รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 242 ความคิดคนเป็นเรื่องน่าสนใจ

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 242 ความคิดคนเป็นเรื่องน่าสนใจ

เมื่อการเต้นมาถึงช่วงที่เข้มข้นที่สุด มีนส์กับคนอื่นๆ ต่างก็ชูสองมือโห่ร้องตะโกนขึ้น

“สรรเสริญท่าน ประตูสู่โลกใหม่!”

ในฐานะที่เป็นสมาชิกอย่างเป็นทางการของนิกาย ‘พิธีกรรมชีวิต’ ซางเจี้ยนเย่าจึงสามารถทำตามได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีจุดผิดพลาดแม้แต่น้อย

“สรรเสริญท่าน ประตูสู่โลกใหม่!”

หลังจากที่เต้นรวมกลุ่มจบลง ถึงแม้ว่าซางเจี้ยนเย่าจะไม่ได้ใช้ ‘ตัวตลกชักจูง’ ก็ตาม แต่มีนส์กับพวกพ้องต่างก็มองเขาเฉกเช่นเดียวกับที่มองสหายร่วมกลุ่มแล้ว

พนักงานหญิงสองคนของสือฟางพาณิชย์ซึ่งเดิมทีรู้สึกว่าเขานั้น ‘สูงส่งเกินเอื้อม’ ก็รวบรวมความกล้ามาพูดคุยสนทนากับเขาสองสามประโยค

ในตอนนี้มีนส์ซับเหงื่อที่หน้าผากก่อนจะเดินเข้าไปหาเจี่ยงไป๋เหมียน

“พวกเราต้องไปแล้วล่ะ”

“พวกคุณจะมุ่งหน้าต่อไปยัง ‘สมาพันธ์หลินไห่’ หรือว่าจะกลับไปที่ทาร์นันก่อน” เจี่ยงไป๋เหมียนถามขึ้นอย่างไม่จริงจัง

มีนส์ตอบเสียงเรียบ

“พวกเราจะกลับบ้านเหมือนที่ตั้งใจไว้ก่อนหน้านี้

“ขับรถไปทางตะวันออกเฉียงใต้ครึ่งวันก็ออกจากภูชีลาร์แล้ว ที่นั่นมีนิคมที่อยู่ติดกับ ‘สมาพันธ์หลินไห่’ ของพวกเรา ไม่ต้องกลัวว่าจะมีพวกโจรมาปล้นอีก”

“ได้ งั้นเดินทางปลอดภัยนะ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้รั้งเขาไว้

หลังจากมีนส์เขียนจดหมายแนะนำถึง ‘ผู้อุทิศ’ หลี่เจ๋อต่อหน้าซางเจี้ยนเย่าเสร็จ เขาก็โบกมือแล้วขึ้นรถคันที่ยังมีสภาพดีซึ่งพวกโจรทิ้งเอาไว้

ขณะที่รถทั้งสองคันที่ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ยกให้สือฟางพาณิชย์ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกไป ซางเจี้ยนเย่าก็เดินตามพร้อมกับโบกมือขวาเต็มแรง ตะโกนเสียงดัง

“ขับรถระวังด้วย!

“ลาก่อน ไว้พบกันใหม่ให้ได้นะ!”

อะไรจะจริงใจขนาดนั้น… เจี่ยงไป๋เหมียนแอบค่อนแคะในใจ จากนั้นก็หันไปมองลูกสมุนโจรทั้งสี่คนที่เพิ่งจะกินอาหารที่เหลืออยู่เสร็จ

เมื่อรับรู้ถึงสายตาที่จับจ้องของเธอ เหล่าเชลยก็ตัวแข็งทื่อพร้อมๆ กัน ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่ออีก

สายตาเจี่ยงไป๋เหมียนค่อยๆ กวาดไปตามใบหน้าพวกเขา พลางพูดด้วยรอยยิ้ม

“ฉันตัดสินใจได้แล้ว…”

เมื่อพูดถึงตรงนี้เธอก็จงใจหยุดคำพูดไว้ ทำให้หัวใจโจรทั้งสี่หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม เกือบจะหยุดเต้นในทันที

จากนั้นเธอถึงจะพูดต่อ

“จะพาพวกนายไปที่ทาร์นันก่อน ถ้าไม่มีใครมาไถ่ตัวก็ค่อยส่งตัวให้กับทาง ‘สวรรค์จักรกล’ ไป”

ในขณะที่ดวงตาของลูกสมุนโจรทั้งสี่คนเป็นประกาย เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดต่ออีก

“แต่ก็ต้องดูก่อนว่าพวกนายจะให้ความร่วมมือหรือเปล่า ทำตัวดีหรือเปล่า”

“ได้ ได้!” “พวกเราจะทำตัวดีๆ!” เหล่าสมุนโจรรีบแย่งกันแสดงความตั้งใจอย่างกระตือรือร้นทันที

“ดีมาก” เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปยังบริเวณหุบเขาที่มีสภาพเละเทะ “งั้นก็ไปทำความสะอาดซะ”

‘สภาพเละเทะ’ นี้ส่วนใหญ่เกิดจากการต่อสู้ก่อนหน้านี้ ไม่ได้เป็นเพราะเศษอาหารในพิธีศีลหม้อไฟ

บรรดาสมุนโจรตอบรับเสียงดังโดยไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ภายใต้การตรวจงานของไป๋เฉิน พวกเขาจัดการขยะทุกชนิด ของอะไรที่ยังเอามาใช้ได้ก็เก็บเอาไว้

หลงเยว่หงซึ่งเดิมทีคิดว่านี่เป็นงานของตนเองก็ตกตะลึงไปครู่ใหญ่ ก่อนจะพบว่าจู่ๆ ตัวเองก็กลายเป็นคนว่างงานไปเสียแล้ว

“มีคนมาช่วยทำงานแทนให้แบบนี้ รู้สึกดีใช่ไหมล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนที่ยืนอยู่ด้านข้างถามขึ้นด้วยรอยยิ้ม

หลงเยว่หงซึมซับความรู้สึกอยู่ครู่หนึ่งแล้วตอบออกมา

“ใช่ครับ รู้สึกดีจริงๆ”

ถึงแม้ในตอนที่ถูกสั่งให้ทำงานจิปาถะอะไรพวกนี้เขาจะไม่ได้รู้สึกอึดอัดคับข้องใจก็เถอะ แต่คนเราน่ะ หากอู้ได้ก็ย่อมอยากอู้ ขี้เกียจได้ก็ย่อมอยากขี้เกียจเป็นธรรมดาอยู่แล้ว

รอจนสมุนโจรทำงานเสร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนก็ถามโจรผมบลอนด์ที่ดูแล้วว่าพอจะมีสติปัญญาอยู่บ้าง

“นายชื่ออะไร”

“ยอร์เกนเซ่น” โจรผมบลอนด์ยิ้มกว้างแจ้งชื่อตัวเอง

เขาเคยได้ยินมาว่าถ้าถูกจับตัวเป็นเชลย หากอีกฝ่ายยินดีอยากรู้ชื่อแซ่ตนเอง เช่นนั้นก็แปลว่าคุณจะไม่ถูกฆ่าทิ้งทันที

“นายจับสามคนนั้นมัดไพล่หลังเอาไว้ พาขึ้นรถคันนั้นแล้วขับตามพวกเราไป” เจี่ยงไป๋เหมียนชี้ไปยังรถสีขาวซึ่งกลุ่มโจร ‘จิ้งจอกภูเขา’ ทิ้งเอาไว้

นอกจากรถทั้งสองคันที่สือฟางพาณิชย์ขับไปแล้ว นี่ก็คือรถที่ยังมีสภาพสมบูรณ์ที่สุด เพียงแค่ตัวถังรถเลอะคราบฝุ่นโคลนจนแทบมองไม่เห็นว่าสีเดิมมีสภาพเป็นยังไงเท่านั้น แต่ไม่มีปัญหาเรื่องอื่นอีก

ยอร์เกนเซ่นรีบกุลีกุจอตอบรับ จับพวกพ้องมัดมือไพล่หลังด้วยเชือกป่านโดยมีสหายให้ความร่วมมืออย่างยินยอมพร้อมใจ

แต่เมื่อขึ้นรถไปแล้วเขาก็ชะงักไปในทันที นั่นเป็นเพราะว่าเจี่ยงไป๋เหมียน ซางเจี้ยนเย่า และคนอื่นๆ ไม่ได้สนใจไยดีพวกเขาแม้แต่น้อย นอกจากจะไม่ได้มอบหมายให้คนมาคอยเฝ้าจับตาพวกเขาแล้ว กลับยังสตาร์ทรถจี๊ปเคลื่อนตัวไปยังทางออกอีกด้านของหุบเขาด้วย

พื้นที่ต้นลำธารนี้เหลือเพียงแค่โจรสี่คนที่เป็นเชลยถูกปล่อยทิ้งเอาไว้

“ยอร์เกนเซ่น” โจรที่มีแผลเป็นบนใบหน้าพูดเสียงต่ำ “พวกเรารีบชิ่งหนีไปอีกด้านกันดีไหม”

ยอร์เกนเซ่นลังเลอยู่ชั่วขณะก่อนจะพูดออกมา

“แกคิดว่าคนพวกนั้นจะไม่สนใจพวกเราจริงๆ หรือไง

“ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจกำลังวัดใจพวกเราอยู่ก็ได้”

โจรคนอื่นพากันเงียบกริบเพราะต่างก็ไม่มีใครสามารถรับประกันได้ว่าจะเป็นยังไง

เห็นได้ชัดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะหลบหนี ทว่าพวกเขากลับไม่กล้าตัดสินใจ

นี่เป็นเพราะพวกซางเจี้ยนเย่านั้นทำตัวตามสบายเกินไป แสดงท่าทีเหมือนบอกว่า ‘พวกแกอยากทำอะไรก็ทำไป’ ทำให้พวกเขารู้สึกตงิดใจขึ้นมาตามสัญชาตญาณ

ยอร์เกนเซ่นเห็นพวกพ้องยังคงนิ่งเงียบ เขาจึงสตาร์ทรถพลางพูดขึ้น

“อาจเป็นเพราะพวกเขามั่นใจว่าพวกเราหนีไม่รอดแน่”

เมื่อเห็นว่าสหายยังคงไม่ตอบคำ ยอร์เกนเซ่นก็พูดเสริมอีกสองประโยค

“พวกแกลองคิดดูสิ พวกนั้นน่ะส่งแค่คนสวมชุดเกราะเสริมแรงออกมาแค่คนเดียวก็ถล่มพวกเราเสียยับเยินขนาดนี้แล้ว อีกสามคนที่เหลือแทบไม่ได้ออกแรงอะไรด้วยซ้ำ

“ไม่รู้ว่าพวกแกเคยได้ยินประโยคนี้หรือเปล่า ที่บอกว่า ‘สิงโตจะไม่อยู่ร่วมกับหมาจิ้งจอก’ คนที่สวมชุดเกราะเสริมแรงนั่นย่อมไม่เลือกเป็นเพื่อนร่วมทีมกับคนที่อ่อนแอกว่าตัวเองมากนักหรอก อีกสามคนที่เหลือนั่นเป็นไปได้ว่าคงมีจุดแข็งของตัวเอง อาจจะสามารถจับตาเฝ้าดูพวกเราได้ตลอด หรือไม่ก็สามารถตอบสนองการหลบหนีของพวกเราได้ทันท่วงทีก็เป็นได้”

หลังจากฟังยอร์เกนเซ่นพูดจนจบ โจรที่มีรอยแผลเป็นบนใบหน้าก็ถ่มน้ำลายออกมา

“งั้นก็ตามไปเถอะ ฉันไม่อยากกินบาซูก้าเหมือนพวก ‘เขี้ยวงู’ ตอนหันหลังหนี”

‘เขี้ยวงู’ คือคนที่ขับรถคันแรกซึ่งไล่ตามพวกเจี่ยงไป๋เหมียนไปเมื่อก่อนหน้านี้

“ใช่ ใช่ ต่อให้ไม่มีคนมาไถ่ตัวพวกเรา ต้องไปอยู่กับพวก ‘สวรรค์จักรกล’ อย่างมากก็แค่ถูกจับขังไว้สักปีสองปี ไม่ใช่เรื่องใหญ่เท่าไหร่หรอกน่า” โจรอีกคนเห็นพ้องด้วย

ถึงแม้ว่าการอยู่ในคุกของ ‘สวรรค์จักรกล’ คงไม่ได้กินจนอิ่มท้อง แต่ก็ไม่อดตายแน่นอน

เมื่อยอร์เกนเซ่นเห็นว่าเหล่าสหายไม่มีใครแย้งอีก เขาก็ขับรถตามหลังรถจี๊ปดัดแปลงคันนั้นไปติดๆ

เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งจะตกลงใจไปแล้วว่าต่อให้เจ้าพวกโง่เง่าสมองหมูพวกนี้เลือกจะหนีไปจริงๆ เขาก็ไม่ใส่ใจ ถึงอย่างไรพวกมันก็ถูกจับมัดอยู่ ไม่มีทางคุกคามเขาได้แม้แต่น้อย

หลงเยว่หงซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังของรถจี๊ปหันกลับมาแล้วเห็นว่ารถเชลยขับตามมาด้วย จึงพูดด้วยความประหลาดใจ

“พวกมันตามมาจริงๆ ด้วย…”

ตอนแรกเขายังคิดว่าหัวหน้าทีมเจตนาสร้างโอกาสเพื่อปล่อยเชลยไปเพราะไม่รู้ว่าจะจัดการกับคนพวกนั้นยังไงดี

หากเป็นภายใต้สถานการณ์ปกติทั่วไป ‘ทีมสำรวจเก่า’ ย่อมไม่สังหารเชลยอยู่แล้ว ทว่าการที่ต้องพาตัวไปทาร์นันด้วยนั้นจำต้องจัดคนไว้คอยจับตาดู ซึ่งเป็นการเพิ่มความลำบากและอาจเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ง่าย

แต่กลับกลายเป็นว่าพวกเชลยนั้นกลับเลือกที่จะคอยจับตาเฝ้าดูกันเอง คอยป้องกันระวังกันเอง ไม่ต้องให้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ คอยพะวงแม้แต่น้อย

“พวกเขาอาจไม่อยากพรากจากหม้อไฟล่ะมั้ง” ซางเจี้ยนเย่าร้อง “อืม” ออกมาคำหนึ่งด้วยความรู้สึกของตัวเอง

“นายกำลังพูดถึงตัวเองอยู่หรือไงละนั่น” หลงเยว่หงพึมพำออกมาประโยคหนึ่ง

เขาเพิ่งจะพูดขาดคำ ซางเจี้ยนเย่าก็ใช้กำปั้นขวาทุบลงบนฝ่ามือซ้าย

“จบกัน ลืมไปเสียสนิทเลย”

“เรื่องอะไรเหรอ” หลงเยว่หงตระหนกขึ้นมาทันที

ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยสีหน้าเศร้าสร้อย

“ฉันลืมขอยืมเครื่องเทศจากมีนส์นะสิ”

“…” หลงเยว่หงรู้สึกว่าตัวเองไม่ควรจะไปใส่ใจไยดีกับเจ้าหมอนี่ แต่ก็รู้สึกว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ควรค่าต่อการ ‘เศร้าใจ’ อยู่เหมือนกัน

หากไม่มีเครื่องเทศกับเครื่องปรุงรสพวกนั้น นั่นก็หมายความว่าในช่วงเวลานี้พวกเขาคงไม่อาจทำหม้อไฟเลิศรสขึ้นมาได้ ทำได้เพียงแค่หม้อไฟชนิดพื้นฐานธรรมดาเท่านั้น

เจี่ยงไป๋เหมียนดูกระจกมองหลังแล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม

“สาเหตุหลักก็เป็นเพราะนายนั่นแหละ เสี่ยวหง ตอนนั้นนายทำได้ดีมากจนพวกนั้นไม่เหลือความกล้าที่จะต่อต้านขัดขืน

“ใจคนน่ะ เป็นอะไรที่ละเอียดอ่อนมาก”

ไป๋เฉินที่กำลังขับรถอยู่ก็เสริมขึ้นอีกประโยค

“เมื่อเทียบกันแล้ว เรื่องที่ไม่รู้ว่าจะลงเอยยังไงน่ะ ย่อมน่ากลัวว่าเรื่องที่รู้ผลและยอมรับผลนั้นได้อยู่แล้ว”

พวกเขาก็ขับรถกันไปเช่นนี้จนกระทั่งเวลาเย็น ด้วยการอำนวยความสะดวกของลูกสมุนโจรที่ช่ำชองภูมิประเทศแถบนี้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็มาถึงแหล่งน้ำสะอาดและลงมือตั้งค่าย

“แก้เชือกให้พวกเขาแล้วก็พาไปเก็บไม้เก็บฟืน” เจี่ยงไป๋เหมียนออกคำสั่งกับยอร์เกนเซ่น

เธอมองออกว่าคนผู้นี้ยอมเป็น ‘ทหารรับใช้’ ที่เรียกง่ายใช้คล่องเพื่อแลกกับผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม

เมื่อมี ‘คนเลี้ยงแกะ’ คอยต้อนอยู่ เจี่ยงไป๋เหมียนจึงเชื่อว่าเหล่าเชลยจะยินยอมเชื่อฟังมากขึ้นกว่าเดิม

รอจนยอร์เกนเซ่นจัดแบ่งงานให้โจรอีกสามคนเสร็จ เจี่ยงไป๋เหมียนก็นึกบางเรื่องขึ้นได้จึงเรียกเขาให้หยุดก่อน

“นายอย่าเพิ่งไปไหน ฉันมีเรื่องอยากถามหน่อย”

“ได้ๆ” ที่จริงแล้วยอร์เกนเซ่นอยากจะตอบรับนักรบหญิงทรงพลังผู้นี้ด้วยความเคารพมากกว่านี้ แต่เขาไม่รู้จะเรียกเธอว่ายังไงดี

คงจะเรียกว่า ‘ลูกพี่’ ไม่ได้ใช่ไหมล่ะ

เจี่ยงไป๋เหมียนมองดูลูกสมุนโจรคนอื่นๆ เข้าไปในป่าเพื่อเก็บฟืน พลางเอ่ยถามอย่างไม่จริงจัง

“นายเคยได้ยินเกี่ยวกับ ‘เมนเฟรม’ ในทาร์นันบ้างไหม”

“ไม่เคย” ยอร์เกนเซ่นส่ายหน้า “หุ่นจักรกลพวกนั้นหัวแข็งจะตาย จะมอมเหล้าก็ไม่ได้ ไม่มีทางง้างปากพวกมันเพื่อขุดข้อมูลออกมาได้เลย”

ภาษาที่ใช้เป็นหลักของพื้นที่แถบนี้ก็คือภาษาแดนธุลี ดังนั้นยอร์เกนเซ่นซึ่งเป็นโจรชาวแม่น้ำแดงจึงสามารถพูดได้อย่างคล่องแคล่ว

“ใครเป็นเจ้าเมืองของที่นั่น” ซางเจี้ยนเย่าถามแทรกขึ้น

เขาค่อนข้างสนใจเกี่ยวกับหุ่นสมองกลพวกนั้นอยู่ไม่น้อย

“เป็นหุ่นสมองกลที่ชื่อเกอนาวา[1] มันเรียกตัวเองว่าเป็นกัปตันกองกำลังย่อยของโถงรักษาความสงบอะไรสักอย่างนี่แหละ” ยอร์เกนเซ่นนึกทบทวนเรื่องที่เคยได้ยินได้ฟังมาจากทาร์นันแล้วเล่าออกมา “มันเป็นหุ่นสมองกลที่ดูแปลกๆ หน่อย”

“แปลกยังไงเหรอ” การที่เจี่ยงไป๋เหมียนถามมากมายเช่นนี้ จุดมุ่งหมายโดยหลักๆ ก็เพื่อตรวจสอบข้อมูลที่รับมาจากชุมชนศิลาแดง

ยอร์เกนเซ่นเกาหัวแกรกๆ

“ที่จริงอาจจะไม่แปลกก็ได้ ในทาร์นันมีหุ่นสมองกลที่คล้ายๆ แบบนั้นอยู่ไม่น้อย

“พวกมันมีการแบ่งเป็นหุ่นชายหุ่นหญิง ทำเหมือนเป็นครอบครัวกัน บางทีก็ยังแลกชิ้นส่วนต่างๆ ผ่านช่องทางภายในเพื่อเอามาประกอบเป็นหุ่นสมองกลตัวเล็กๆ ทำเป็นลูกตัวเองอีกด้วย

“หุ่นยนต์ไม่มีเพศสักหน่อย ใช่ไหมล่ะ”

ระหว่างที่ซางเจี้ยนเย่าและคนอื่นๆ กำลังพูดคุยเรื่องเกี่ยวกับทาร์นัน พวกลูกสมุนโจรทั้งสามคนก็ออกจากค่ายไปแล้ว พวกเขากำลังเก็บรวบรวมฟืนในป่าซึ่งมีกิ่งไม้แห้งตายอยู่มากมาย

เป็นเพราะที่แห่งนี้ไม่ได้อยู่ภายใต้สายตาของศัตรูแล้ว พวกเขาต่างก็บังเกิดความคิดชั่ววูบขึ้นมาแทบจะพร้อมกัน

‘จะหนีกันดีไหม’

หลังจากคิดทบทวนซ้ำอีกรอบ พวกเขาก็พลันนึกถึงคำพูดของยอร์เกนเซ่นขึ้นมา

‘พวกเขาคงมั่นใจว่าพวกเราหนีไม่รอดแน่…

‘สิงโตจะไม่อยู่ร่วมกับหมาจิ้งจอก…

‘อีกสามคนที่เหลือนั่นเป็นไปได้ว่าคงมีจุดแข็งของตัวเอง อาจจะสามารถคอยจับตาเฝ้าดูพวกเราได้ตลอด…’

ในระหว่างที่ความคิดเหล่านี้วิ่งพล่านอยู่ในหัว พวกเขาก็ค่อยๆ ใจเย็นลง รู้สึกขึ้นมาว่าการไปทาร์นันก็ไม่ใช่ตัวเลือกที่เลวร้ายเท่าไหร่

ช่างเถอะ ช่างมัน… พวกเขาต่างก็รีบสลัดความคิดเรื่องหนีทิ้งไปอย่างรวดเร็ว รีบทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างขยันขันแข็ง

[1] เกอนาวา (格纳瓦 เก๋อ น่า หว่า) ในภาษาจีนเป็นคำที่ใช้ทับศัพท์เรียกดนตรีพื้นบ้านชนิดหนึ่งในแอฟริกาเหนือ (Gnawa) และกลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในโมร็อกโก ในภาษาอังกฤษเขียนว่า Gnawa, Gnaoua, Ganawa, Gnoua อ่านตามเสียงจะเป็น ‘นาวา’ หรือ ‘นัวอา’ แต่เนื่องจากในเนื้อเรื่องหลังจากนี้จะมีการเรียกชื่อเล่นตัวละครตัวนี้ว่า เหล่าเก๋อ หรือ ‘เกอนาวา’ เพื่อจะได้เรียกชื่อเล่นตามภาษาจีนได้

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท