฉิวไป้มีฐานะสูงขนาดไหนในเกม!

เยี่ยเว่ยหมิงกับน้องดาบสบตากันแวบหนึ่ง แล้วเดินเข้าไปในนั้นพร้อมกัน

กระทั่งตอนนี้เขาถึงได้แน่ใจว่าขอเพียงเป็นคนที่อยู่ร่วมทีมกับเขา ระบบก็จะยอมรับให้มีสิทธิ์เข้าเขตลับแห่งนี้

ถ้ารู้ตั้งแต่แรก ควรจะแบ่งปันผลประโยชน์กับลูกน้องคนสนิทที่แท้จริงอย่างซานเย่ว์กับสะพานสวรรค์น้อยด้วยดีกว่า!

แต่พอนึกถึงความยากลำบากต่างๆ ที่เจอมาตลอดทาง โดยเฉพาะการไต่หน้าผาสุดหวาดเสียวเมื่อครู่นี้ ขนาดยอดฝีมืออย่างเขากับน้องดาบยังเกือบตายกลางทาง ถ้าพาพวกนางสองคนไปด้วย เยี่ยเว่ยหมิงก็ไม่มั่นใจว่าจะปกป้องพวกนางไหว

ที่พูดแบบนี้ไม่ใช่เพราะเยี่ยเว่ยหมิงดูถูกพวกนาง ความจริงศักยภาพของพวกนางถือเป็นยอดฝีมือส่วนน้อยที่อยู่บนยอดพีระมิดท่ามกลางผู้เล่นแน่นอน แต่ก็ยังห่างชั้นกับเยี่ยเว่ยหมิงและน้องดาบพอสมควร

แต่ในสถานที่ซึ่งแวดล้อมด้วยอันตรายอย่างเสินหนงจย้า ถ้าคิดจะเดินหน้าฝ่าฟันอุปสรรคมาจนถึงที่นี่ นอกจากรวมทีมกันแล้ว ที่มากกว่านั้นคือต้องอาศัยศักยภาพของตัวเอง

พอตัดสินว่าจะไม่ไปคิดเรื่องที่ไม่มีทางเกิดขึ้นจริง เยี่ยเว่ยหมิงก็นำคบไฟแท่งหนึ่งที่เตรียมไว้ออกมาจุด

เห็นได้ชัดว่าในห้องหินมีช่องลมแยกอีกต่างหาก อากาศข้างในปลอดโปร่งมาก ภายใต้การส่องสว่างของคบไฟ ทั้งห้องหินเริ่มสว่างไสวขึ้นมาแล้ว

เมื่อหันมองไปรอบๆ ก็เห็นว่าห้องหินห้องนี้เหมือนกับที่เฟิงชิงหยางบอกไว้ มีสมบัติที่ตู๋กูฉิวไป้ทิ้งไว้เยอะมาก

และทั้งห้องหินนี้ก็ใช้ทางเข้ากับเตียงหินที่วางกระดูกตู๋กูฉิวไป้เป็นเส้นแบ่งเขต แบ่งตำราตกทอดทั้งหมดไว้ทางซ้ายและขวา

ทางซ้ายเป็นคำบรรยายเกล็ดประวัติชีวิตที่ตู๋กูฉิวไป้เขียนให้ตัวเอง ทางขวาเป็นความเข้าใจเกี่ยวกับเคล็ดกระบี่

เยี่ยเว่ยหมิงเริ่มอ่านจากตัวอักษรฝั่งซ้าย สิ่งที่แรกที่ปรากฏสู่สายตาก็คือตัวหนังสือที่เต็มไปด้วยความทระนงองอาจ

ท่องยุทธภพสามสิบปีพิชิตศัตรู สังหารอริราช ฟาดฟันวีรบุรุษ ทั้งโลกหล้าไร้ผู้ต่อกร เมื่อสิ้นผู้ทัดเทียม ได้แต่เร้นกายในหุบเขาลึก มีอินทรีเป็นเพื่อน อนิจจาในชีวิตคิดแสวงหาคู่ต่อสู้สักคนยังไม่พบพาน เปล่าเปลี่ยวอ้างว้างสุดคณา

ด้านล่างลงนามไว้ว่า: อสูรกระบี่ตู๋กูฉิวไป้

เมื่ออ่านต่อไปอีกก็จะเห็นประวัติการเติบโตของตู๋กูฉิวไป้ เยี่ยเว่ยหมิงแปลคร่าวๆ ได้ความว่า:

ข้าอายุยี่สิบพิชิตทั่วแคว้นเหอซั่วไร้คู่ต่อสู้

อายุสามสิบพิชิตทั่วภาคกลางไร้คู่ต่อสู้

อายุสี่สิบพิชิตใต้หล้าไร้คู่ต่อสู้

หลังอายุสี่สิบพลันพบว่า ใต้หล้าแม้กว้างใหญ่ แต่กลับไร้คนที่สู้กับตนได้ เนื่องจากระดับความสามารถสูงเกินไป ต่อให้เล่นโหมดแรงค์ก็ยังไม่เจอคู่ต่อสู้ ความรู้สึกแบบนี้น่าเบื่อเกินไปจริงๆ

ว่ากันว่าต้องมีการแข่งขันถึงจะมีความก้าวหน้า แต่เมื่อไร้แรงกดดันจากการแข่งขันแล้วจะทำอย่างไรดี

คำตอบก็คือ: เอาชนะตัวเอง!

จากนั้น ตู๋กูฉิวไป้ที่ผิดหวังกับวีรบุรุษในใต้หล้าเป็นอย่างยิ่งก็หาหุบเขาที่เงียบสงบเพื่ออยู่อาศัย ใช้ชีวิตแต่ละวันไปกับการฝึกกระบี่และเลี้ยงนก ผลปรากฏว่าฝึกไปฝึกมา ความตระหนักรู้ต่อแนวทางกระบี่ก็เพิ่มขึ้นสองขอบเขต ตอนแรกตระหนักรู้ว่า ‘แม้แมกไม้ไผ่หินล้วนถือเป็นกระบี่ได้’ ตอนหลังมุ่งสู่ขอบเขต ‘ไร้กระบี่เหนือกว่ามีกระบี่’

ตอนนี้ก็ยิ่งไร้คู่ต่อสู้แล้ว

ในเมื่อไร้กระบี่เหนือกว่ามีกระบี่ กระบี่ล้ำค่าพวกนั้นที่เขามีจึงไม่มีประโยชน์อะไรแล้วเช่นกัน เขาถึงได้เริ่มฝังตัวเองอยู่ในหุบเขาลึก

จากนั้นก็ทำความเข้าใจกระบี่และเลี้ยงนกต่อไป…

จนกระทั่งวันหนึ่ง ในที่สุดตู๋กูฉิวไป้ก็พบว่า ในเมื่อใต้หล้าไร้คู่ต่อสู้โดยสิ้นเชิงแล้ว แต่ในโลกนี้ยังมีหนึ่งดาบและหนึ่งกระบี่ที่ฆ่าเขาได้!

สุดยอดอาวุธเทพที่ใช้ฟันสังหารอสูรกระบี่ผู้นี้ชื่อว่า

ลิขิตฟ้าคือดาบ!

กาลเวลาคือกระบี่!

ทว่าหลังจากอยู่ด้วยกันมาหลายสิบปี ตู๋กูฉิวไป้กับอินทรีที่เขาเลี้ยงก็เกิดความผูกพันกันกันอย่างลึกซึ้ง

ต้องทราบไว้ว่า หากเขาตายไป อินทรีเทพที่จงรักภักดีตัวนี้ก็จะติดตามเขาไปด้วยแน่นอน

เพื่อป้องกันไม่ให้เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น ตู๋กูฉิวไป้ที่รู้ดีว่าเวลาชีวิตของตัวเองกำลังจะจบลง ทำได้เพียงฉวยโอกาสจากไปอย่างเงียบๆ ตอนที่จ้าวอินทรีบินออกไปล่าเหยื่อข้างนอก เขามาที่เสินหนงจย้า แล้วหาจุดที่ฮวงซุ้ยดีเพื่อรอความตายอย่างเงียบงัน

ก่อนตายเขาทิ้งไว้เพียงตำราลับ ‘เก้ากระบี่เดียวดาย’ เล่มหนึ่งที่เคยใช้ตอนแรกไว้ที่ห้องหินแห่งนี้ ส่วนบนผนังที่อยู่อีกฝั่งก็สลักแนวทางกระบี่ที่ตัวเองตระหนักรู้มาทั้งชีวิตเอาไว้

บางทีแนวทางกระบี่ที่ตระหนักรู้เหล่านี้ อาจะเป็นสิ่งที่ตู๋กูฉิวไป้ตระหนักได้และแสดงออกมาในช่วงเฮือกสุดท้ายก่อนสิ้นใจ ไม่ได้คิดจะเผยแพร่ออกไป ดังนั้นเนื้อหาที่บันทึกไว้จึงลึกซึ้งเกินกว่าจะเข้าใจ ไม่มีขั้นตอนที่ค่อยเป็นค่อยไปแม้แต่น้อย

เยี่ยเว่ยหมิงกับน้องดาบอ่านแล้วรู้สึกว่ามันลึกลับซับซ้อนเกินคาดเดา อ่านแล้วเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ พยายามทำความเข้าใจสุดความสามารถแล้ว แต่สุดท้ายก็ยังไม่เข้าใจขอบเขตของอสูรกระบี่เลยสักนิด

“กุยเม่ยชวีอู๋วั่ง อู๋วั่งชวีถงเหริน ถงเหรินชวีต้าโหย่ว เจี่ยจ๋วนปิ่ง ปิ่งจ่วนเกิง เกิงจ่วนกุ่ย…” ตอนมองตัวอักษรที่สลักอยู่บนผนังหิน เยี่ยเว่ยหมิงก็อ่านออกเสียงโดยไม่รู้ตัว เขาอ่านช้ามาก สัมผัสความงดงามของทุกตัวอักษรอย่างละเอียด อ่านจนกระทั่งเปลี่ยนคบไฟแท่งที่สอง เขาถึงได้อ่านเนื้อหาทั้งหมดที่สลักไว้บนผนังหินจนหมด แต่กลับพบว่าตัวเองเหมือนจะไม่เข้าใจอะไรเลย

ขณะนี้เอง เสียงแจ้งเตือนของระบบก็ดังขึ้นข้างหู แต่กลับทำให้ความรู้สึกหดหู่ของเขาดีขึ้นบ้างแล้วนิดหน่อย

[ติ๊ง! คุณศึกษาตำราตกทอดของตู๋กู เลเวล ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ เพิ่มขึ้น ตอนนี้ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ ของคุณเพิ่มถึงเลเวลสิบแล้ว!]

[ติ๊ง! คุณศึกษาตำราตกทอดของตู๋กู เลเวล ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ เพิ่มขึ้น ตอนนี้ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ ของคุณเพิ่มถึงเลเวลเก้าแล้ว!]

แค่อ่านตำราตกทอดของตู๋กูรอบเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะเพิ่มเลเวลให้ ‘เคล็ดกระบี่วีรสตรี’ กับ ‘เคล็ดกระบี่ฉวนเจิน’ หนึ่งเลเวลพร้อมกัน!

ตอนนี้เยี่ยเว่ยหมิงสงสัยอย่างหนักว่าผลที่ได้จากตำราตกทอดของตู๋กูไม่ใช่แค่เพิ่มเลเวลเคล็ดกระบี่สองวิชาแน่นอน แต่จะเพิ่มเลเวลเคล็ดกระบี่ทั้งหมดที่ผู้เล่นมีได้หนึ่งเลเวล!

เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า ถึงขั้นนึกเสียใจทีหลังที่รีบเพิ่ม ‘มังกรร่อนล่อหงส์’ ให้ถึงเลเวลสิบเร็วเกินไป

ถ้าไม่ทำอย่างนั้น ก็จะประหยัดค่าตบะได้อีกห้าแสนแต้มหรือเปล่า

ถ้าเพิ่มค่าตบะพวกนี้ไปที่ ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ทั้งหมด เลเวลของ ‘ทะยานบันไดเมฆา’ ก็จะถึงเก้าแล้วหรือเปล่า

เดี๋ยวพอกลับไปทำภารกิจ ‘เหยี่ยวเกิดใหม่’ ก็จะเพิ่มเลเวลวิชาตัวเบาระดับสูงวิชานี้ให้ถึงเลเวลสิบซึ่งเป็นระดับสมบูรณ์ นั่นคือเรื่องที่สวยงามมากไม่ใช่หรอกหรือ

คนบางคนเริ่มตกอยู่ในความรู้สึกกลัดกลุ้มถึงขีดสุด ไม่ได้ไตร่ตรองเลยว่าบนโลกนี้ไม่มีหลักการ ‘ถ้ารู้ตั้งแต่แรก’ อยู่เลย

ยิ่งไปกว่านั้น หากไม่มี ‘มังกรร่อนล่อหงส์’ ระดับสมบูรณ์คอยประคับประคองไว้ ในบางศึกเขาอาจจะสู้ชนะได้อย่างไม่ราบรื่นก็ได้ และเมื่ออยู่ภายใต้ผลกระทบที่เหมือนทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก[1] สุดท้ายแล้วเขาจะมาถึงจุดนี้ได้หรือไม่ล้วนเป็นไปได้ทั้งสองอย่าง จะมีคำว่าถ้าหากอะไรมากมายขนาดนั้น

เยี่ยเว่ยหมิงส่ายหน้า ทิ้งความคิดที่ไม่สอดคล้องกับความจริง เปิดคอมลัมน์สกิลของตัวเองเพื่อดูค่าสเตตัสปัจจุบันของทักษะยุทธ์สองวิชานี้ทันที

อย่างไรเสีย เมื่อมีกระบี่แสงทองช่วยเสริม เคล็ดกระบี่ทุกวิชาก็จะเพิ่มถึงเลเวลเก้าหรือไม่ก็สิบ ล้วนทำให้เขาได้รับผลประโยชน์มหาศาล!

[1] ทฤษฎีผีเสื้อขยับปีก (Butterfly Effect) เป็นทฤษฎีที่พยายามอธิบายเหตุผลที่เกิดความยุ่งเหยิง เป็นแนวคิดที่ใช้อธิบายความซับซ้อนของการมีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวข้องในเหตุการณ์ จนเกิดผลกระทบที่เปลี่ยนแปลงออกไปแบบคาดไม่ถึง

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ

ผมมีสกิลดูด EXP ขั้นเทพ

Status: Ongoing
ไหนๆ ก็โดน NPC หลอกมาเข้าสำนักมือปราบที่ไม่มีวิทยายุทธ์ให้ฝึกแล้ว อย่างน้อยก็ขอสกิลดีๆ หน่อยแล้วกัน!นิยายแฟนตาซีแนวเกมออนไลน์ที่จะพาคุณไปท่องยุทธภพและไขคดีสไตล์มือปราบขั้นเทพ!เยี่ยเว่ยหมิง หนึ่งในเด็กหนุ่มที่ลงทะเบียนสมัครใจอพยพไปต่างโลกเพื่อป้องกันสมองตายระหว่างหลับจำศีลตอนเดินทางในอวกาศเขาจึงต้องร่วมเล่นเกมออนไลน์ที่มีฉากหลังเป็นยุทธภพก่อนจะโดน NPC ลึกลับหลอกเข้าสำนักมือปราบที่ไม่มีวิทยายุทธ์ให้ฝึกแต่ถึงกระนั้นก็ใช่ว่าสำนักมือปราบจะไม่มีอะไรเลยเพราะหลังจากที่เยี่ยเว่ยหมิงทำแบบทดสอบของใต้เท้าซ่งผ่านเขาก็ได้รับสกิลตัดสินคดีที่พ่วงมาด้วยเวทชันสูตรศพและเวทบรรจุศพซึ่งเวทบรรจุศพนี้เองทำให้เขาสามารถรับของที่ซ่อนไว้บนตัวผู้ตายได้รวมถึงดูดเอาค่าประสบการณ์ทักษะยุทธ์ของผู้ตายได้อีกด้วยเยี่ยมเลย! ตอนนี้เขาพร้อมที่จะออกไปไขคดีทั่วยุทธภพแล้ว!…[ติ๊ง! เปิดใช้พาสซีฟสกิล ‘เวทชันสูตรศพ’ คุณพบ…][ติ๊ง! สกิลพิเศษ ‘เวทบรรจุศพ’ : สามารถดูดเอาค่าประสบการณ์ทักษะยุทธ์ของผู้ตายโดยการจัดการศพ BOSS][ติ๊ง! จัดการศพผู้อาวุโสสำนักไท่ซาน ได้รับ ‘ตระหนักรู้เคล็ดกระบี่’ เพิ่มค่าประสบการณ์เคล็ดกระบี่ 5000 แต้ม]

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท