รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 125 เมืองหญ้าไพร

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 125 เมืองหญ้าไพร

ในเวลาเก้านาฬิกาของเช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋เฉินขับรถจี๊ปที่ถูกเปลี่ยนสีพรางตัวเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับสมาชิกอีกสามคนของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ รวมทั้งหัวหน้าคาราวาน ‘คนไร้ราก’ เฟอร์ลินนั่งรวมคันเดียวกัน ขับติดตามขบวนคาราวานย่อยซึ่งมีรถอยู่ห้าหกคันเพื่อเดินทางไปยังเมืองหญ้าไพร

ไม่ทราบว่านี่เป็นเพราะงานด่วนที่ต้องเร่งมือทำ หรือเป็นเพราะพวกช่างต้องการให้มันดูสมจริงที่สุด สีของรถจี๊ปที่ทำมาใหม่นั้นจึงไม่ค่อยกลมกลืนกันในหลายๆ จุด แต่โดยทั่วไปแล้วใครเห็นก็รู้ทันทีว่านี่เป็นสีเขียวลายพรางแบบทหาร

นี่คล้ายกับรถจี๊ปส่วนใหญ่ที่วิ่งกันอยู่บนแดนธุลี ที่เมื่อมีการเฉี่ยวชนก็ไม่มีอู่ที่ไหนให้ส่งไปซ่อม หรือไม่ก็ซ่อมลวกๆ แบบขอไปที ไม่ได้ไปใส่ใจอะไรมากนัก

และเหตุผลที่เฟอร์ลินไม่ได้นั่งร่วมอยู่กับกลุ่มรถของคาราวานก็เพราะเขารู้สึกว่าเมื่อไปถึงเมืองหญ้าไพรแล้วก็จะต้องแยกจากซางเจี้ยนเย่าน้องชายสุดที่รัก ดังนั้นจึงต้องรีบฉกฉวยเวลาที่อยู่ด้วยกันเอาไว้ให้นานที่สุด

นี่จึงทำให้ชายร่างใหญ่ทั้งสามคนต้องนั่งเบียดกันอยู่เบาะหลัง โชคดีที่รถคันนี้ค่อนข้างกว้างขวาง ไม่ส่งผลกระทบต่อประสบการณ์การโดยสารเท่าไหร่

หลังจากที่ออกจากค่ายคาราวานมาและขับอ้อมไปอีกด้านหนึ่ง ในที่สุดหลงเยว่หงก็ได้เห็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่สำคัญที่สุดของพื้นที่ในบริเวณนี้ นั่นก็คือ…

โรงงานผลิตน้ำประปา

มันมีต้นพืชสีเขียวขจีขึ้นอยู่รายรอบ สภาพแวดล้อมก็ค่อนข้างดีทีเดียว ราวกับว่าได้รับ ‘การดูแล’ มาเป็นอย่างดี

หลังจากแล่นผ่านโรงงานผลิตน้ำประปาไปแล้ว สภาพของซากเมืองทั้งหมดก็ค่อยๆ คลี่ออกมาปรากฏให้เห็นอยู่เบื้องหน้าสมาชิกทุกคนของ ‘ทีมสำรวจเก่า’

อาคารสูงของที่นี่เกือบทั้งหมดถล่มพังลงมาหมดแล้ว อิฐดินสีควันบุหรี่และสีน้ำตาลสุมกันเป็นกอง รวมถึงแท่งเหล็กขึ้นสนิมที่ใช้ค้ำยันโครงสร้าง พวกมันถูกปกคลุมไปด้วยกิ่งใบไม้เลื้อยที่แห้งเหี่ยวและพืชนานาพันธุ์ มีเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ปรากฏให้เห็นต่อสายตา

นี่ดูแล้วราวกับมีคนมากมายมหาศาลถูกฝังทั้งเป็น และพยายามยื่นเหยียดมือออกมาเพื่อไขว่คว้าอะไรบางอย่างก่อนที่จะตกตาย

เมื่อเทียบกับซากเมืองที่อยู่ในส่วนลึกของบึงแล้ว สถานที่แห่งนี้ไม่มีอะไรที่มองแล้วทำให้นึกเชื่อมโยงกับโลกเก่าได้เลย

แม้แต่เหล่านักล่าซากอารยะทั้งหลายต่างก็ยอมยกธงขาวให้กับสถานที่แห่งนี้ เพราะสิ่งที่หลงเหลืออยู่นั้นยากที่จะเก็บรวบรวม หรือไม่ก็ไร้ราคาค่างวด

“เฮ้อ…” เจี่ยงไป๋เหมียนที่นั่งอยู่ที่เบาะด้านข้างคนขับถอนหายใจออกมา ‘เบาๆ’

เฟอร์ลินซึ่งนั่งอยู่กึ่งกลางระหว่างซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วพูดขึ้น

“สมัยตอนที่ปู่ฉันยังมีชีวิตอยู่ เขาบอกว่าที่นี่เป็นเมืองท่องเที่ยวอะไรสักอย่างนี่แหละ

“ไม่งั้นพวกเราก็คงไม่ขับรถอาร์วีตะลอนกันจนมาถึงที่นี่หรอก”

แล้วจู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าก็พูดขึ้นมา ทว่าไม่ได้สานต่อหัวข้อสนทนาของเฟอร์ลิน

“ผมอยากเปิดเพลง”

“เพลงหวนย้อนอดีตนั่นน่ะเหรอ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามขึ้นเพราะเข้าใจความคิดของเขา

ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะอย่างหนักแน่น

“ใช่”

“พอเลย พอเลย ฟังแล้วทำอารมณ์ปั่นป่วนกันพอดี” เจี่ยงไป๋เหมียนโบกมือปฏิเสธ “ถนนเส้นนี้ก็ขับยากอยู่แล้ว อย่าไปรบกวนไป๋เฉิน”

ซากเมืองแห่งนี้ถูกทิ้งร้างอย่างสมบูรณ์ ถนนหลายสายจึงถูกกลบฝัง ถูกตัดขาดจากการถล่มของตึกหรือไม่ก็แผ่นดินทรุดจนทำให้ถนนยุบตัวลงไป ดังนั้นจึงไม่อาจใช้เพียงถนนเส้นเดียวเดินทางไปได้ตลอด ยวดยานพาหนะจำต้องคอยเปลี่ยนเส้นทางอยู่เป็นระยะ

โชคดีที่ไม่ว่าจะเป็นไป๋เฉิน เฟอร์ลิน หรือ ‘คนไร้ราก’ ที่กำลังนำทางอยู่นั้นต่างก็คุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี ไม่ได้ขับหลงทิศผิดทาง

“ต้องขอบคุณพวกนักล่าที่ขนเอารถกลับไป ก็เลยช่วยทำให้ทางโล่งขึ้น ไม่ค่อยมีรถเกะกะขวางถนน ไม่งั้นต้องเสียเวลาขับอ้อมกันอีกนาน” เจี่ยงไป๋เหมียนทอดถอนใจ

“พวกเราเองก็ลงแรงไปพอสมควรเหมือนกัน” เฟอร์ลินยิ้มพลางยกมือลูบเคราสีดอกเลารอบปาก “คาราวานการค้าของเราได้รถมาจากที่นี่กันไม่น้อยเลยล่ะ แต่ตอนนี้กลายเป็นรถรุ่นคุณปู่ไปหมดแล้ว”

ในระหว่างที่คุยกันนี้ ขบวนรถใช้เวลามากกว่าหนึ่งชั่วโมงค่อยๆ แล่นผ่านพื้นที่บริเวณที่เสียหายหนักที่สุดของซากเมือง หลังจากนั้นสภาพถนนก็ค่อยๆ เริ่มดีขึ้น มองไปด้านหน้าก็สามารถมองเห็นถนนซึ่งลอยอยู่กลางอากาศและมีเสาสีควันบุหรี่ขนาดยักษ์คอยเป็นฐานรองรับไว้ด้วย ถนนดูโล่งมาก มีความเสียหายเพียงเล็กน้อย ทว่ามีวัชพืชแห้งเหี่ยวขึ้นอยู่เต็มไปหมด

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดขบวนรถก็มาถึงด้านข้างของ ‘แม่น้ำขุ่น’

แม่น้ำบริเวณนี้เป็นสีเหลืองราวกับว่ามีทรายเจือปนอยู่เป็นจำนวนมาก

และเนื่องจากเป็นฤดูหนาวจึงทำให้พื้นที่หลายส่วนของแม่น้ำสัมผัสกับอากาศโดยตรงและเต็มไปด้วยตะกอน

ด้านหน้าขบวนรถในแนวเฉียง มีสะพานขนาดกลางซึ่งมีเสาคู่ทอดยาวออกไปทั้งสองด้าน

หลังจากข้ามสะพานที่ซ่อมแซมใหม่นี้ไปแล้ว และขับต่อไปอีกราวสิบนาที กำแพงเมืองสีควันบุหรี่สูงหลายเมตรก็ปรากฏต่อสายตาของทุกคน

“ที่นั่นก็คือเมืองหญ้าไพร” เฟอร์ลินแนะนำ

“มีกำแพงเมืองด้วยเหรอเนี่ย” หลงเยว่หงถามด้วยความแปลกใจระคนสงสัย

เขาจำได้ว่าในหนังสือเรียนเขียนเอาไว้ว่าเมืองของโลกเก่านั้นต่างไปจากยุคโบราณที่จำเป็นต้องสร้างกำแพงเมืองที่แข็งแรงและสูงใหญ่ แต่สถานที่ส่วนใหญ่ของโลกเก่านั้น อย่างเช่นพวกโรงเรียน จะมีเพียงรั้วเตี้ยๆ ล้อมรอบเพื่อความสะดวกในการดูแลจัดการ

นี่หากว่ากำแพงนี้ถูกสร้างขึ้นหลังจากที่โลกเก่าล่มสลายลง ก็นับได้ว่าเป็นโครงการที่ยิ่งใหญ่เป็นอย่างยิ่ง!

เฟอร์ลินพูดด้วยรอยยิ้ม

“ทางด้านนี้ก็คือเครื่องตกแต่งของซากเมืองที่เราเพิ่งผ่านมาก่อนหน้านี้น่ะ

“ว่ากันว่ามันเป็นเมืองโบราณมาตั้งแต่สมัยก่อนที่โลกเก่าจะถูกทำลายแล้วล่ะ”

“เป็นสถานที่ท่องเที่ยวงั้นหรือ เพื่อคงภาพลักษณ์ของความเป็นเมืองโบราณเอาไว้ พวกเขาก็เลยอนุรักษ์และซ่อมแซมกำแพงเมืองพวกนี้เอาไว้สินะ” เจี่ยงไป๋เหมียนคาดเดาจากองค์ความรู้ของตน

เฟอร์ลินร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่ง

“ฉันเคยได้ยินมาว่าตอนที่จัดประชุมครั้งแรกน่ะ ในตอนนั้นคนจำนวนมากที่รอดชีวิตมาได้ กำลังเตรียมจะจัดตั้งนิคมขึ้นมา ตอนแรกพวกเขาพิจารณาว่าจะเลือกซากเมืองที่เราเพิ่งผ่านกันมานั่นแหละ แต่ว่าสภาพของที่นั่นเสียหายมากเกินไป ส่วนทางนี้ก็มีกำแพงเมืองกับโรงงานผลิตน้ำประปา แถมยังใกล้กับโรงไฟฟ้าพลังน้ำด้วย”

เมื่อพูดถึงตรงนี้เขาก็หัวเราะฮ่าฮ่าออกมา

“ถึงแม้ว่ากำแพงเมืองจะไม่อาจใช้ป้องกันลูกปืนใหญ่หรือระเบิดได้ก็จริง แต่อย่างน้อยก็ยังใช้ป้องกันสัตว์ป่า สัตว์ประหลาด และพวก ‘คนไร้ใจ’ ได้ ทำให้ทุกคนรู้สึกปลอดภัยมากขึ้น”

ขณะที่กำลังพูดอยู่ ขบวนรถก็แล่นมาถึงประตูทางเข้าเมืองหญ้าไพร

ที่นี่ค่อนข้างแออัดคับคั่ง ความเร็วรถจึงลดลงไปมาก

หลงเยว่หงเลื่อนเปิดหน้าต่างรถและมองออกไป เห็นฝูงชนมากมาออกันอยู่หน้าประตูเมืองเต็มไปหมด

พวกเขาต่างก็สวมเสื้อผ้าเก่าๆ ขาดๆ ใบหน้าขาวซีดริมฝีปากเขียวคล้ำเนื่องจากสายลมของฤดูหนาว

คนส่วนใหญ่เป็นหนุ่มสาวและคนวัยกลางคน มีทั้งหญิงและชาย รองลงมาก็คือเด็กเล็ก ไม่มีผู้สูงอายุแม้แต่คนเดียว

สีหน้าพวกเขาแข็งทื่อราวกับท่อนไม้ ค่อยๆ ขยับเคลื่อนที่ไปข้างหน้าราวกับเป็นหุ่นยนต์ที่ไร้จิตใจ

“คนพวกนี้คือ…” หลงเยว่หงหันหน้าไปหาเฟอร์ลิน

เฟอร์ลินผุดขึ้นมานั่งแล้วพยายามชะเง้อมองดูที่ประตูเมือง

“เป็นพวกคนเร่ร่อนแดนร้างที่มีอาหารไม่พอกินในฤดูหนาวน่ะ ก็เลยลองมาเสี่ยงโชคที่เมืองหญ้าไพรดู”

“หางานทำที่นี่ได้ด้วยเหรอ” หลงเยว่หงถามออกมาตามความเคยชินในฐานะที่เป็นพนักงานบริษัท

เฟอร์ลินหัวเราะเยาะตัวเอง

“คนที่โชคดีที่สุดจะถูก ‘สมาคมนักล่า’ ซื้อตัวไป และได้รับการฝึกฝนให้เป็นผู้สืบทอดโดยตรง

“คนที่โชคดีรองลงมาก็จะมีพวกขุนนางมาซื้อไปเป็นทาส

“คนที่โชคไม่ค่อยดีนักจะถูกพวกพ่อค้าเนื้อซื้อไป

“ส่วนคนที่โชคร้ายสุด จะกลายเป็นคนงานขุดเหมือง…”

เมื่อได้ยินคำตอบของเฟอร์ลิน ภายในรถจี๊ปก็เงียบกริบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาครู่ใหญ่

หลงเยว่หงมองดูรถที่ตนนั่งค่อยๆ เคลื่อนหน้าแซงผู้คนเหล่านั้นไปทีละคน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอะไรได้

จากนั้นก็ละสายตากลับมาแล้วหันไปมองซางเจี้ยนเย่า เห็นว่าเพื่อนรักคนนี้มีสีหน้าที่เคร่งขรึม

ในที่สุดเจี่ยงไป๋เหมียนก็ทำลายความเงียบลง พูดซ้ำด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน

“พวกขุนนาง…”

“นี่เป็นสิ่งที่เรียนรู้มาจาก ‘ปฐมนคร’ นั่นแหละ ถึงยังไงที่นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของ ‘ปฐมนคร’” เฟอร์ลินไม่ได้ใส่ใจ

หลงเยว่หงสะกดอารมณ์ของตนเอง แล้วถามต่อ

“ทำไมพวกเขาต้องต่อแถวกันเข้าประตูด้วยล่ะ”

เขาจำได้ว่าไป๋เฉินเคยเล่าว่าเมืองหญ้าไพรนั้นเปิดกว้าง และไม่ต้องจ่ายภาษีขาเข้า

“มีคนเร่ร่อนตั้งเยอะแยะขนาดนี้ ใครจะไปรู้ว่ามีคนไหนเป็นโรคติดต่อบ้างหรือเปล่า ในช่วงเวลาแบบนี้จึงต้องมีการตรวจสอบขั้นพื้นฐานเสียก่อน ไม่อย่างนั้นถ้าเกิดเรื่องขึ้นมาก็จบกัน” เฟอร์ลินค่อนข้างคุ้นเคยกับขั้นตอนเช่นนี้เป็นอย่างดี

“อ้อ” หลงเยว่หงผงกศีรษะแล้วถามต่อ “เอ๋ แล้วทำไมถึงไม่มีคนแก่…”

แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบประโยค ก็พลันนึกขึ้นได้ทันที

“เข้าใจแล้ว”

ในฤดูหนาวเช่นนี้ ทั้งเสื้อผ้าอาหารล้วนขาดแคลน คนที่อายุมากสักหน่อยก็คงไม่อาจเดินทางมาจนถึงเมืองหญ้าไพรได้อย่างแน่นอน ดังนั้นพวกเขาคงเลือกจบชีวิตตนเองเพื่อถนอมทรัพยากรอันจำกัดจำเขี่ยไว้ให้กับคนรุ่นหลัง

ซึ่งนั่นก็รวมไปถึงซากร่างของตนเองด้วยเช่นกัน

จากความเข้าใจในสถานการณ์ดังกล่าว จึงทำให้หลงเยว่หงถึงกับซึมลงไปครู่ใหญ่

เฟอร์ลินตบบ่าหลงเยว่หงเบาๆ

“เฮ้อ… ที่นี่ก็คือแดนธุลี รีบคุ้นเคยกับมันเสียเถอะ

“ไว้หิมะแรกตกเมื่อไหร่ สถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงไปอีก”

พูดแล้วเขาก็มองไปทางทิศเหนือ

“ฉันได้ยินมาว่าในแดนร้างบึงดำมีหิมะตกลงมาแล้ว…”

“ภัยพิบัติของหิมะ…” ไป๋เฉินที่กำลังขับรถอยู่ ราวกับว่านึกถึงบางเรื่องขึ้นมาได้

เจี่ยงไป๋เหมียนรีบปลอบเธอทันที

“โชคดีที่เมืองน้ำล้อมไม่ต้องกังวลกับปัญหาเรื่องนี้”

หลังจากค่อยๆ เคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ สักพัก ในที่สุดขบวนรถก็ผ่านการตรวจสอบและเข้าไปในเมืองหญ้าไพร

หลงเยว่หงมองออกไปด้านนอกอย่างไม่รู้ตัว เห็นถนนปูด้วยอิฐที่ทำจากก้อนหินเป็นสีเขียวบ้างสีควันบุหรี่บ้าง ดูเป็นระเบียบเรียบร้อยมากแต่ก็ค่อนข้างคับแคบจนรถสองคันแทบจะแล่นสวนกันไม่ได้

อาคารสองฟากฝั่งถนนไม่ได้สูงมาก อาคารหลังที่สูงที่สุดก็สูงเพียงแค่ห้าชั้นเท่านั้น ทั้งหมดล้วนเป็นชายคาจีนแบบโต๋วก่ง[1]

อาคารชั้นล่างสุดเป็นห้องแถวที่หันหน้าออกถนน คล้ายกับซากเมืองที่อยู่ในส่วนลึกของบึงน้ำมาก

และก็มีป้ายร้านค้าแขวนเอาไว้ตลอดทางเช่นเดียวกัน

หลงเยว่หงกวาดสายตามองดู เห็นชื่อ ‘ร้านบะหมี่เจ้าเก่า’ ‘อาซิ่วอาหารว่าง’ ‘น้ำมันปรุงอาหารจางจี้’ ‘สำนักงานปฐมนคร’ และ ‘ชู๊ตติ้งอินเทอร์เน็ตคาเฟ่’

แม้กระทั่งเสาไฟข้างถนนก็ยังมีกระดาษแปะเอาไว้ด้วย มีข้อความเขียนไว้ว่า ‘เชี่ยวชาญรักษาโรคเรื้อรัง’

นอกจากนี้หลงเยว่หงก็ยังเห็นป้ายมากมายที่เขียนด้วยตัวอักษรแม่น้ำแดง

รวมถึงคำอย่างเช่น ‘ร้านอาหาร’ ‘คลับ’ และ ‘ขนมปัง’

เพิ่งจะตอนนี้นี่เองที่หลงเยว่หงรู้สึกได้อย่างแท้จริงว่าที่จริงแล้ว ‘เมืองหญ้าไพร’ นั้นเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ปฐมนคร’

คนที่เดินอยู่บนท้องถนนนั้น เกือบครึ่งหนึ่งมีผมสีดำดวงตาสีน้ำตาล ส่วนที่เหลือนั้นบ้างก็มีผมสีบลอนด์ บ้างก็มีผมสีน้ำตาล บ้างก็มีดวงตาสีฟ้า บ้างก็มีดวงตาสีเขียว

และเนื่องจากว่าในเวลานี้เป็นฤดูหนาวแล้ว ลมหนาวก็กำลังพัดโชย ดังนั้นด้านนอกจึงไม่ค่อยมีผู้คนสัญจรไปมามากนัก

“ดูคึกคักดีจัง” หลงเยว่หงถอนหายใจ

“นี่ยังไม่เท่าไหร่นะ ถ้าเป็นเมื่อสองเดือนก่อนหน้านี้ รถวิ่งไม่ได้เลยแหละ” เฟอร์ลินพูดด้วยรอยยิ้ม “แต่เดิมแล้วถนนเส้นนี้ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อให้รถวิ่งหรอก มันแคบมาก ทำให้การจราจรติดขัด”

“อย่างนี้นี่เอง…” หลงเยว่หงพยักหน้าแล้วมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งเช่นเดียวกับซางเจี้ยนเย่า

ด้านบนของเสาไฟแต่ละต้นนั้นมีสายไฟที่ระโยงระยางอย่างระเกะระกะจนดูรกสายตาไปหมด

ระหว่างที่รถกำลังเคลื่อนไปข้างหน้าเรื่อยๆ สายตาของหลงเยว่หงก็พลันเห็นป้ายหนึ่ง

‘ตลาดทาสถนนใต้’

หลงเยว่หงเงียบงันไปครู่ใหญ่

* * * * *

[1] ชายคาจีนแบบโต๋วก่ง โต่วกง หรือโตวกง (飞檐斗拱) เป็นโครงสร้างซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมจีนโบราณ จะมีปุ่มรองรับน้ำหนักทรงโค้งซึ่งมีปลายคานยื่นออกมานอกเสา

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท