รักนะจุ๊บๆ คุณสามีพันล้าน บทที่ 664 ดูแลตัวเองด้วยนะ
“ไอ้เลว!”
“ใช่ๆๆ ผมมันไอ้เลว ไอ้เฒ่าเลวของคุณ ญาณิน รอผมไปรับคุณกลับมานะ!”
“ถ้าคุณไม่มารับฉัน ฉันก็จะแต่งงานกับคนอื่น!”
ญาณินพูดจบก็วางสายลง
หลังจากวางสายแล้ว เธอยังคงด่าเขาอยู่: “เป็นไอ้เฒ่าหัวงูจริงๆ อายุเป็นคุณปู่คนได้แล้ว ยังมัวแต่คิดเรื่อง……”
“แม่”
เทวิกาเดินออกมา แล้วเรียกแม่
ญาณินจึงหยุดพูดคุยกับตัวเอง
เธอใส่โทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋ากางเกงเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น หันหน้าแล้วเดินไปหาลูกสาว
“แม่ แม่มาอยู่นี่ได้ยังไง หนูตามหาแม่ตั้งนานก็หาไม่เจอ นึกว่าแม่ทิ้งหนูไว้แล้วกลับไปแล้วเสียอีก”
ญาณินเงยหน้าขึ้นมองเมฆบนฟ้ามีรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้า แล้วพูดออกมาว่า: “แม่ไม่กลับไปคนเดียวหรอก แม่รอพ่อหนูมารับแม่ เขาพูดเอง ว่าเขาจะมารับแม่กลับไป”
เทวิกามองสีหน้าของคุณแม่ ถามออกมาอย่างดีใจว่า: “แม่ แม่ให้อภัยพ่อหนูแล้วใช่ไหม?”
“ไม่ให้อภัย แม่จะเกลียดเขาทั้งชีวิต ต่อไปนี้จะทรมานเขาทุกวัน แก้แค้นเขา ยั่วโมโหเขา”
เทวิกายิ้ม แม่ของเธอปากไม่ตรงกับใจ
“วิกา หนูหาแม่มีเรื่องอะไรเหรอ?”
“แม่ หนูจองตั๋วเรียบร้อยแล้ว กระเป๋าหนูก็เก็บเรียบร้อยแล้ว”
เทวิกาตัดสินใจกลับเมืองซูเพร่าวันนี้
ญาณินตกใจ แต่ก็ไม่ได้ห้ามลูกสาว “เดี๋ยวใครส่งหนูไปสนามบิน?”
“พี่ชายหนูจะกลับมาส่งหนูค่ะ”
ชเนนทร์รู้เรื่องที่น้องสาวจะกลับเมืองซูเพร่า ถึงแม้จะเสียดายและเป็นห่วงแต่ก็ไม่ได้ขัดขวาง
ยศพัฒน์ยังอยู่เมืองซูเพร่า นี่เป็นเรื่องของตระกูลสาระทา น้องสาวของเธอจะปลีกตัวออกห่างก็ไม่ดี ถ้าหากเกิดอะไรขึ้นกับยศพัฒน์ น้องสาวของเขามีชีวิตอยู่จะมีความหมายอะไร?ยิ่งจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต
ปล่อยน้องสาวกลับไปดีที่สุด ให้พวกเขาสองคนได้เผชิญเรื่องราวด้วยกัน เผชิญความยากลำบากและอุปสรรคของชีวิตไปพร้อมกัน
“ถ้างั้น กินข้าวเสร็จก่อนค่อยไป”
“อืม”
ญาณินลูบใบหน้าลูกสาวเบาๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความอ่อนโยน ถึงแม้จะมีคำพูดเป็นพันเป็นหมื่นคำ แต่กลับพูดไม่ออกสักคำ
สุดท้าย เธอสวมกอดลูกสาว แล้วพูดเสียงอ่อนโยนออกมาว่า: “แม่ไม่ส่งหนูไปสนามบินแล้วนะ แม่ขอให้หนูเดินทางปลอดภัย ไปบอกลาคุณพิชญ์สินีพวกเขาก่อน”
“แม่ หนูไม่ใช่จะไม่กลับมาแล้วสักหน่อย ไม่ต้องทำเหมือนหนูจะไม่กลับมาแบบนั้นสิ”
ญาณินตบปากเธอเบาๆ “จะออกจากบ้านแล้ว ห้ามพูดจาเรื่อยเปื่อยเด็ดขาด”
“ลงไปข้างล่างเถอะ พ่อแม่ของหนูน่าจะเตรียมของอร่อยไว้ให้หนูละ”
ความรักที่บ้านตระกูลวาชัยยุงมีให้กับวิกา ญาณินเห็นในสายตา ดูแลเป็นอย่างดียิ่งกว่าลูกในแท้ๆ อีก แม้แต่เธอที่เป็นแม่แท้ๆ ยังทำได้ไม่ดีพอเลย
จะไปโทษเทวิกาที่ตัวอยู่เมืองซูเพร่า แต่ใจกลับอยู่ที่เมืองแอคเซสซ์ไม่ได้
สองแม่ลูกเดินลงมาชั้นล่างพร้อมกัน
เชนนทร์กลับมาแล้ว
เขากำลังช่วยล้างผักอยู่ ส่วนพิชญ์สินีได้เริ่มผัดกับข้าวแล้ว
อาหารที่เตรียมต่างเป็นอาหารบ้านๆ ทั่วไป แต่เป็นอาหารที่เทวิกชอบทั้งนั้น
หลังจากกินข้าวเสร็จ เทวิกาเอาแต่โทรศัพท์ เอกสาร ส่วนอย่างอื่นไม่ได้เอาอะไรเลย เธอเดินออกจากบ้านโดยทุกคนในครอบครัวเดินออกมาส่ง รถของพี่ชายจอดอยู่หน้าประตู พี่ชายช่วยเธอเปิดประตู รอให้เธอขึ้นรถ
เทวิกหยุดเดิน หันหน้าไปมอง คุณปู่คุณย่า พ่อเลี้ยงแม่เลี้ยงและแม่แท้ๆ ที่ต่างมองมาที่เธอ รอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเขาที่ฝืนยิ้มออกมา ทำให้เธอรู้ดีว่าทุกคนในครอบครัวไม่อยากให้เธอไป
เธอหันกลับมา คุกเข่าลงไป และโค้งคำนับผู้ใหญ่ทุกคนสามครั้ง ครั้งนี้บรรดาผู้ใหญ่เหล่านั้นไม่มีใครมาพยุงเธอ ปล่อยให้เธอทำก้มคำนับตามความต้องการของเธอ
หลังจากก้มคำนับเสร็จ เทวิกาลุกขึ้น แล้วพูดกับผู้ใหญ่ทุกคนว่า: “คุณปู่ คุณย่า พ่อ แม่ หนูไปก่อนนะ”
ถ้าหาก เธอไม่สามารถมีชีวิตรอดกลับมาได้ ถือว่าเธออกตัญญู หวังว่าผู้ใหญ่ทุกคนจะดูแลสุขภาพตัวเองดีๆ
“ดูแลตัวเองด้วยนะ!”
สิรภพพูดเสียงต่ำออกมา
พิชญ์สินีอยากพูดอะไร ตันอยู่ที่ลำคอ เลยพูดอะไรไม่ออก
เธอบิดชายเสื้อตัวเอง มองไปที่เทวิกา และอยากร้องไห้ออกมา
เทวิกาหันไปมองผู้ใหญ่ทุกคน จดจำท่าทางของผู้ใหญ่ทุกคนไว้ในก้นบึ้งของหัวใจ เธอตัดสินใจเด็ดขาด หันหน้าเดินออกไป แล้วขึ้นรถพี่ชาย แม้แต่คำร่ำลาก็ไม่พูด
“วิกา——”
พิชญ์สินีวิ่งไล่ตามออกมา วิ่งไล่ตามรถลูกชายไปสิบกว่าเมตร ถึงหยุดลง และปาดน้ำตาออกอย่างต่อเนื่อง
รู้ทั้งรู้ว่าการไปครั้งนี้ของลูกสาว เต็มไปด้วยอันตราย
จะมีชีวิตรอดกลับมาได้หรือเปล่ายังไม่รู้เลย
แต่เธอกลับไม่สามารถขัดขวางลูกสาวได้
เธอเป็นห่วง ไม่อยากให้ไป
นั่นเป็นลูกสาวที่เธอเลี้ยงดูมาแต่อ้อนแต่ออก
ญาณินเดินไปอยู่ข้างๆ พิชญ์สินี แล้วยื่นมือไปแตะไหล่เธอ พูดออกมาอย่างอ่อนโยนว่า: “ตอนนั้น วิกาก็ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายเหมือนตอนนี้ ลำบากยากเย็น แต่สุดท้ายเธอก็ปลอดภัยรอดตาย ถูกพี่สิรภพเก็บกลับมา แสดงว่าวิกาเป็นคนวาสนาดีอยู่”
“เธอไม่เป็นไรหรอก พ่อเธอ พี่ชายเธอ สามีเธอ ไม่มีทางปล่อยให้เธอเป็นอะไรหรอก พวกเรารอเธอกลับมาอยู่ที่บ้านก็พอ”
พิชญ์สินีปาดน้ำตาไปด้วย พูดไปด้วยว่า: “ใช่ๆๆ วิกาของพวกเราเป็นคนมีวาสนา ฉันก็แค่คิดถึงเธอ กลับมายังไม่ถึงสองวันเลย ก็จะกลับละ เมื่อลูกเดินทางไกลแม่ก็เป็นห่วง”
ญาณินสัมผัสได้ถึงความคิดถึงกับความเป็นห่วงของพิชญ์สินี
ใช่ ลูกเดินทางไกลแม่ก็เป็นห่วง
เธอที่เป็นแม่แท้ๆ ก็เป็นห่วงลูกชายกับลูกสาวของเธอเหมือนกัน
เทวิกาเจอประยสย์พี่ชายตัวจริงของเธอที่สนามบิน
“พี่?”
“วิกา?”
ประยสย์รู้สึกแปลกใจ ที่เจอน้องสาวที่นี่
สองพี่น้องไม่ได้สอบถามอะไรกันมาก ในเมื่อเจอกันแล้ว ก็นั่งเครื่องบินกลับเมืองซูเพร่าพร้อมกัน
เมื่อรู้ว่าตอนแรกพี่ชายจะขอเครื่องบินส่วนตัวมาใช้ ใครจะไปรู้คุณพ่อของพวกเธอมีคำสั่ง ไม่อนุญาตให้ประยสย์ใช้เครื่องบินส่วนตัวเป็นอันขาด ประยสย์เลยต้องมาที่สนามบินเพื่อนั่งเครื่องบินโดยสารกลับเมืองซูเพร่า
ตอนแรก เทวิการับรู้ว่าสถานการณ์ที่เมืองซูเพร่าได้ตึงเครียดมากแล้ว
พร้อมที่จะระเบิดออกมาได้ทุกเมื่อ
ยิ่งสถานการณ์เป็นแบบนี้ เธอก็ยิ่งต้องกลับไป
……
รถคันที่ตัวแทนของญาณินนั่งนั้น หลังจากออกมาจากคฤหาสน์เล็ก เดินทางมาได้ครึ่งทางก็ถูกต้นไม้ใหญ่ๆ ขวางทางไว้หลายต้น
คนขับรถกับบอดี้การ์ดต่างลงไปจากรถเพื่อขนย้ายต้นไม้ออก
ใครจะไปรู้หลังจากที่พวกเขาลงไปจากรถ ได้ไม่ถึงสองนาที ก็พากันสลบไปทีละคน
ญาณินตัวปลอมที่อยู่ในรถเมื่อรถถูกบังคับให้จอด ก็รู้ได้ทันทีว่าจะเกิดเรื่อง
เธอไม่ใช่ญาณินตัวจริง จึงไม่ได้กระวนกระวาย เธอหยิบโทรศัพท์ออกมาแล้วโทรให้ไซม่อน บอกกับไซม่อนว่า: “บอส พวกเขาลงมือแล้ว ตอนนี้รถของฉันถูกบังคับให้จอดอยู่ระหว่างทาง หลังจากที่คนขับรถกับบอดี้การ์ดลงไปจากรถแล้ว ต่างล้มไปกองอยู่ที่พื้น น่าจะถูกปืนยิง พวกเขาใช้ปืนเก็บเสียง”
“พยายามป้องกันตัวเองให้ดีที่สุด”
ไซม่อนพูดกำชับเสียงต่ำออกมา
ญาณินตัวปลอมพูดออกมาว่า: “ชีวิตของผมบอสเป็นคนให้มา ถ้าต้องตายเพราะปกป้องคุณผู้หญิง ผมก็ตายอย่างคุ้มค่าแล้ว”
“สัญญาณติดตามตัวซ่อนดีๆ หน่อย อย่าให้พวกเขาค้นเจอ”
“รับทราบ”
จากนั้นญาณินตัวปลอมได้วางสายลง แล้วโทรหาโรงพยาบาลขอความช่วยเหลือ ในขณะที่เขาจะโทรหาตำรวจนั้น กระจกรถถูกคนเอาของแข็งทุบแตก และปืนสีดำจี้มาที่ตัวเธอทันที
“คุณหญิงธิษณา เชิญลงมาจากรถ”
รถสีดำที่ขับมาจากข้างหน้าคนที่ลงมาจากรถล้วนแต่ใส่ชุดสีดำ และพวกเขาไม่สวมหน้ากากเลยด้วยซ้ำ
ตัวแทนของญาณินรู้ได้ทันทีว่าเป็นคนของตระกูลเลิศธนโยธา
เธอนั่งนิ่งอยู่สักพัก จากนั้นค่อยผลักประตูรถ เมื่อเห็นคนชุดดำคนนั้นยังคงถือปืนจี้มาที่เธออยู่ เธอจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรีบเฉยว่า: “ในมือฉันไม่มีอาวุธ สู้ไม่ได้หรอก วิ่งหนีก็ไม่ได้เช่นกัน เก็บปืนนี้ไว้ดีกว่า เดี๋ยถ้าเกิดมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา พวกคุณกลับไปจะส่งมอบงานไม่ได้”