รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 127 น้าหนาน

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 127 น้าหนาน

“พวกเขาซ่อมปืนกันเป็นด้วยเหรอเนี่ย” หลงเยว่หงมองไป๋เฉินที่นั่งตำแหน่งคนขับ แล้วผลักประตูรถเปิดออก

ความหมายของเขาก็คือ งานซ่อมแซมนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

“ถ้าซ่อมไม่ได้ ก็เปิดร้านแบบนี้ไม่ได้หรอก” ลมหนาวส่งเสียงหวีดหวิวอยู่ด้านนอก ไป๋เฉินอดกระชับผ้าพันคอสีเทารอบคอตนเองไม่ได้

“และบางทีปืนก็อาจจะไม่ได้พังจริงๆ ก็ได้ หรือไม่ก็ชำรุดแค่นิดหน่อยแค่นั้น” เจี่ยงไป๋เหมียนคาดเดาจากประสบการณ์และความรู้ความเข้าใจของตนเอง “เพียงแต่ว่าคนที่เอามาขาย ไม่รู้เรื่องนี้เท่านั้นเอง”

ไป๋เฉินพยักหน้าและพูดเสริม

“นี่คือส่วนที่หาเงินได้มากที่สุด”

หลังจากพูดจบเธอก็ปิดประตูรถแล้วเดินเข้าไปที่ ‘ร้านปืนอาฝู’

“เงินเหรอ” หลงเยว่หงเคยเรียนคำนี้มาก่อน แต่ในชีวิตจริงเขาเคยเห็นแค่ครั้งเดียวเท่านั้น นั่นก็คือเหรียญจากโลกเก่าที่ซางเจี้ยนเย่าได้มาจากอู๋โส่วสือ

ระหว่างที่เดินผ่านหน้ารถ เจี่ยงไป๋เหมียนก็อธิบายให้ฟัง

“ที่นี่นับว่าเป็นส่วนหนึ่งของกองกำลังใหญ่ แน่นอนว่าต้องมีเงินตราหมุนเวียน แต่ว่าจำกัดอยู่เพียงแค่เขตอิทธิพลภายในเท่านั้น

“จะว่าไปแล้ว แต้มส่วนร่วมของบริษัทเองก็เทียบเท่ากับเงินเหมือนกันนั่นแหละ นายลืมแนวคิดเรื่องมูลค่าการแลกเปลี่ยนไปแล้วหรือไง”

หลงเยว่หงนึกทบทวนอยู่สองสามวินาทีก่อนจะตอบเสียงอ่อยๆ

“ผมไม่เคยเรียนเรื่องพวกนั้น…”

เจี่ยงไป๋เหมียนประหลาดใจจนพูดไม่ออก ผ่านไปสองสามวินาทีถึงจะหัวเราะออกมาได้

“เอาไว้ฉันจะเอาหนังสือเกี่ยวกับเรื่องนี้มาให้นายอ่านละกัน

“ถึงแม้ว่าเรื่องพวกนี้จะไม่ได้ใช้ในบริษัท แต่ก็ช่วยให้พวกเราที่ต้องออกมาบนแดนธุลีบ่อยๆ ได้เข้าใจในหลายด้านมากขึ้น

“ยิ่งกว่านั้น ถ้าหากว่านายชำนาญเรื่องพวกนี้ก็จะช่วยให้เปลี่ยนงาน ย้ายออกจาก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ได้ง่ายขึ้นด้วย แถมยังอาจจะได้รับการมอบหมายให้ไปแผนกที่รับผิดชอบการค้าภายนอกอีกด้วยนะ”

“ได้ครับ ได้” ดวงตาหลงเยว่หงเปล่งประกายเมื่อได้ยินเช่นนี้

ถึงแม้ว่าเขาจะต้องอยู่กับ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ต่อไปอีกถึงครึ่งปี แต่คนที่ไม่มองการณ์ไกล ความยุ่งยากใจจะตามมา เขาจึงต้องเตรียมตัวสำหรับการเปลี่ยนงานในอนาคตไว้ด้วย

ไม่อย่างนั้นหลังจากที่คุ้นเคยกับงานที่มีรายได้ดีเช่นนี้ ถ้าต้องไปเจองานที่แย่กว่าก็คงจะผิดหวังมาก

พูดอีกอย่างก็คือ ชีวิตในวันข้างหน้าเขายังจะต้องดูแลครอบครัวอีกด้วย!

เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มพลางผงกศีรษะ จากนั้นก็มองไปที่ซางเจี้ยนเย่าด้วยความสงสัย

“ไหงนายไม่ยักจะพูดอะไรสักคำ”

ยิ่งหมอนี่ทำตัวเงียบเชียบสงบเสงี่ยมเท่าไหร่ เธอก็ยิ่งเกรงว่าเขาจะสร้างปัญหามากขึ้นเท่านั้น

ซางเจี้ยนเย่าลูบท้องก่อนจะตอบ

“เก็บแรงไว้”

“นั่นสินะ…” เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็รู้สึกหิวเช่นกัน

ตอนนี้เลยเวลาอาหารเที่ยงมาพักใหญ่แล้ว

ในขณะที่พูด ไป๋เฉินก็ออกมาจาก ‘ร้านปืนอาฝู’ กลับมาที่รถจี๊ป

ด้านหลังเธอนั้นมีชายหนุ่มสวมเสื้อกันลมเดินตามออกมาแล้วเดินไปเปิดประตูรั้วเหล็กที่อยู่ห่างออกไปสองสามเมตร

นี่เป็นทางเข้าไปด้านหลังอาคารของร้านปืน

นี่เป็นลานสี่เหลี่ยมซึ่งล้อมรอบไปด้วยอาคารหลายหลัง พื้นปูด้วยอิฐที่ทำจากก้อนหินสีควันบุหรี่ แต่ว่าแตกหักไปไม่น้อย มีน้ำฝนขังเป็นแอ่ง

หลังจากไป๋เฉินหาที่จอดรถจี๊ปได้เรียบร้อยแล้ว เธอก็พูดขึ้น

“ที่นี่แหละ”

เจี่ยงไป๋เหมียนผงกศีรษะเล็กน้อย ก้าวลงจากรถแล้วมองดูโดยรอบ ในใจประเมินทางออกทั้งสี่ด้านของลานจอดรถ

จากนั้นพวกเขาก็เดินตามไป๋เฉินเข้าไปที่ประตูหลังของ ‘ร้านปืนอาฝู’ และเดินขึ้นบันไดสีควันบุหรี่ที่เย็นและชื้นขึ้นไปยังชั้นสองของร้าน

มีหญิงสาวอายุสามสิบกว่ากำลังนั่งรออยู่ที่นั่น

ผมสีดำของเธอเกล้าเป็นมวยสูง ใบหน้าไม่ได้ดูโดดเด่นแต่กลับมีเสน่ห์บางอย่างที่อธิบายไม่ถูก

ในตอนนี้เธอกำลังสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีแดงเข้ม และมีผ้าพันคอสีเข้มพันรอบคอ ดูแล้วค่อนข้างสะอาดสะอ้าน

“น้าหนาน” ไป๋เฉินทักทาย

น้าหนานกวาดสายตามองดูสมาชิก ‘ทีมสำรวจเก่า’ โดยไม่ได้ถามอะไร จากนั้นก็ชี้ไปที่สุดทางเดินชั้นสองก่อนจะพูด

“ห้องของพวกคุณอยู่ด้านในสุดของชั้นสอง ถ้าเจอปัญหาอะไรก็สามารถกระโดดลงไปด้านล่างหรือถนนได้

“กุญแจเสียบอยู่ที่ประตู”

เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูผ้าพันคอที่พันอยู่รอบคอของน้าหนาน ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณค่ะ”

“ไม่ได้ให้พวกคุณพักกันฟรีๆ เสียหน่อย” น้าหนานเม้มปากแล้วยิ้มออกมา “สองห้อง ราคาวันละหนึ่งอาหารกระป๋องทหาร 500 กรัม หวังว่าพวกคุณจะจ่ายตรงเวลา”

เจี่ยงไป๋เหมียนรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“ไม่ต้องห่วง ถ้าหามาจ่ายไม่ได้จริงๆ ฉันจะให้พวกเขาไปหางานทำ”

เธอหมายถึงซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง

น้าหนานยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ

“ในเมืองหญ้าไพรนั้น พวกนักล่าซากอารยะมีการแข่งขันกันสูงมาก

“บางครั้งยังต้องรับงานส่งอาหารด้วย”

เธอหยุดไปนิดหนึ่งก่อนจะเสริม

“ห้องน้ำห้องส้วมอยู่อีกด้านหนึ่ง หันหน้าไปก็มองเห็นแล้ว

“ถ้าอยากอาบน้ำแต่กลัวหนาว จะให้ดีก็เลือกอาบช่วงเที่ยงถึงเที่ยงครึ่ง แล้วก็ตอนเย็นช่วงหกโมงครึ่งถึงหนึ่งทุ่ม ตอนนั้นเราเพิ่งจะทำอาหารเสร็จ ยังมีน้ำร้อนอยู่ในผนังโปร่งที่อยู่ด้านหลังเตาที่เปิดใช้งานได้โดยตรง ฮ่า ฮ่า ต้องประหยัดพลังงานกันหน่อย ถ้าพลาดสองช่วงนั้นไปแล้วจะต้องเอาน้ำไปใส่เครื่องทำน้ำร้อนกันเอง เป็นเครื่องต้มด้วยไฟฟ้า จากนั้นก็ค่อยเอาไปผสมกับน้ำเย็นเพื่อปรับอุณหภูมิ

“อ้อ ตอนนี้เป็นหน้าหนาว มีน้ำไม่ค่อยพอใช้ เขตที่พักอาศัยมีไฟฟ้าให้ใช้แค่วันละห้าชั่วโมง ตั้งแต่สิบเอ็ดโมงครึ่งถึงบ่ายโมงครึ่ง อีกครั้งหนึ่งก็ตอนห้าโมงครึ่งถึงสองทุ่มครึ่ง พวกคุณจำเวลากันให้ดีล่ะ”

หลงเยว่หงกับคนอื่นๆ ไม่ได้รู้สึกแปลกใจที่น้าหนานเตือนเรื่องพวกนี้ จะว่าไปแล้วที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ นั้นยังเข้มงวดเรื่องการจ่ายพลังงานมากกว่านี้อีก และยังใช้ได้เพียงแค่โควต้าของแต่ละคนด้วย

“ถ้าเราใช้ไฟฟ้าต้มน้ำกันเอง ต้องจ่ายเพิ่มไหม” เจี่ยงไป๋เหมียนรู้ว่าไป๋เฉินนั้นอาจจะอยู่ในสถานะที่ไม่สะดวกจะถามคำถามนี้ เธอจึงเป็นคนรับผิดชอบเรื่องการต่อรอง

น้าหนานเหลือบมองไป๋เฉินก่อนจะตอบ

“หนึ่งกระป๋องใช้ได้สี่ครั้ง

“และถ้าต้องการให้ทางเราเตรียมอาหาร ต้องแจ้งล่วงหน้าก่อน”

หลังจากที่ได้ยืนยันรายละเอียดต่างๆ แล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็โบกมือลาน้าหนานแล้วเดินไปตามทางเดินอันเย็นเฉียบและมีแสงส่องทางที่ปลายทางเดินทั้งสองข้าง เพื่อเข้าไปที่ห้องพัก

ประตูห้องทั้งสองอยู่ตรงข้ามกัน บานประตูทาสีแดงเข้ม มีร่องรอยความเสียหายอยู่บ้าง ทำให้รู้สึกถึงความเก่าแก่

แผนผังของห้องทั้งสองนั้นเหมือนกันทุกประการ มีเตียงสองชั้น โต๊ะริมหน้าต่าง ตู้ไม้ที่มีรอยปลวกแทะ ม้านั่งสี่เหลี่ยมสองตัว

เนื่องจากปัญหาเรื่องสภาพอากาศและสภาพแวดล้อม ทำให้อากาศค่อนข้างชื้น ความหนาวเย็นราวกับชำแรกเสื้อผ้าเข้าสู่กระดูก

“ตามกฎเดิม” เจี่ยงไป๋เหมียนดึงกุญแจทองเหลืองของห้องริมถนนออกมา “ฉันอยู่ห้องเดียวกับซางเจี้ยนเย่า พวกนายอยู่อีกห้อง”

เธอจำเป็นต้องดูแลซางเจี้ยนเย่าเป็นการส่วนตัว จะได้ป้องกันไม่ให้เขาทำอะไรแผลงๆ เผื่อว่าเขาเกิดอาการสมองกระตุกขึ้นมา

อย่างเช่น อาจจะเปิดเพลงเสียงดังลั่น รบกวนผู้คนตอนดึกสงัด

อย่างเช่น ได้ยินเสียงอะไรบนท้องถนนแล้วจะอยากจะ ‘มีส่วนร่วม’ เลยเปิดหน้าต่างกระโดดลงไป

และเห็นได้ชัดว่าไป๋เฉินคงไม่สามารถจัดการกับหมอนี่ได้อย่างแน่นอน

โดยไม่เปิดโอกาสให้ซางเจี้ยนเย่าพูดอะไร เจี่ยงไป๋เหมียนพลิกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์ที่สวมไว้

“ยังมีเวลาเหลืออีกสิบนาทีก่อนจะถึงเที่ยงครึ่ง ตอนนี้ทุกคนรีบไปอาบน้ำกันก่อน รีบอาบรีบเปลี่ยนเสื้อผ้า จากนั้นเราจะไปหาอะไรกินแล้วค่อยไปติดต่อเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง”

เมื่อเทียบกับนาฬิกาแบบแมคคานิกส์แล้ว เธอชอบนาฬิกาอิเล็กทรอนิกส์มากกว่า เพราะว่ามีคุณสมบัติให้ใช้งานได้หลากหลายกว่า

ผ่านมาจนถึงวันนี้ สมาชิกทุกคนของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ต่างก็ได้ฝึกฝนกันมาเป็นอย่างดี แต่ละคนใช้เวลาอาบน้ำเพียงแค่สองนาที แล้วเปลี่ยนมาสวมชุดที่คล้ายกับพวกนักล่าซากอารยะและชาวเมืองหญ้าไพรโดยทั่วไป

ท่อนบนของซางเจี้ยนเย่านั้นเป็นเสื้อขนเป็ดตัวสั้นสีน้ำเงินเข้ม เนื้อผ้าค่อนข้างเก่าแต่ไม่ถึงกับแห้งแข็งมากนัก ท่อนล่างเป็นกางเกงผ้าลายสานทแยงมุมสีน้ำเงินเนื้อผ้าหนา มีผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวน้อยมาก

หลงเยว่หงสวมเสื้อคลุมผ้าฝ้ายสีดำซึ่งยาวจนถึงต้นขา เจี่ยงไป๋เหมียนก็สวมแบบเดียวกัน ส่วนไป๋เฉินนั้นสวมเสื้อป้องกันลมสีเทาซึ่งสามารถอำพรางอาวุธที่ห้อยไว้ที่เข็มขัด

กางเกงพวกเขานั้นคล้ายกับซางเจี้ยนเย่า ผู้ชายสวมรองเท้าบูทหนังสีน้ำตาล ผู้หญิงสวมบูทสั้นสีดำ

นี่คือสิทธิประโยชน์ซึ่งทางบริษัทมอบให้พนักงานที่จำเป็นต้องออกไปปฏิบัติภารกิจบนพื้นโลกในช่วงฤดูหนาว

“ซ่อนปืนพกเอาไว้ให้ดี” ไป๋เฉินดึงกระชับผ้าพันคอและพูดเตือน “ในเมืองหญ้าไพรนั้นมีข้อห้ามค่อนข้างแปลก นั่นคือ ‘อย่าให้เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนเห็นอาวุธของคุณ’”

ส่วนที่วางอยู่ในร้านอาวุธนั้นไม่นับ

“ไม่ได้ห้าม แต่อย่าให้เจ้าหน้าที่ลาดตระเวนเห็นอย่างนั้นเหรอ” หลงเยว่หงถามด้วยความประหลาดใจ

“ถูกต้อง” ไป๋เฉินผงกศีรษะ “ถ้าเห็นครั้งแรก จะถูกยึดอาวุธ ถ้าเห็นครั้งที่สอง จะจับขังหนึ่งเดือน ถ้าเห็นครั้งที่สาม จะจับขังสามเดือน จากนั้นจะถูกขับออกจากเมือง และถูกตีตราว่าไม่เป็นที่ต้อนรับ รวมถึงถูกหักแต้มนักล่าของสมาคมนักล่าด้วย”

“แปลกแฮะ งั้นทำไมถึงไม่ห้ามพกอาวุธไปเลยล่ะ” หลงเยว่หงแสดงสีหน้าว่าไม่เข้าใจ

อย่างเช่นที่ ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ซึ่งห้ามเรื่องอาวุธปืนอย่างชัดเจน

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน” ไป๋เฉินตอบเสียงเรียบ

เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้มก่อนจะพูดออกมา

“ในหลายๆ แห่งนั้นก็มีข้อห้ามแปลกๆ ที่ทำให้คนงงเหมือนกัน ทุกข้อห้ามนั้นมีเหตุผลที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้ง”

“แล้วเหตุผลข้อห้ามของเมืองหญ้าไพรล่ะ” หลงเยว่หงถามต่ออีก

เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองเขา

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน หวังว่าวันหลังจะหาคำตอบได้

“การได้ขุดคุ้ยเรื่องพวกนี้คือความสุขประเภทหนึ่ง”

ที่จริงแล้วเธอก็พอจะคาดเดาได้บ้าง ทว่าในเมื่อไม่ได้มั่นใจสักเท่าไหร่จึงไม่พูดออกมาดีกว่า

หลังจากที่สนทนาหัวข้อนี้กันไป เจี่ยงไป๋เหมียนก็มองซางเจี้ยนเย่าที่พยายามบอกใบ้ด้วยการลูบท้องไปมาอย่างแรง แล้วเธอก็หัวเราะขึ้น

“ไปกันเถอะ ไปหาอะไรกินกัน”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซางเจี้ยนเย่าก็รีบหมุนตัวเดินนำลิ่วออกไปเป็นคนแรกทันที พวกเขาเดินผ่านทางเดินเย็นเฉียบไปจนถึงบันได

หลังจากที่ลงไปจนถึงลานจอดรถ ไป๋เฉินก็ชี้ที่รถจี๊ป

“ต้องเอาข้าวของไปแลกเป็นเงินก่อน”

“แลกยังไงเหรอ” หลงเยว่หงมักจะถามในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้อยู่เสมอ จัดว่าเป็นนักเรียนดีเด่นมาก

“ไปที่อาคารเทศบาล ที่นั่นจะมี ‘ซุ้มแลกเงิน’ สามารถเอาวัตถุปัจจัยต่างๆ มาแลกเป็นเงินท้องถิ่นได้ หรือถ้ามีคนรู้จักและไม่กลัวปัญหา ก็ไปแลกเงินที่ตลาดมืดก็ได้เหมือนกัน หาได้ตามสมาคมนักล่า บาร์ ร้านน้ำชา ไนต์คลับ ได้อัตราแลกเปลี่ยนสูงกว่า ประหยัดไปได้อีกหน่อย” ไป๋เฉินอธิบายสั้นๆ “ในเมืองหญ้าไพรและเขตอิทธิพลของ ‘ปฐมนคร’ การทำการค้าแบบถูกกฎหมาย ต้องใช้เงินเท่านั้น”

“อย่างนี้นี่เอง…” หลงเยว่หงพลันรู้สึกถึงความคาดหวังบางอย่างขึ้นมาทันที เพราะนี่คือสิ่งที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน เป็นเรื่องแปลกใหม่สำหรับเขามาก

เจี่ยงไป๋เหมียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตัดสินใจ

“ไปที่ซุ้มแลกเงินดีกว่า ก่อนจะติดต่อกับเจ้าหน้าที่ข่าวกรองของบริษัท ทางที่ดีก็อย่าเพิ่งไปข้องแวะกับพวกแก๊งใต้ดินเลย”

ไป๋เฉินไม่มีความเห็น เธอชี้ไปที่อาหารกระป๋อง ธัญพืชอัดแท่ง และบิสกิตอัดแข็งที่ยังเหลืออยู่ จากนั้นก็ถามขึ้น

“จะแลกเท่าไหร่”

“แล้วเธอว่าไง” เจี่ยงไป๋เหมียนเคารพการตัดสินใจของ ‘ผู้มีอำนาจ’ เสมอ

“ครึ่งหนึ่งก็แล้วกัน” ไป๋เฉินตอบอย่างไม่ลังเล “ค่าเงินของที่นี่ค่อนข้างผันผวน เก็บเสบียงไว้ในมือจะปลอดภัยกว่า”

“ผันผวน…” หลงเยว่หงถามด้วยความสงสัย

ไป๋เฉินอธิบายให้ฟัง

“เงินของ ‘ปฐมนคร’ นั้น หน่วยที่เล็กที่สุดเรียกว่า แคส ตามด้วย ดราส หน่วยที่ใหญ่ที่สุดคือ ออเรย์

“ในสถานการณ์ปกติ พูดในแง่ของการจัดซื้อวัตถุปัจจัยนะ แต้มส่วนร่วมของบริษัทหนึ่งแต้มจะเท่ากับสองแคส ซึ่ง 1 ออเรย์ จะเท่ากับ 10 ดราส และ 1 ดราส จะเท่ากับ 10 แคส อืม… จะพูดแบบนี้ก็ได้นะ 1 ออเรย์ซื้อเนื้อหมูดิบได้ห้าขีด แต่ก็มีบางครั้งที่จะซื้อได้แค่สี่ขีด และก็มีบางครั้งที่ซื้อได้ถึงหกขีด หรือบางทีก็ได้มากกว่านั้น[1]

แคส ดราส และออเรย์ เป็นคำที่ใช้เรียกในภาษาแม่น้ำแดง ซึ่งตั้งมาจากชื่อของผู้นำบางคนในตอนที่เริ่มก่อตั้ง ‘ปฐมนคร’

ที่เมืองหญ้าไพรนั้นใช้ภาษาแม่น้ำแดงเป็นภาษาราชการ แต่ชาวเมืองมักใช้ภาษาแดนธุลีเป็นหลัก

“ถ้าพูดแบบนี้งั้นก็แสดงว่าบางครั้งเราสามารถใช้โอกาสนี้เพื่อหาเงินได้นะสิ” หลงเยว่หงถามอย่างกระตือรือร้น

“ถูกต้อง” เจี่ยงไป๋เหมียนยิ้ม “ในโลกเก่า นี่เป็นธุรกิจเฉพาะทาง แต่ตอนนี้ไม่สำคัญหรอกว่าจะหากำไรแค่บางครั้งบางคราวหรือเปล่า ใครก็ตามที่ทำเป็นอาชีพจะถูกลากไปยิงทิ้งทันที”

“ถูกยิงด้วยปืนใหญ่ด้วยนะ” ไป๋เฉินช่วยแก้ไขคำพูด

นี่คือแนวปฏิบัติต่อการลงโทษของ ‘ปฐมนคร’ ซึ่งจะประหารชีวิตครั้งละเป็นกลุ่ม

หลงเยว่หงสูดปาก และสูดหายใจเข้าลึก รู้สึกหนาวเหน็บจนขนลุกขนพอง

แล้วในตอนนี้เอง ถึงแม้ซางเจี้ยนเย่าจะไม่ได้ทำท่าบอกใบ้ซ้ำอีก แต่เจี่ยงไป๋เหมียนก็ได้ยินเสียงท้องร้องดังชัดเจนมาจากใครสักคน เธอจึงยิ้มและตัดบทจบการสนทนา ชี้ออกไปข้างนอก

“ไปหาของกินกัน!”

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท