รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 171 เต้นรำกันดีกว่า

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 171 เต้นรำกันดีกว่า

เจี่ยงไป๋เหมียนย่อมไม่อาจรับมือคนคุ้มกันหลายสิบคนได้เพียงลำพัง เธอจึงทำได้เพียงแค่จ้องมองคอยระวังไม่ให้ใครฉวยโอกาสระเบิดหัวซางเจี้ยนเย่าจากมุมอับสายตา

หากว่ามีใครกล้าแสดงอาการผิดปกติ เธอจะใช้ปืนพกชี้เรียก ‘ชื่อ’ เขาทันที

ทว่าวิธีการเช่นนี้เป็นเพียงการแก้ที่ปลายเหตุ ในหัวสมองเธอกำลังวิ่งพล่านคิดหาวิธี รู้สึกเหมือนตนเองกำลังไต่เชือกอยู่เหนือขุมนรก

ผ่านไปสองสามวินาที เจี่ยงไป๋เหมียนก็หัวเราะขึ้นแล้วพูดเสียงดังด้วยความรู้สึกจนใจ

“สหายฉันคนนี้น่ะ สมองเขามีปัญหามานานแล้ว ต้องไปหาจิตแพทย์อยู่ตลอด

“พูดง่ายๆ ก็คือเขาป่วยทางจิต เป็นคนวิกลจริต

“ที่พวกเรามาเมืองหญ้าไพรครั้งนี้ ก็เพื่อมาทำงานหาเงิน จะได้ไปหาหมอที่เก่งกว่าเดิมได้

“ทุกท่าน ขอบอกว่านี่ไม่ใช่การพูดเล่น เขากล้ากดปุ่มจริงๆ นะ อย่าเอาชีวิตตัวเองมาเดิมพันกับความกล้าของคนเสียสติเลย

“คนบ้ามีเรื่องไหนไม่กล้าทำบ้าง เขากล้าฆ่าตัวตายแน่ๆ!”

เดิมทีนั้นจ้าวเจิ้งฉีและคนอื่นๆ เห็นว่าซางเจี้ยนเย่าหน้าตาหล่อเหลา ยังหนุ่มยังแน่น สหายก็หน้าตางดงาม รู้สึกว่าเขาคงไม่ใช่คนโหดเหี้ยมที่จะฆ่าตัวตายไปพร้อมกับลากทุกคนในห้องให้ตายตามกันไปด้วย ดังนั้นจึงคิดจะใช้แรงกดดันเพื่อทำให้เขาปั่นป่วน เปิดเผยจุดอ่อนออกมา แต่กลายเป็นว่าต้องมาได้ยินประโยคพวกนี้เข้า

หัวใจพวกเขาบีบรัดแน่น การครุ่นคิดสารพัดวิธีเป็นอันต้องสิ้นสุดยุติลงไปโดยพลัน

นี่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเชื่อคำพูดเจี่ยงไป๋เหมียนเต็มร้อย เพียงแต่เกรงว่าเรื่องนี้จะเป็นหนึ่งในหมื่น

ที่ว่าหนึ่งในหมื่นนั้นก็คือเจ้าหมอนี่เป็นคนป่วยทางจิตจริงๆ เป็นคนวิกลจริตจริงๆ

ถึงแม้ว่าเขาจะไม่อยากอยู่ แต่ใช่ว่าคนอื่นจะอยากตายเสียหน่อย!

ในตอนนี้โอดิคก็นึกถึงการกระทำแต่ละอย่างที่ผ่านมาของซางเจี้ยนเย่า ถึงแม้ว่าจะไม่อยากยอมรับ แต่ก็ยังออกปากเตือนออกมาประโยคหนึ่ง

“เป็นไปได้ว่าเขามีปัญหาทางสมองจริงๆ

“นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเราร่วมมือกัน ก่อนหน้านี้ผมก็รู้สึกว่าเขามีบางอย่างไม่ปกติ”

โอดิคพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพราะกังวลว่าพวกขุนนางจะประมาทเกินไปจนกลายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้น แล้วทำให้ทุกคนถูกส่งขึ้นสวรรค์ด้วย ‘เห็ดน้อย’

ซางเจี้ยนเย่าถูกประเมินออกมาเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เขาจะไม่รู้สึกว่าตนกำลังถูกดูถูก แต่ยังกลับผงกศีรษะให้อย่างยิ้มแย้ม

“ถูกต้อง ผมมีใบรับรองแพทย์ด้วยนะ เดี๋ยวไว้อีกหน่อยค่อยเอาออกมาให้พวกคุณดู”

ในขณะที่พูดนั้น สายตาของเขาก็คอยจับจ้องไปมาระหว่างหลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยนและ ‘นักล่าชั้นสูง’ โอดิค

จากนั้นเขาก็พูดเสริมด้วยรอยยิ้ม

“ผมรู้ว่าพวกคุณเป็นผู้ตื่นรู้ และที่นี่ก็อาจจะยังมีผู้ตื่นรู้คนอื่นๆ อีก

“แต่ผมต้องบอกไว้ก่อนนะว่ากองกำลังที่หนุนหลังผมอยู่น่ะ เชี่ยวชาญเรื่องการทำอวัยวะชีวภาพเทียมและฝังชิปเสริมเอาไว้ข้างใน ต่อให้ตอนนี้ผมอยู่ในระยะขอบเขตพลัง และพวกคุณหาโอกาสใช้พลังพิเศษมาควบคุมผมไว้ได้ แต่นิ้วผมก็ยังกดลงไปได้อยู่ดี”

พูดไปพูดไป เขาก็ยิ้มสดใสขึ้น จากนั้นก็มองไปรอบๆ

“เมื่อกี้ผมอาจจะโกหกก็ได้ หรืออาจจะพูดจริงก็ได้ พวกคุณลองเดาดูเองละกันว่าเรื่องจริงหรือเปล่า”

เมื่อเห็นรอยยิ้มของเขา สวี่ลี่เหยียน จ้าวเจิ้งฉี ฟรานเชสโก และขุนนางคนอื่นๆ รวมถึงผู้คุ้มกันของพวกเขาต่างก็ขนลุกตัวสั่นอย่างบอกไม่ถูก ประหนึ่งว่าได้พบพานกับความบ้าคลั่งที่ซุกซ่อนอยู่เข้าให้แล้ว

ยิ่งยิ้มกว้างอย่างสดใส พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกว่ามีเงามืดซุกซ่อนอยู่ภายใต้ผิวหนังนั้น

จิ้งเนี่ยน โอดิค และคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกว่าซางเจี้ยนเย่าน่าจะโกหกเสียมากกว่า แต่พวกเขาก็ไม่กล้าเดิมพันว่าอีกฝ่ายกำลังโกหก

โดยเฉพาะหลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยน เขามีลางสังหรณ์อย่างแรงกล้าว่ามีอันตราย ทำให้เขาเชื่อว่าคนวิกลจริตผู้นี้กล้ากดรีโมทเพื่อจุดชนวนระเบิดแน่นอน

‘วิถีเดรัจฉานของสังสารวัฏหกทาง’ ที่เขาเตรียมไว้ สุดท้ายแล้วก็ไม่ได้ใช้ออกมา

สำหรับตัวเขานั้นย่อมไม่กลัวแรงระเบิดเช่นนี้มากเท่าไหร่ ร่างกายจักรกลไม่ว่ายังไงก็ต้องถูกทำลายอย่างแน่นอน ตราบใดที่ชิ้นส่วนหลักภายใต้การปกป้องอย่างแน่นหนายังคงไม่บุบสลาย เขาก็สามารถฟื้นตัวกลับมาได้ในเวลาครึ่งเดือนหนึ่งเดือน

เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งยืนอยู่ด้านหลังซางเจี้ยนเย่าพยายามฝืนไม่ให้ตัวเองกลอกตาใส่ แต่ในใจแอบ ‘หัวเราะ’ อยู่

‘ยังอุตส่าห์ไปหัดลูกไม้แบบนี้มาได้…’

ทุกประโยคที่ซางเจี้ยนเย่าเพิ่งพูดไปเมื่อครู่ล้วนแต่เป็นความจริงทั้งสิ้น ต่อให้หลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยนมีพลัง ‘ประสานใจ’ ก็ไม่มีทางรู้ได้

แต่เรื่องที่รู้เพียงเรื่องเดียวนั้นก็คือพวกเขาจะสรุปจากคำพูดเหล่านี้ออกมาได้ว่า

ซางเจี้ยนเย่ามีแขนเทียมชีวภาพและชิปเสริม สามารถจุดชนวนระเบิดได้ถึงแม้ว่าจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมก็ตาม!

ซึ่งที่จริงแล้วผู้ที่มีแขนเทียมชีวภาพและชิปเสริมนั้นคือเจี่ยงไป๋เหมียนต่างหาก

จะว่าไปแล้ว นี่ก็คือ ‘ตัวตลกชักจูง’ ขนาดใหญ่ที่ไม่ได้ใช้พลังพิเศษของผู้ตื่นรู้เลยแม้แต่น้อย

เมื่อเห็นว่าทุกคนราวกับกำลังตื่นตกใจ หลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยนก็พูดด้วยเสียงอิเล็กทรอนิกส์สังเคราะห์

“นโม อนุตตรสัมมาสัมโพธิ เหตุใดประสกจึงทำเช่นนี้”

“ลองเดาดูสิ” ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยรอยยิ้มที่ผ่อนคลาย

นี่มันคนวิกลจริตชัดๆ… สวี่ลี่เหยียน จ้าวเจิ้งฉี และคนอื่นๆ ต่างก็เชื่อในสิ่งที่เจี่ยงไป๋เหมียนพูดไว้ก่อนหน้านี้จนหมดใจแล้ว

ท่าทางวิกลจริตแบบนี้ ท่าทางป่วยทางจิตแบบนี้ ไม่มีทางเป็นแค่การแสดงแน่นอน!

ในตอนนี้เจี่ยงไป๋เหมียนกระแอมออกมาคำหนึ่ง เพื่อปรามไม่ให้ซางเจี้ยนเย่า ‘ยั่วยุ’ อาจารย์เซนจิ้งเนี่ยนต่ออีก

พึงรู้ว่าหลวงจีนจักรกลทุกตนนั้นล้วนมีเกล็ดย้อน หากไปสัมผัสโดนเข้าก็จะเข้าสู่โหมดบ้าคลั่งทันที

ถ้าบางคำพูดของซางเจี้ยนเย่าเกิดไม่เข้าหูอาจารย์เซนจิ้งเนี่ยนจนเขาบันดาลโทสะแล้วลงมือสังหารขุนนางทุกคนจน

หมดเกลี้ยง แบบนั้นก็คงไม่เหลือตัวประกันอีกแล้ว!

ก่อนที่ซางเจี้ยนเย่าจะได้พูดอะไร เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดกับยามหน้าประตูเสียก่อน

“คำขอแรก ปิดประตูซะ”

เมื่อประตูปิดลง ยามหน้าประตูก็จะไม่สามารถระบุตำแหน่งที่แน่นอนของซางเจี้ยนเย่าได้ พวกเขาจึงย่อมไม่กล้ายิงสะเปะสะปะ นี่จะช่วยลดแรงกดดันให้เธอในด้านการป้องกันไปได้ไม่น้อย

เมื่อเธอพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าก็หันไปมองสวี่ลี่เหยียนกับคนอื่นๆ แล้วทำเสียงขึ้นจมูกแสดงความสงสัย

“หืม—”

สวี่ลี่เหยียนกลืนน้ำลายรีบตะโกนออกมาทันที

“ปิดประตู!

“ปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

ยามหน้าประตูรับคำสั่ง แบ่งคนออกมาสองสามคน ค่อยๆ ปิดประตูห้องประชุมสภาขุนนาง

แล้วซางเจี้ยนเย่าก็ถือปืนถือระเบิด ค่อยๆ ย่างก้าวเดินมายังโต๊ะยาว

“นั่งเถอะ นั่งเถอะ มาปรึกษาหารือกันเถอะ” เขาเอ่ยปากเชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้น เรียกเหล่าขุนนางที่ตอนนี้กระจายตัวหัวหดอยู่ตามซอกมุมต่างๆ ให้กลับมาที่นั่ง

ในขณะที่เขาเดินอยู่ เจี่ยงไป๋เหมียนก็เดินเคียงข้างมาด้วย คอยช่วยเขาจับตาเฝ้าระวังโอดิค จิ้งเนี่ยน และการเคลื่อนไหวที่หน้าประตู จากนั้นก็ประเมินออกมาคำหนึ่ง

เล่นใหญ่เกินไปแล้ว!

เธอสงสัยว่าตกลงนี่เขากำลังสมองกระตุกอยู่จริงๆ ใช่ไหม

“ไม่ต้อง ไม่ต้อง ไม่เป็นไร คุณพูดมาเถอะ พวกเราอยู่ตรงนี้ก็ได้ยิน” จ้าวเจิ้งฉีพยายามฝืนยิ้ม ตอบรับคำเชิญของซางเจี้ยนเย่า

สวี่ลี่เหยียนถือโอกาสพูดขึ้น

“มีเรื่องอะไรก็ปรึกษาหารือกันได้

“ต้องการอะไร ไม่ว่าจะเป็นอาวุธ กระสุน อาหาร ทองคำ น้ำมัน ถ่านหิน กัญชา อยากได้อะไรก็บอกมาเลย!”

เขายังหนุ่มยังแน่น เพิ่งจะเป็นเจ้าเมืองได้แค่สองสามปี ยังไม่อยากรีบกลับไปพบหน้าบรรพชนในตอนนี้

ซางเจี้ยนเย่าค่อยๆ นั่งลงที่เก้าอี้ในตำแหน่งปลายโต๊ะยาว พูดอย่างลำบากใจ

“ผมแค่กำลังคิดอยู่ว่าพอกดระเบิดแล้ว พวกคุณจะเหลือชิ้นส่วนอยู่กี่ชิ้น

“มานั่งเถอะ มานั่งกันให้หมด ไม่งั้นคนเขาจะว่าได้ว่าผมไม่มีมารยาท ถูกไหมล่ะ”

เมื่อเห็นว่าเขายังคงยืนกราน เมอร์ริคก็ไม่กล้าปฏิเสธอีก เขารีบขยับตัวค่อยๆ กระเถิบขึ้นมาทีละนิดจนกลับเข้าที่นั่ง

เมื่อมีเขาเป็นตัวอย่างแล้ว จ้าวเจิ้งฉีกับคนอื่นๆ ก็เดินมาที่โต๊ะประชุมกันทีละคนๆ กลับมานั่งในตำแหน่งของตนเอง

บรรดาผู้คุ้มกันและผู้ติดตามต่างก็มายืนอยู่ด้านหลัง จ้องมองนิ้วของซางเจี้ยนเย่าอย่างไม่วางตา

“คุณ… เอ่อ… ท่านจะบอกข้อเรียกร้องตอนนี้เลยใช่ไหม” สวี่ลี่เหยียนพยายามถ่อมตนอย่างเต็มที่

ซางเจี้ยนเย่ายิ้มแล้วมองดูทุกคนรอบๆ

“หลังจากขับไล่คนเร่ร่อนแดนร้างออกไปหมดแล้ว ทุกคนจะร่วมด้วยช่วยกันบริจาคอาหารและเวชภัณฑ์ รวบรวมคนที่รอดชีวิต ช่วยเหลือชาวเมือง ฟื้นฟูเสถียรภาพของเมืองหญ้าไพรให้เร็วที่สุด”

คำขอนี่มัน… ตกลงว่านี่ฉันหรือว่าเขากันแน่ที่เป็นเจ้าเมืองหญ้าไพร… สวี่ลี่เหยียนเกือบจะไม่เชื่อหูตัวเอง

แต่เรื่องนี้กลับทำให้จ้าวเจิ้งฉีและคนอื่นๆ ยิ่งปักใจว่าเขาคือคนวิกลจริตยิ่งขึ้น

ในทางกลับกัน โอดิคครุ่นคิดขณะเหลือบมองซางเจี้ยนเย่าและเจี่ยงไป๋เหมียน สลัดทิ้งความคิดที่จะเสี่ยงใช้พลัง ‘ห้วงหลับใหล’ ไปอย่างสิ้นเชิง

หลังจากเงียบไปสองสามวินาที สวีลี่เหยียนก็ถามต่อ

“เป้าหมายในการเยียวยา รวมถึงพวกคนเร่ร่อนแดนร้างด้วยหรือเปล่า”

ซางเจี้ยนเย่าตอบโดยไม่ลังเล

“รวม”

ในขณะที่เหล่าขุนนางกำลังตะลึงงัน เจี่ยงไป๋เหมียนก็ช่วยพูดเสริมให้

“รวบรวมพวกเขามาแล้วแยกสอบปากคำ ถ้าคนไหนฆ่าคนก็จับไปสลับกับทาสในคฤหาสน์พวกคุณ

“คนตายเยอะขนาดนี้ ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังป้องกันเมืองหรือจะเป็นยามของเจ้าเมือง ก็จำเป็นต้องเสริมกำลังพลทั้งนั้น”

ดวงตาสวี่ลี่เหยียนวูบไหวเล็กน้อยเมื่อได้ยิน จากนั้นก็ถามขึ้น

“ยังมีคำขออื่นอีกไหม”

“มี” ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะด้วยรอยยิ้ม

คำตอบนี้ทำให้จ้าวเจิ้งฉีและคนอื่นๆ พลางถอนหายใจโล่งอก

พวกเขาไม่เชื่อหรอกว่าจะมีใครยอมสละชีวิตเพื่อช่วยผู้ลี้ภัยและลากเหล่าขุนนางให้ตายไปด้วยกัน คำขอก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงแค่พูดไปอย่างนั้นแหละ

พอสุดท้ายแล้ว ก็ทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น

“อืม… ทำเรื่องนี้ให้จบก่อนละกัน แล้วค่อยมาคุยเรื่องที่เหลือ” ซางเจี้ยนเย่ายิ้มให้ในขณะที่มองดูจ้าวเจิ้งฉีผู้อ้วนท้วน “เริ่มจากคุณก็แล้วกัน โทรหาคนสนิทเดี๋ยวนี้เลย”

จากนั้นเขาก็ถามอย่างยิ้มแย้มต่อทันทีโดยไม่รอให้จ้าวเจิ้งฉีตอบคำ

“ถ้าหากผมบอกกับทุกคนว่าคุณเล่นไม่ซื่อ ผมเลยจะระเบิดสมองให้กระจุย ถ้าคนอื่นอยากจะช่วยคุณ ก็ได้… งั้นผมจะกดสวิทช์ระเบิด คุณคิดว่าพวกเขาจะทำยังไงกันเหรอ”

เมื่อเผชิญกับใบหน้ายิ้มแย้มเช่นนี้ จ้าวเจิ้งฉีถึงกับกลืนน้ำลายอย่างฝืดคอ

“คุณจะได้ยินทุกคำที่ผมพูด รับรองว่าผมไม่กล้าเล่นตุกติกแน่นอน”

เขาไม่มีความคิดที่จะเอ่ยคำพูดแฝงนัยแม้แต่น้อย เขารู้ดีว่าหากใช้คำพูดไม่ดี พอฟังแล้วจะยิ่งทำให้เรื่องบานปลายมากขึ้นจนความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้นไปอีก

เขาตั้งใจจะใช้วิธีที่เปิดเผยตรงไปตรงมาอยู่แล้ว

จ้าวเจิ้งฉีรีบหยิบโทรศัพท์มือถือของตัวเองขึ้นมาอย่างร้อนรน โทรหาคนสนิทแล้วสั่งทีละเรื่องตามที่ซางเจี้ยนเย่าสั่งไว้เมื่อครู่

กระบวนการทั้งหมดนั้นไร้ซึ่งข้อบกพร่อง

ทว่าคนสนิทของเขาที่อยู่ข้างนอกรู้ว่าเขากำลังถูกข่มขู่อยู่ ดังนั้นย่อมไม่ลงมือทำในทันที แต่จะประวิงเวลาเพื่อรอดูสถานการณ์ไปก่อน

หลังจากให้ขุนนางทั้งหลายโทรศัพท์ไปแล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็ค่อยๆ ยืนขึ้นมาแล้วกล่าวว่า

“เรื่องที่สองนั้นจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน จึงต้องพูดทีละคน”

เขาถอยห่างจากโต๊ะยาว ไปที่มุมห้องอย่างระมัดระวัง แล้วพูดกับหลวงจีนจักรกลจิ้งเนี่ยนด้วยเสียงอันดัง

“อาจารย์เซน คุณก่อนเลย”

จิ้งเนี่ยนนั้นกล้าหาญชาญชัย ไม่ย่อท้อต่อเรื่องใดๆ เขาเดินเข้าไปอย่างคิดมาก

ในตอนนี้ซางเจี้ยนเย่ายื่นรีโมทคอนโทรลให้กับเจี่ยงไป๋เหมียน แล้วยิ้มให้ทุกคน

“เธอเองก็มีแขนเทียมชีวภาพด้วยเหมือนกัน”

เจี่ยงไป๋เหมียนร่วมมือด้วยการปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาจากนิ้วมือซ้าย

ข้อเท็จจริงที่เห็นตำตาเช่นนี้ทำให้สวี่ลี่เหยียนและคนอื่นๆ รู้สึกโชคดีที่เมื่อครู่ไม่ได้บุ่มบ่ามลงมืออย่างหุนหันพลันแล่น

หลังจากควบคุมเวทีไว้แล้ว ซางเจี้ยนเย่าก็มองที่จิ้งเนี่ยนที่สูงเกือบสองเมตร จ้องไปที่ดวงตาสีแดงซึ่งกะพริบเป็นจังหวะของเขา ลดเสียงถามออกมา

“อาจารย์เซน คุณรู้จักอาจารย์จิ้งฝ่าหรือเปล่า”

ด้วยน้ำเสียงที่ไม่ดังนัก ขุนนางที่นั่งอยู่ที่โต๊ะยาวจึงไม่ได้ยินสิ่งที่พวกเขาพูดกันอยู่

“เขาเป็นศิษย์น้องของอาตมา” จิ้งเนี่ยนตอบกลับอย่างสงบนิ่ง

ซางเจี้ยนเย่าพูดต่อทันที

“คุณดูสิ

“ผมรู้จักอาจารย์จิ้งฝ่า เคยฟังเขาเทศนาพุทธธรรม

“ผมยังช่วยไม่ให้เจ้าเมืองกดระเบิดฆ่าตัวตาย ช่วยให้คุณทำภารกิจได้สำเร็จ

“ดังนั้น…”

แสงสีแดงในดวงตาอิเล็กทรอนิกส์ของจิ้งฝ่ากะพริบเร็วขึ้นกว่าเดิมแล้วกลับสู่ภาวะปกติอย่างรวดเร็ว

เขาเอ่ยพระนามของพระพุทธเจ้าออกมาคำหนึ่ง แล้วพูดด้วยเสียงอิเล็กทรอนิกส์สังเคราะห์

“ในเมื่อประสกเป็นพันธมิตรของนิกาย เช่นนั้นหลวงจีนยากไร้จะช่วยเป็นกำลังให้ประสก”

“ขอบคุณมาก อาจารย์เซน” ซางเจี้ยนเย่ายื่นมือออกมาอีกครั้งแล้วจับมือจิ้งเนี่ยนเขย่า “คุณกลับไปได้แล้วล่ะ”

หลังจากมองดูจิ้งเนี่ยนกลับไปยืนข้างกายสวี่ลี่เหยียน เขาก็ตะโกนเรียกโอดิค

“คุณโอว ต่อไปตาคุณ”

* * * * *

ยามด้านนอกรออยู่นอกห้องประชุมสภาขุนนางเกือบยี่สิบนาที ในที่สุดก็เห็นว่าประตูค่อยๆ เปิดออกอย่างช้าๆ

ซางเจี้ยนเย่า สวี่ลี่เหยียน จ้าวเจิ้งฉี ฟรานเชสโก และคนอื่นๆ ล้วนแต่ออกจากห้องมาด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

จ้าวเจิ้งฉีมองดูรอบๆ พอเห็นคนสนิทของตนก็หัวเราะฮาฮาออกมา

“แค่เรื่องเข้าใจผิดกันน่ะ ตอนนี้ปรับความเข้าใจกันได้แล้ว

“เรื่องของพี่น้องก็คือเรื่องของฉัน!”

ยามทั้งหลายต่างจ้องมองอย่างตกตะลึง เจี่ยงไป๋เหมียนซึ่งติดตามมาด้านหลังรีบใช้โอกาสนี้นำภาพถ่ายของเว่ยอวี้และคนอื่นๆ ออกมา

“เร็วเข้า รีบหาดูว่าสามคนนี้อยู่แถวนี้หรือเปล่า”

ในเมื่อต้องการจัดฉากใส่ร้าย ดังนั้นสมาชิกที่เหลือของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ย่อมต้องแทรกซึมเข้าไปในคฤหาสน์เจ้าเมืองอย่างแน่นอน

* * * * *

ห้องหนังสือในคฤหาสน์จ้าว

ลูกชายคนรองของตระกูลจ้าว จ้าวอี้เสวียกำลังยืนอยู่ข้างหน้าต่าง ถือโทรศัพท์คุยสายอยู่กับใครคนหนึ่ง

“คอยฟังให้ดีนะ เสียงดังตูมขึ้นเมื่อไหร่ นั่นก็คือการยิงสลุตเพื่อเฉลิมฉลองที่คุณได้เป็นเจ้าเมือง” ปลายสายอีกด้านหนึ่งเป็นเสียงแหบเล็กน้อยที่พูดด้วยรอยยิ้ม

“ระเบิดเหรอ งั้นพ่อกับพี่ชายผมล่ะ” จ้าวอี้เสวียตกตะลึง

‘บาทหลวง’ ที่ปลายสายหัวเราะเบาๆ ออกมาคำหนึ่ง

“แน่นอนว่าต้องไปสวรรค์พร้อมๆ กันหมดทุกคนนั่นแหละ

“คุณลองคิดดูสิ ถ้าพวกเขายังอยู่ คุณจะเป็นเจ้าเมืองได้ยังไง ต่อให้ไม่มีสวี่ลี่เหยียนและขุนนางคนอื่นๆ ก็ตาม

“ผมรู้ว่าคุณตัดใจลงมือเองไม่ได้ ดังนั้นผมก็เลยช่วยคุณนี่ไง ไม่เป็นไร ไม่ต้องต้องขอบคุณหรอก

“วางใจเถอะ เมื่อได้รับการสนับสนุนจาก ‘ปฐมนคร’ คนที่เหลือจะไม่มีทางพลิกกระดานได้อีก”

ในขณะที่จ้าวอี้เสวียนิ่งเงียบไป คนสนิทของเขาก็เดินเข้ามาในห้องหนังสือ เอียงตัวเข้าไปใกล้แล้วกระซิบข้างหูเพื่อรายงานสถานการณ์

‘บาทหลวง’ ซึ่งอยู่อีกด้านหนึ่งของสายโทรศัพท์ถามเจือรอยยิ้ม

“เป็นไง ได้ยินเสียงระเบิดหรือเปล่า”

จ้าวอี้เสวียตอบด้วยสีหน้าแปลกๆ

“ไม่มีระเบิด…

“พวกเขา… พวกเขากำลังเต้นรำกันอยู่ในห้องประชุมสภาขุนนาง…”

“เต้นรำ…” ‘บาทหลวง’ ถามด้วยความสงสัย

จากนั้นเขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาเป็นเวลาเนิ่นนาน

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท