รักนะจุ๊บๆ คุณสามีพันล้าน บทที่ 660 เอาลูกแต่ไม่เอาผู้ชาย
เธอชอบหน้าตาของณภัทรมาก
ต่อมาเมื่อรู้ฐานะของเขาแล้ว ชุติภายิ่งรู้สึกพึงพอใจ
กัญณิศาถามเธอออกมาว่า: “ถ้าหากไม่ท้องหล่ะ?”
ชุติภาตอบออกมาว่า: “งั้นก็ไปนอนอีกครั้ง”
หน้าตาณภัทรหล่อเหลา เวลามีอะไรกันก็มีความสุข นอนเพิ่มอีกครั้งมีความสุขทั้งกายและใจ เธอเองก็ไม่รู้สึกว่าตัวเองถูกเอาเปรียบ
กัญณิศา: “……”
ชุติภารู้ไหมว่าตอนนี้ณภัทรโกรธมากแค่ไหน?
เธอกลับพูดออกมาหน้าตาเฉยว่านอนเพิ่มอีกครั้ง
“เธอรู้ไหมว่าคุณชายสี่ตระกูลอริยชัยกุลเพื่อตามหาเธอ หาจนทุกซอกทุกมุมของเมืองแอคเซสซ์แล้ว?”
ชุติภาพยักหน้า “รู้ แล้วทำไมเหรอ?ฉันทำลายหลักฐานหมดแล้ว นอกจากฉันไปยอมรับเอง หรือแม้แต่เธอไปบอกเขาถ้า
ฉันไม่ยอมรับ เขาจะทำอะไรได้?หรือว่าเขาจะให้ฉันแสดงนอนกับเขาตรงนั้นเลย เพื่อให้เขามีหลักฐาน?”
กัญณิศายิ้มแล้วพูดออกมาว่า: “คุณจะใช้วิธีกินแล้วไม่รับผิดชอบเหรอ?”
“ฉันเอาแค่เด็ก ไม่เอาผู้ชาย”
กัญณิศาสำลัก ชุติภาช่างสง่างดงามเหลือเกิน แต่เมื่อนึกถึงหมออัจฉริยะสนใจแต่การเรียนรู้ด้านการแพทย์ ชีวิตนี้ไม่แต่งงาน ลูกศิษย์ที่เขารับก็หลงใหลด้านการแพทย์เหมือนเขา แต่เขากลับไม่อยากเห็นลูกศิษย์มีชะตากรรมชีวิตแบบเดียวกันกับเขา
ใครจะไปรู้ว่าลูกศิษย์ของเขาในอนาคตจะรับลูกศิษย์ที่ถูกชะตาและมีวาสนาแถมมีสติปัญญามาแต่กำเนิดได้หรือเปล่า?
ถ้าไม่มีลูกศิษย์ และชีวิตนี้ชุติภาก็ไม่แต่งงานเลย ก็จะโดดเดี่ยวจนตาย แม้แต่ลูกศิษย์ช่วยจัดงานศพก็ไม่มี ซึ่งถ้าเป็นแบบนั้นจะน่าสงสารมาก
ดังนั้นผู้เฒ่าหมออัจฉริยะจึงเร่งรัดให้ลูกศิษย์รีบแต่งงาน หรือถ้าไม่แต่งงาน มีลูกไว้สืบทอดก็ยังดี หรือถ้าเป็นผู้สืบทอดไม่ได้ อย่างน้อยก็ยังมีคนจัดงานศพให้ตอนตาย
“ประเพณีวัฒนธรรมของตระกูลอริยชัยกุลดีมาก ผู้ชายของตระกูลอริยชัยกุลก็โดดเด่น ถ้าเธอ……”
“ใช้ชีวิตคนเดียว ฉันรู้สึกว่าสบายกว่า ไม่อยากหาผู้ชายมาให้เป็นภาระ ถ้าท้องของฉันมีเด็ก เมื่อคลอดออกมาก็จะให้อาจารย์เป็นคนเลี้ยงดู ฉันไม่มีเวลามาเลี้ยงดูเด็กหรอก”
ฟังความหมายนี้แล้ว เธอแค่รับผิดชอบคลอด ไม่รับผิดชอบเลี้ยง
กัญณิศาตำหนิในใจ รอให้เด็กคลอดออกมาแล้ว จิตใจก็จะเปลี่ยนใจเอง
“เป็นเพราะว่าผู้ชายของตระกูลอริยชัยกุล หน้าตาหล่อเหลา กรรมพันธุ์ดี ฉันถึงยอมไปนอนกับเขาด้วย”
กัญณิศา: “……”
ถ้าณภัทรรู้ความจริง ต้องกระอักเลือดตายแน่
“กระดาษยังไงก็ห่อไฟไม่ได้”
“เมื่อกระดาษถูกไฟไหม้ เด็กน้อยก็คงอายุหลายขวบแล้ว ไม่แน่เด็กน้อยอาจหน้าตาเหมือนฉันก็ได้ ถ้าเหมือนฉัน เขาก็ไม่มีทางรู้”
“ฉันไม่อยู่เมืองแอคเซสซ์นานหรอก คิดมากขนาดนั้นทำไม ไปเถอะ ฉันส่งเธอกลับบ้าน”
กัญณิศายิ้มแล้วพูดขึ้นว่า: “ขอบใจมาก ฉันกลับคนเดียวได้ เพราะไม่ว่ายังไงเมืองแอคเซสซ์ก็เป็นถิ่นของฉัน”
ชุติภาถึงแม้จะเก่งมากแค่ไหน ก็เป็นคนเก่งต่างถิ่น คนต่างถิ่นยังไงก็สู้เจ้าถิ่นไม่ได้ ในเมืองแอคเซสซ์ยังไงก็เธอคุ้นเคยกว่า
“ทิ้งวิธีติดต่อไว้หน่อย ต้องการความช่วยเหลือจากฉันเมื่อไหร่ค่อยโทรศัพท์ให้ฉัน เพราะฉันไม่อยากมาขวางทางเธอทุกคืนแบบนี้หรอก”
ชุติภาขอวิธีติดต่อกับณิศา และทิ้งก็ทิ้งช่องทางติดต่อของเธอให้กัญณิศาไว้เหมือนกัน
ก่อนจะจากกัน เธอพูดกับกัญณิศาออกมาว่า: “ถ้าเธอยังเป็นห่วงคุณประยสย์อยู่ ก็ไปช่วยเขาสักตั้ง ฉันกลับไปก็จะไปเตรียมตัวเหมือนกัน บินไปที่เมืองซูเพร่าสักรอบ นานมากแล้วที่ไม่เห็นเรื่องครึกครื้นแบบนี้ ถ้าไม่ไปดู คงเสียดายแย่”
กัญณิศาตะลึงไปสักพัก “เธอมาเมืองแอคเซสซ์กี่วันแล้ว รู้แม้กระทั่งเรื่องของฉันกับคุณประยสย์”
“ผู้เฒ่าโจรขโมยชอบผู้โอ้อวดกับผู้เฒ่าบ้านฉันว่าเธอเป็นคนสายตาดี เลือกผู้ชายที่โดดเด่น ผู้เฒ่าบ้านฉันอิจฉามาก ก็เลยขอร้องคุณลุงอินทรีเงินช่วยสืบเรื่องราวทั้งหมดของพวกเธอ”
“เมื่อผู้เฒ่าเกิดความอิจฉา ก็เลยมอบหมายภารกิจให้ฉัน ให้ฉันหาผู้ชายที่เทียบเท่ากับคุณชายตระกูลสาระทาได้ ไม่งั้นเขาจะขายขี้หน้ามาก”
กัญณิศา: “……”
แต่ปัญหาคือเธอไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้กับอาจารย์มาก่อน ความจริงแล้วคือ เธอไม่เคยติดต่ออาจารย์ได้ก่อนเลย เว้นแต่อาจารย์จะมาหาเธอเอง ไม่งั้นเธอไม่สามารถรู้ได้เลยว่าผู้เฒ่าล่องลอยไปถึงประเทศไหนแล้ว
องค์กรที่อาจารย์เฒ่าของเธออยู่นั้นลึกลับมาก ผู้คนที่อยู่ข้างในต่างเป็นคนที่มีฝีมือ ถึงตอนนี้แล้วเธอยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าองค์กรนั้นชื่ออะไร สิ่งเดียวที่เธอรู้คือองค์กรนั้นมีทั้งด้านดีและด้านร้าย
“คนที่สามารถเทียบกับคุณประยสย์ได้ ก็มีแต่ผู้ชายของตระกูลอริยชัยกุล ฉันก็ถือว่าเก็บผู้ชายดีได้คนหนึ่งเหมือนกัน”
ชุติภาใส่หมวกกันน็อคอีกครั้ง แล้วเดินไปที่มอเตอร์ไซค์ของเธอ จากนั้นพูดกับกัญณิศาว่า: “ไปแล้วนะ แล้วค่อยเจอกันใหม่”
“แล้วเจอกันใหม่”
กัญณิศาโบกมือให้ชุติภา หลังจากยืนส่งอีกฝ่ายออกไปไกลแล้ว เธอถึงขี่มอเตอร์ไซค์ตัวเองซิ่งกลับบ้านไป
เธอเพิ่งกลับถึงบ้าน แอบย่องเข้าไปในห้อง เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ พี่สาวก็มาเคาะประตูเข้ามาทันที
โชคดี
กัญณิศารีบขึ้นไปนอนบนเตียง แสร้งทำเหมือนเพิ่งนอนตื่น เมื่อเห็นพี่สาวเดินเข้ามา เธอจึงลุกขึ้นนั่ง ขยี้ตาแล้วพูดขึ้นว่า “พี่ทำไมตื่นเช้าขนาดนี้?”
“วันนี้ตื่นเช้าหน่อย เห็นห้องเธอเปิดไฟอยู่ ก็เลยเดินเข้ามาดู เล่นโทรศัพท์อีกหล่ะสิ?อย่าเล่นโทรศัพท์บ่อย มันทำลายสายตา”
เมื่อเห็นนอนสาวยังนอนอยู่บนเตียง กิติยารู้ได้ทันทีว่าน้องสาวตื่นมาก็เล่นโทรศัพท์ จึงบ่นน้องสาวเล็กน้อย ในฐานะของผู้ปกครอง
“ฉันแค่เอามาดูเวลาเอง”
กิติยานั่งลงบนขอบเตียง ยื่นมือไปลูบใบหน้าของน้องสาว แล้วพูดออกมาว่า: “ช่วงนี้นอนหลับไม่ดีเหรอ ผิวค่อนข้างหยาบเล็กน้อย เดี๋ยวพี่เลิกงานจะซื้อครีมบำรุงผิวกลับมาให้เธอสักสองสามเซต”
ณิศาลูบใบหน้าตัวเอง ไม่รู้สึกว่าผิวตัวเองหยาบขึ้น
แต่ว่าช่วงนี้เธอนอนน้อย ก็เป็นเรื่องจริง
“พี่ ขอบตาฉันดำใช่ไหม?”
“ชัดเจนมาก”
ณิศาเงียบไปสักพัก แล้วนอนกลับไปที่เตียงอีกครั้ง “ถ้างั้นฉันขอนอนต่ออีกหน่อยนะ”
“ถ้าประยสย์ยังส่งดอกไม่ให้เธออีก เธอก็ปฏิเสธ ไม่ต้องสนใจเขา เขาก็ไม่ได้จริงใจกับเธอ บ้านเขาก็ไม่ใช่สถานที่ที่น่าอยู่ ถึงแม้จะมีวิกาอยู่ พี่ก็ไม่มีทางให้เธอแต่งงานไปหรอก”
กิติยานึกว่าเป็นเพราะประยสย์ตามจีบน้องสาวเลยนอนไม่หลับ นอนไม่ดี ถึงได้ขอบตาดำ
“พี่ คุณประยสย์เป็นคนดี ตระกูลเขาไม่ดีไม่ใช่ความผิดของเขา”
“เธอชอบเขาแล้วใช่ไหม?”
“ไม่ใช่ๆ”
ณิศาไม่ยอมรับ
กิติยาหยิกแก้มน้องสาวเบาๆ “พี่เลี้ยงเธอโตมากับมือ เธอคิดอะไรอยู่ พี่รู้หมด ถ้าไม่พูดถึงเรื่องพื้นเพครอบครัว ประยสย์เป็นคนเก่งมาก คู่กับเธอก็ถือว่าเหมาะสม แต่คนๆนั้นนิสัยด้านชาเกินไป ส่วนเธอก็อ่อนโยนเกินไป ถ้าพวกเธอสองคนอยู่ด้วยกัน คนหนึ่งไม่ชอบพูด ส่วนอีกคนก็ไม่กล้าพูด แบบนี้จะเกิดความขัดแย้งกันได้ง่าย”
ถ้ามีความขัดแย้งกันเกิดขึ้น ด้วยนิสัยของประยสย์แล้วก็ต้องปล่อยให้เป็นสงครามเย็น
น้องสาวของเธอนิสัยอ่อนโยนและอ่อนแอ ไม่กล้าพูด เมื่อสามีภรรยาทำสงครามเย็นนานเกินไป ความสัมพันธ์ก็จะผันแปรไป
“พี่ ความจริงแล้ว ฉันไม่ได้อ่อนแออย่างที่พี่คิด”
กิติยายิ้มออกมาอย่างเอ็นดูแล้วพูดขึ้นว่า: “พี่รู้ว่าเธอไม่ใช่คนอ่อนแอ เธอก็แค่อ่อนโยนเกินไป มีพี่อยู่ เธออ่อนโยนเหมือนน้ำ ก็ไม่ต้องกลัว พี่จะช่วยเธอหาผู้ชายที่เหมาะสมกับเธอ แล้วแต่งงานกันใกล้ๆ นี้ ในอนาคตพวกเราสองพี่น้องจะได้ไปมาหาสู่กันสะดวก”