รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 264 เจาะลึกในรายละเอียด

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 264 เจาะลึกในรายละเอียด

ก่อนหน้านี้ หลังจากไป๋เฉินฟื้นสติจาก ‘แรงกระตุ้น’ ให้หลบซ่อน เธอก็ยืนขึ้นมาเปิดหน้าต่าง เตรียมจะร่วมมือกับเจี่ยงไป๋เหมียนซางเจี้ยนเย่าจัดการกับ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ดังนั้นจึงได้เห็นการกระทำของเจ้าอารามหนานเคอโจวเยว่อย่างชัดเจนเต็มตา

เจี่ยงไป๋เหมียนไม่รู้สึกแปลกใจต่อคำตอบของไป๋เฉินแม้แต่น้อย เธอถามต่อ

“ทำไมถึงคิดอย่างนั้นล่ะ”

ไป๋เฉินอธิบายสั้นๆ เกี่ยวกับกระบวนการวิเคราะห์ของตนเอง

“ในตอนนั้นเจ้าอารามโจวทำอยู่สามเรื่อง อย่างแรกคือโยนไฟฉายทิ้ง ซึ่งนั่นตัดทิ้งไปได้เลย ไม่จำเป็นต้องเอามาวิเคราะห์ อย่างที่สองคือเขวี้ยง… เอ่อ… น่าจะเป็นขวดใส่น้ำมนต์ อย่างที่สามก็คือเอากระจกแปดทิศนั่นส่องไปที่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’”

ว่ากันตามตรงแล้ว เมื่อหลงเยว่หงได้ยินคำว่า ‘น้ำมนต์’ ‘กระจกแปดทิศ’ ก็เกิดความรู้สึกเหมือนเป็นเรื่องงมงาย ผิดหลักวิทยาศาสตร์เป็นอย่างยิ่ง

แต่ที่ผิดหลักวิทยาศาสตร์ยิ่งกว่าก็คือของพวกนี้กลับใช้ได้ผลเสียอย่างนั้น!

นี่ราวกับว่าพล็อตนิยายกลับกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมา นิยายที่เริ่มเปิดเรื่องด้วยประโยคที่ว่า ‘นิยายเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องจริง เป็นเพียงจินตนาการที่แต่งขึ้นมาเท่านั้น’

ในระหว่างที่เขายังตกอยู่ในห้วงภวังค์ก็ได้ยินไป๋เฉินพูดต่อ

“ถ้าหาก ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นกลัวน้ำมนต์จริงๆ ถ้างั้นหลังจากที่หลบได้แล้วก็ไม่เห็นต้องวิ่งหนีเสียหน่อย เพราะดูเหมือนว่าเจ้าอารามโจวจะพกน้ำมาแค่ขวดเดียว”

ยิ่งกว่านั้น น้ำมนต์นั่นก็กระฉอกออกมาเต็มพื้น เหลือติดก้นขวดเพียงแค่นิดเดียว ไม่มีอะไรให้ต้องกลัวอีก

หลังจากตัดไฟฉายกับน้ำมนต์สองข้อแรกทิ้งไปแล้ว บทสรุปของไป๋เฉินก็เห็นได้อย่างชัดเจน

เจี่ยงไป๋เหมียนร้อง “ฮื่อ” ออกมาก่อน เป็นการแสดงความเห็นด้วย จากนั้นก็พูดความเห็นตัวเองออกมา

“จุดที่เป็นปัญหาก็คือเธอใช้ความฉลาดของมนุษย์ไปเทียบกับระดับสติปัญญาของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้น

“พวกเราเห็นกันอย่างชัดเจนว่ามันค่อนไปทางสัตว์ป่ามากกว่ามนุษย์ ต่างจากพวก ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่ซากปรักบึงหมายเลข 1

“ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน สัตว์ป่าไม่มีทางมานั่งคิดพิจารณาว่าศัตรูยังมีน้ำมนต์เหลืออยู่หรือเปล่าหรอก มันจะรีบถอยห่างจากอันตรายตามสัญชาตญาณเท่านั้นแหละ”

พวก ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่ซากปรักบึงหมายเลข 1 นั่นถูกฝึกฝนมาโดยเสี่ยวชง หรือไม่ก็ได้รับอิทธิพลมาจากเขา ดังนั้นจึงมีพฤติกรรมที่ใกล้เคียงกับมนุษย์

ไป๋เฉินครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ นึกทบทวนประสบการณ์ในการจัดการกับพวกสัตว์ป่ามานานหลายปี รวมทั้งพวก ‘คนไร้ใจ’ ธรรมดาทั่วไปด้วย จากนั้นก็ผงกศีรษะพูดขึ้น

“นั่นสินะ

“เขาแข็งแกร่งมากจนฉันมองว่าเขาเป็นมนุษย์ไปโดยไม่รู้ตัว”

เธอไม่ได้รู้สึกอับอายหรือฉุนเฉียวที่วิเคราะห์ปัญหาผิดพลาด ไม่รู้สึกว่าจะต้องถกเถียงให้ชนะ

ด้านหนึ่งก็เป็นเพราะว่าการใช้ชีวิตเร่ร่อนบนแดนร้างนั้น ความผิดพลาดหมายถึงความตาย การที่มีคนช่วยชี้จุดผิดพลาดให้นั่นก็คือการช่วยชีวิตคุณเอาไว้ และอีกด้านหนึ่งก็คือการทบทวนหลังศึกเช่นนี้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ สนับสนุนการวิพากษ์ตนเอง แม้แต่เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็มีบางครั้งที่ใคร่ครวญไม่รอบคอบจนถูกเตือนสติเช่นกัน

เจี่ยงไป๋เหมียนหันไปทางซางเจี้ยนเย่ากับหลงเยว่หง

“แล้วพวกนายล่ะ ว่าไงบ้าง”

“ผมยังรู้สึกเหมือนว่าเรื่องนี้มันออกจะเกินจริงอยู่บ้าง” หลงเยว่หงพยายามเรียบเรียงคำพูด

ซางเจี้ยนเย่าผงกศีรษะ

“เพราะว่าเขาเป็นผี…”

เขาลากเสียงคำว่า ‘ผี’ และเจตนาพูดด้วยเสียงยานคางชวนขนลุก

เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่เขา

“พูดจาภาษาคนหน่อย!”

“ของพวกนั้นสะกดเขาเอาไว้” สีหน้าซางเจี้ยนเย่าพลันเปลี่ยนเป็นจริงจังในทันทีราวกับเป็นมืออาชีพ “การตื่นรู้ของมนุษย์มีสิ่งที่ต้องสละ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ก็ควรมีอะไรแบบนั้นเหมือนกัน ‘นิกายมังกรพยับ’ กราบไหว้ ‘เทพแห่งภาพลวง’ ดังนั้นการที่พวกเขาจะรู้เกี่ยวกับการสละและจุดอ่อนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร”

ตอนนี้นายคือซางเจี้ยนเย่าที่เป็นนายจริงจังและมืออาชีพงั้นสินะ… เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำแต่ไม่กล้าถามออกมา

เมื่อฟังจนถึงตรงนี้ หลงเยว่หงก็ค่อยๆ ตระหนักรู้ขึ้นมา ยอมรับได้ว่าโจวเยว่นั้นใช้อุปกรณ์ที่เหมือนของใช้สำหรับขับไล่ภูตผีปีศาจเหล่านั้นขับไล่ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ให้หนีไปด้วยความหวาดกลัว

บางทีอาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้ตอนที่เผชิญกับผู้ตื่นรู้พวกนั้น เขาไม่ได้มีส่วนร่วมสักเท่าไร จึงไม่ได้รับรู้เกี่ยวกับการสละของอีกฝ่าย ไม่เคยได้ใช้ประโยชน์จากเรื่องนี้ ดังนั้นเขาก็เลยไม่ได้มีความทรงจำเกี่ยวกับด้านนี้มากนัก จึงไม่เคยคิดถึงในแง่มุมที่เกี่ยวข้องกันมาก่อน

“ไม่เลว” เจี่ยงไป๋เหมียนตอบรับการวิเคราะห์ของซางเจี้ยนเย่า บนใบหน้าค่อยๆ เผยรอยยิ้มออกมา

รอยยิ้มของเธอนั้นประดุจสุนัขจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่ขโมยแม่ไก่ได้สำเร็จ

“จากจุดนี้จะเห็นได้ว่าพวกข้าวของที่โจวเยว่ตระเตรียมมานั้นได้เปิดเผยถึงรายละเอียดของข้อมูลที่สำคัญมาก

“จุดอ่อนที่เป็นไปได้ของผู้ตื่นรู้ในเขตพลังของมายาลวงตาก็คือ…

“กลัวน้ำ กลัวแสง กลัวกระจก แล้วก็… จำหน้าคนไม่ค่อยได้

“อืม… กระสอบที่เธอสะพายไว้ที่หลังนั่นมันแทนอะไรกันนะ”

การกลัวน้ำเป็นการตีความจากขวดใส่น้ำมนต์ การกลัวแสงมาจากไฟฉาย ส่วนการกลัวกระจกไม่จำเป็นต้องเอ่ยถึงเพราะเห็นได้จากกระจกแปดทิศอยู่แล้ว การจดจำใบหน้าคนไม่ค่อยได้นั่นก็มาจากสิ่งที่โจวเยว่เป็นอยู่

นี่มัน… หลงเยวห่งฟังแล้วก็นิ่งอึ้งไปจนพูดไม่ออก ไม่รู้เลยว่าในเวลาปกติที่ไม่ทันได้ระวังตัวนั้นตนเองได้เปิดเผยความลับส่วนตัวออกไปอย่างไม่ตั้งใจมากน้อยขนาดไหนแล้ว เพียงแต่หัวหน้าทีมไม่ได้พูดอะไรออกมาแค่นั้นเอง

ขนาดเจ้าอารามโจวยังไม่ทันได้ทำอะไรก็ถูกวิเคราะห์ออกมาอย่างละเอียด แจกแจงได้เป็นข้อๆ ถึงขนาดนี้!

แปะ! แปะ! แปะ!

จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าตบมือขึ้นมา

ส่วนความหมายของกระสอบ เขาก็ตอบออกมาอย่างจริงใจ

“กลัวถูกจับคลุมหัวแล้วซ้อม”

“แล้วใครไม่กลัวบ้างยะ” เจี่ยงไป๋เหมียนแว้ดออกมาด้วยความฉุน “เรื่องกลัวแสงตัดทิ้งไปได้ หลังจากที่เจ้าอารามโจวเห็นว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ยืนอยู่ใต้แสงไฟถนนก็โยนไฟฉายทิ้งทันที นี่เห็นได้ชัดว่าเธอเองก็คิดแบบเดียวกัน การจำหน้าคนไม่ค่อยได้นั้นย่อมไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้กลัวจนหนีไป สามารถตัดทิ้งไปได้เช่นกัน

“เรื่องกลัวน้ำนี่ อืม… พวกนายน่าจะสังเกตเห็นว่าศพที่ถูกโยนเข้าไปในบาร์มีรอยกัดที่คออย่างชัดเจน มีเลือดไหลโชก นั่นก็เป็นน้ำเหมือนกัน เห็นได้ว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ไม่ได้กลัวเรื่องนี้”

เธอหยุดชั่วขณะก่อนจะพูดเสริม

“อ้อ ยังตัดเรื่องที่เขาอาจจะกลัวแค่น้ำบางประเภททิ้งไม่ได้ น่าเสียดายที่ตอนนั้นทั้งเจ้าอารามโจวทั้งเกอนาวาต่างก็อยู่ด้วย ฉันก็เลยเก็บตัวอย่างน้ำนั่นเอามาศึกษาไม่ได้ แต่ว่านะ ความเป็นไปได้ในข้อนี้ค่อนข้างต่ำ

“กระสอบไม่ได้เอาออกมาใช้ แต่จะตัดวิธีใช้ให้เกิดผลทิ้งไปไม่ได้เหมือนกัน

“สรุปได้ว่าความเป็นไปได้สูงสุดก็คือ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นกลัวกระจก”

ไป๋เฉินครุ่นคิดแล้วเห็นพ้องด้วย

“ถ้าสมมติฐานนี้ถูกต้อง อย่างนั้นก็อธิบายได้ว่าทำไม ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นถึงไม่เข้าไปในบาร์

“ในสภาพที่เปิดไฟเอาไว้ กระจกหน้าต่างก็กลายเป็นกระจกเงาดีๆ นี่เอง”

เจี่ยงไป๋เหมียนได้ยินแล้วก็คลี่ยิ้มออกมา พูดกับหลงเยว่หงซางเจี้ยนเย่า

“ดูสิ ดูสิ นี่แหละที่เรียกว่ารู้หนึ่งกระจ่างสาม กล้าตั้งสมมติฐาน ตรวจสอบอย่างรอบคอบ”

คำชมนี้ทำเอาไป๋เฉินรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง

หลังจากชมไป๋เฉินแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดกับหลงเยว่หง

“นายต้องเตรียมกระจกพกติดตัวไว้สักบานด้วยนะ”

หลงเยว่หงเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่มีกระจก

ในฐานะที่เป็นผู้หญิง เป็นมือปืนที่เชี่ยวชาญการซุ่มยิง เจี่ยงไป๋เหมียนและไป๋เฉินย่อมมีกระจกเพื่อแต่งหน้า ซางเจี้ยนเย่าเองก็พกไว้เหมือนกันเพื่อใช้พลังพิเศษกับตัวเอง และมีมากกว่าหนึ่งบานด้วย

“ไว้ฟ้าสางเมื่อไหร่ผมจะไปซื้อมาครับ!” เมื่อเป็นเรื่องที่เกี่ยวพันถึงความเป็นความตาย หลงเยว่หงไม่ได้แสดงท่าทีลำบากใจที่จะพกกระจกติดตัวแม้แต่น้อย

ก่อนหน้านี้เขาเคยเห็นว่าร้านแผงลอยในทาร์นันสามารถแลกเปลี่ยนกระจกแต่งหน้าได้

ของพวกนี้ย่อมแน่นอนว่าต้องคุ้ยมาจากซากเมืองในโลกเก่านั่นเอง

ทันทีที่เขาพูดจบ ซางเจี้ยนเย่าก็พูดด้วยเสียงยานคางชวนขนหัวลุก

“ของพวกนั้นอาจจะเป็นของคนตายก็ได้ จากนั้นพอเจ้าของตายก็กลายเป็นผีหลอกวิญญาณหลอนสิงอยู่ในนั้น…”

“เลิกแกล้งเสี่ยวหงได้แล้ว มาคุยงานกันต่อ” เจี่ยงไป๋เหมียนตัดบทการเล่าเรื่องสั้นขวัญผวาของซางเจี้ยนเย่า

คนอย่างฉันไม่กลัวเรื่องพวกนี้หรอกน่า… หลังจากหลงเยว่หงลองคิดๆ ดูแล้วก็ตัดสินใจว่าตอนไปซื้อ จะเลือกกระจกบานที่ค่อนข้างใหม่สักหน่อยก็แล้วกัน

ตอนนี้เป็นตาเจี่ยงไป๋เหมียนที่ตรวจสอบวิเคราะห์ตัวเอง

“ครั้งนี้ฉันทำพลาดไปเรื่องหนึ่ง

“เป็นเพราะว่าทาร์นันมีการรักษาความปลอดภัยสาธารณะที่ค่อนข้างดี ขนาดเมืองก็ไม่เล็ก อีกทั้งยังได้รับความคุ้มครองจากยามจักรกลด้วย ฉันก็เลยวางใจ ไม่คิดว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นจะเข้ามาโจมตีที่นี่ ทำให้หละหลวมเรื่องการระวังตัวไป”

การที่ ‘คนไร้ใจ’ โจมตีนิคมขนาดเล็กของมนุษย์เพื่อล่าหาอาหารนั้นเป็นเรื่องปกติที่เกิดขึ้นได้

“ผมเองก็พลาดเหมือนกัน” ซางเจี้ยนเย่าพูดตาม “ตอนที่ลมเริ่มพัดในช่วงแรกๆ แล้วมีคนมาเคาะประตู ผมไม่ได้รีบออกไปเล่นซ่อนหากับเขาเพื่อแข่งกันว่าใครจะเจอใครก่อน”

“สถานการณ์ตอนนั้นเหมือนมีเด็กมาแกล้งเคาะเล่น” ไป๋เฉินแสดงความคิดเห็น “ถึงแม้พวกเราไม่ควรลดความระวัง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องหวาดระแวงเกินเหตุ ถึงยังไงมนุษย์ก็มีเรี่ยวแรงมีกำลังจำกัด”

งั้นฉันก็ไม่ใช่มนุษย์สินะ… ประโยคนี้แว่บขึ้นมาในใจของเจี่ยงไป๋เหมียนทันที

เธอคิดว่าซางเจี้ยนเย่าจะตอบกลับไปด้วยประโยคเช่นนี้ ทว่าเขากลับผงกศีรษะ

“การเป็นเด็ก ไม่ได้ส่งผลต่อการเล่นซ่อนหาหรอก”

ครั้งนี้คลื่นสมองของทั้งคู่ไม่ได้มีความถี่เดียวกัน

หลังจากทบทวนตัวเอง สรุปประสบการณ์และการเรียนรู้เป็นบทเรียนแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนก็พูดต่อ

“ระยะขอบเขตพลังของ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ นั่นค่อนข้างกว้างและมีผลกระทบค่อนข้างสูง ฉันคาดว่าเขาน่าจะเข้าไปจนถึงสุด ‘ทะเลต้นกำเนิด’ และพบกับตัวเองแล้ว แต่เป็นเพราะยังขาดความรู้ความเข้าใจในตัวเองก็เลยยังไม่สามารถเอาชนะตัวเองได้ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะป่วยเป็น ‘โรคไร้ใจ’ ก็เลยทำให้เข้าไปสู่ ‘ทางเดินแห่งจิต’ ได้

“ดีที่พวกคนแข็งแกร่งที่ไม่มีสติปัญญานั้นเทียบกับคนธรรมดาแล้วก็นับว่าอ่อนแอกว่ามากๆ”

เจี่ยงไป๋เหมียนเชื่อมาตลอดว่าพวก ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ไม่อาจข้ามผ่าน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ในด่านสุดท้ายไปได้ เพราะที่นั่นคือการเผชิญหน้ากับตัวเอง หากปราศจากจิตสำนึกอันแจ่มชัดผนวกกับความรู้ความเข้าใจที่มากพอ ย่อมเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญที่จะฝ่าพิชิตได้

เมื่อหลงเยว่หงได้ยินเช่นนี้ก็พูดออกมาโดยไม่รู้ตัว

“‘คนไร้ใจขั้นสูง’ อาจไม่จำเป็นต้องอาศัยการตื่นรู้ก็ได้ เป็นไปได้ว่าสมองหรืออวัยวะอื่นเกิดการกลายพันธุ์ จึงทำให้เกิดความสามารถหรือพลังพิเศษที่คล้ายกัน…”

หากเป็นเช่นนี้ก็สามารถตัดประเด็นที่ว่าพวกมันสามารถข้าม ‘ทะเลต้นกำเนิด’ ไปได้หรือไม่ทิ้งไปได้เลย

แต่พอพูดไปพูดมา หลงเยว่หงก็เงียบเสียงไปเพราะเขาตระหนักได้ว่าอย่างน้อยพวก ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ที่เขาเคยพบเจอมานั้นมีพฤติกรรมบางอย่างที่คล้ายกับผู้ตื่นรู้

นั่นคือพวกมันทั้งหมดล้วนมีจุดอ่อนหรือสิ่งที่สละไป

“ฮื่อ” เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้ปฏิเสธออกมาโดยตรง ถึงอย่างไรเธอก็มีตัวอย่างให้ศึกษาและหลักฐานไม่มากพอจะฟันธงได้

จากนั้นเธอก็พูดอย่างครุ่นคิด

“สมมติว่า ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนี้เป็นผู้ตื่นรู้ และสิ่งที่สละก็คือกลัวกระจก ถ้าอย่างนั้นพลังพิเศษทั้งสามอย่างของเขามีอะไรบ้างล่ะ”

“สร้างภาพหลอน!” หลงเยว่หงตอบออกมาโดยพลัน

เจี่ยงไป๋เหมียนพยักหน้าเบาๆ จากนั้นก็แก้ไขคำพูดเสริมขึ้น

“เท่าที่เห็นในตอนนี้ พลังในการสร้างภาพหลอนของเขาไม่มีจุดอ่อนตรงไหน”

“แล้วก็ยังมีพลังที่ทำให้เราตัดสินใจผิดพลาดด้วย” ซางเจี้ยนเย่าวางท่าเป็นนักสืบชื่อดังที่ขาดเพียงกล้องยาสูบในปากพูดขึ้น “ผมรู้สึกว่ามันเป็นพลังที่ส่งผลต่อปฏิกิริยาตอบสนองต่อสิ่งเร้าของพวกเรา”

ก่อนหน้านี้มีเพียงแค่ตัวเขากับเจี่ยงไป๋เหมียนเท่านั้นที่เจอกับพลังนี้เข้าไป

“ใช่” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นด้วย “มันน่าจะเป็นการทำให้การตอบสนองต่อสิ่งเร้าหรือการตอบสนองตามสัญชาตญาณของเราคลาดเคลื่อนไป ทำให้เราไม่สามารถตอบสนองสิ่งเร้าภายนอกได้อย่างถูกต้องตามที่ควรจะเป็น”

ในตอนนั้นเธอสามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ทุกอย่าง ทว่ากลับทำในสิ่งที่ตนเองไม่ได้คิดจะทำ

“ฟังดูน่ากลัวชะมัด” หลงเยว่หงอดถอนใจไม่ได้ “งั้นจะรับมือกับเรื่องนี้ยังไงดีล่ะ”

“สวมชุดที่มีเศษกระจกแปะไว้รอบตัว เขาจะได้ไม่กล้ามองนาย” ซางเจี้ยนเย่าเสนอวิธีแก้ปัญหา

จากนั้นเขาก็ครวญเพลงออกมา

“คุณนั้นฉลาดที่สุด… ”

โดยไม่รอให้เจี่ยงไป๋เหมียนถลึงตาใส่ ซางเจี้ยนเย่ารีบสะกดสีหน้าตัวเองแล้วพูดอย่างจริงจัง

“ลองเปลี่ยนแปลงการตอบสนองของตัวเองดูสิ

“อย่างเช่นว่าถ้าหากเจอศัตรู แทนที่จะชักปืนออกมายิง ก็เปลี่ยนเป็นเต้นแทน

“แล้วพอถูกอิทธิพลจากพลังนั้นเข้าไป มันก็จะแก้ให้กลายเป็นปฏิกิริยาที่ถูกต้องเอง เหมือนลบคูณลบจะได้บวกไงล่ะ”

ตอนแรกหลงเยว่หงฟังแล้วก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลดี แต่แล้วก็ตระหนักถึงปัญหาสำคัญขึ้นมาได้

แล้วถ้าหากว่าเราไม่ได้เจอ ‘คนไร้ใจขั้นสูง’ ตนนั้นล่ะ แบบว่าไปเจอศัตรูหรือสัตว์ร้ายตัวอื่นๆ เข้า จะทำไง…

เต้นโชว์ให้ดูงั้นเรอะ!

* * * * *

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท