ตอนที่ 296 ทัศนคติที่น่าสงสัย
สองวัน… เจี่ยงไป๋เหมียนย้อนนึกทบทวนก่อนจะพูด
“ก่อนหน้านี้ก็เหมือนว่าเคยมีสถานการณ์ที่วีลไม่ได้ปรากฏตัวออกมาหลายวันด้วยนี่”
นั่นคือในระหว่างพิธีมิสซาซ่อนกายของนิกายตื่นตัว
“ใช่” ซ่งเหอไม่ได้พูดเรื่องของวีลอีก เขาเปลี่ยนเรื่องถาม “พวกคุณมาที่นี่เพื่อรวบรวมเสบียงเหรอ”
จากมุมมองของคนทั่วไป การที่ทีมเฉียนไป๋ย้อนกลับมาที่นี่ย่อมเป็นเพราะต้องการจัดหาเสบียงสำหรับเดินทางกลับเป็นแน่แท้
“เปล่าหรอก ที่ทาร์นันเราแลกอาหารกระป๋องสารพัดรสชาติมาเยอะแล้วล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดด้วยรอยยิ้ม
เธอเหลือบมองอันโตนิโอล่า มุขนายกคนใหม่ที่เตรียมจะลุกออกจากห้องสวดภาวนาไปอย่างเงียบๆ แล้วพูดต่อ
“ที่พวกเรามาที่นี่ โดยหลักๆ ก็เพื่อแลกเปลี่ยนแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงน่ะ ผู้แจ้งเตือนซ่ง ก็อย่างที่คุณเห็นล่ะว่าเราได้รับหุ่นยนต์ใหม่มาตัวหนึ่ง”
เกอนาวาร่างสูง ‘บึกบึน’ สวมแว่นกันแดด มีลักษณะเด่นเฉพาะตัว คงไม่มีใครมองข้ามเขาไปได้
“ไปหาที่อูลล์ริช พ่อบ้านของดิมาร์โก้ได้นะ หรือจะไปหาเฮออันบัสก็ได้” ซ่งเหอแนะนำเป้าหมาย
“เราไปหาทั้งคู่มาแล้วล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้ฟัง สุดท้ายก็พูดว่า “เรื่องราวดูท่าว่าจะยุ่งยากอยู่บ้าง ได้แต่หวังว่า ‘นาวาบาดาล’ จะยอมเจียดแบตเตอรี่มาให้มากขึ้นอีกหน่อย”
“อ้อ ใช่” ราวกับว่าเป็นเพราะหัวข้อนี้จึงทำให้เจี่ยงไป๋เหมียนเชื่อมโยงบางเรื่องขึ้นมาได้ เธอเอ่ยถามอย่างไม่จริงจัง “หลังจากที่มุขนายกอันโตนิโอล่าเข้ารับตำแหน่งแล้ว เขาได้พบมิสเตอร์ดิมาร์โก้หรือยัง”
อันโตนิโอล่าซึ่งสวมชุดคลุมดำที่เดินออกไปไกลแล้ว พลันชะงักฝีเท้าโดยไม่รู้ตัว
ซ่งเหอเหลือบมองเขาก่อนจะตอบกลับมาสั้นๆ
“มีคุยผ่านวิดีโอคอลกันแล้ว”
“อ้อ…” ซางเจี้ยนเย่าร้องออกมาด้วยน้ำเสียงที่ยากจะวิเคราะห์
อย่างน้อยฐานข้อมูลที่เกอนาวามีอยู่ในขณะนี้ก็ไม่อาจวิเคราะห์ได้
ตานี่ช่างสรรหาลูกไม้ใหม่ๆ มาเล่นอยู่เรื่อยเชียว… ความคิดเจี่ยงไป๋เหมียนทำงาน เธอทำประหนึ่งตนเองไม่ทันได้สังเกตเห็นว่ามุขนายกอันโตนิโอล่ายังอยู่ในห้องโถง และ ‘ช่วย’ เขาบ่นพึมพำ
“แม้แต่มุขนายกของนิกายก็ไม่สามารถสื่อสารกับดิมาร์โก้แบบต่อหน้าได้งั้นเหรอ
“แต่ตอนที่เขาอยากรู้สถานการณ์บนเกาะกลางทะเลสาบกลับยอมมาพบพวกเรา นี่มันไม่น่าเชื่อจริงๆ”
หัวหน้า… ทักษะการแสดงของคุณถือว่าใช้ได้เลยนะ แล้วพอรวมกับเจ้าเสียง ‘อ้อ’ ของซางเจี้ยนเย่าด้วย นี่มันภูษาฟ้าไร้ตะเข็บ[1]ชัดๆ … หลงเยว่หงถึงกับตะลึงไปพักใหญ่ รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ตลกมาก
เขาเริ่มสงสัยว่าหัวหน้าทีมคงดูดซับสารอาหารมาจากซีรีส์ของโลกเก่านั่นเอง
ดังนั้นสื่อบันเทิงโลกเก่าก็ไม่ได้มีแต่ด้านที่ไม่ดีสินะ… หลงเยว่หงคิดมาถึงตรงนี้ก็เหลือบมองไป๋เฉินโดยไม่รู้ตัว
สีหน้าไป๋เฉินเคร่งเครียดเล็กน้อยราวกับเธอกำลังรู้สึกว่าแม้แต่เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็ยากจะรับมือสื่อบันเทิงโลกเก่าเช่นกัน
อันโตนิโอล่าหมุนตัวกลับมา แล้วพูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง
“มุขนายกคนก่อนๆ เองก็สื่อสารกับมิสเตอร์ดิมาร์โก้ผ่านทางวิดีโอคอลทั้งนั้น มีแต่ใต้เท้านักบุญซีคมุนท์ที่ได้เข้าไปในนาวา ได้ลงไปใต้ดินชั้นสองเพื่อพูดคุยกับมิสเตอร์ดิมาร์โก้ครั้งหนึ่ง”
ที่เจี่ยงไป๋เหมียนกำลังรออยู่ก็คือโอกาสนี้เอง เธอรีบถามขึ้นทันที
“หลังจากใต้เท้านักบุญซีคมุนท์กลับขึ้นมาแล้วได้พูดอะไรบ้างไหมคะ”
เมื่อได้ยินคำถามนี้และนึกถึงบทสนทนาก่อนหน้านี้ ซ่งเหอก็ชำเลืองมองเจี่ยงไป๋เหมียนกับคนอื่นๆ ก่อนผงกศีรษะเล็กน้อยราวกับว่าเข้าใจอะไรบางอย่างขึ้นมาบ้างแล้ว
เนื่องจากนี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นความลับอะไร อันโตนิโอล่าจึงไม่ได้ปิดบังอำพราง เขานึกทบทวนก่อนจะเล่าออกมา
“ใต้เท้านักบุญซีคมุนท์บอกพวกเราว่า ตราบใดที่เจ้าของ ‘นาวาบาดาล’ ยังคงศรัทธาใน ‘ธชียมโลก’ และไม่ได้ทำลายเสถียรภาพของชุมชนศิลาแดงไปจริงๆ พวกเราก็ไม่ควรเข้าไปก้าวก่ายเรื่องภายในของ ‘นาวาบาดาล’”
ฟังแล้วก็รู้สึกมีอะไรแปลกๆ เลยแฮะ… ด้วยความเฉียบคมของเจี่ยงไป๋เหมียน เมื่อเธอฟังแล้วก็ชี้ให้เห็นปัญหาออกมาได้ทันที
นั่นก็คือ ‘มุขนายกแห่งความหวาดหวั่น’ ผู้นั้นของนิกายตื่นตัวใช้คำว่า เจ้าของ ‘นาวาบาดาล’ แต่ไม่ได้ใช้คำว่าดิมาร์โก้!
สำหรับเรื่องนี้มีคำอธิบายได้สองประการ
หนึ่ง นี่เป็นนโยบายระยะยาวของนิกายตื่นตัวสำหรับจัดการกับ ‘นาวาบาดาล’ นั่นคือไม่ว่าเจ้าของที่นั่นจะเป็นใครก็ไม่เปลี่ยนแปลง
สอง นิกายตื่นตัวไม่สนใจว่าเจ้าของ ‘นาวาบาดาล’ จะเป็นใคร ไม่ว่าจะเป็นตัวดิมาร์โก้ก็ดี เป็นลูกของเขาก็ดี หรือจะเป็นใครก็ได้ทั้งสิ้น ตำแหน่งเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์เท่านั้น ขอเพียงแค่ยังตอบสนองเรื่องความศรัทธาใน ‘ธชียมโลก’ และไม่ทำลายเสถียรภาพของชุมชนศิลาแดงก็ไม่มีปัญหา
คำอธิบายทั้งสองประการนั้นโดยหลักใหญ่ใจความไม่ได้แตกต่างกัน นั่นก็คือการเปลี่ยนเจ้าของ ‘นาวาบาดาล’ เป็นเรื่องภายใน จะไม่ทำให้นิกายตื่นตัวเข้าไปก้าวก่าย แน่นอนว่าเงื่อนไขเบื้องต้นก็คือเจ้าของคนใหม่ของนาวาจะต้องศรัทธาใน ‘ธชียมโลก’ และไม่ทำลายเสถียรภาพของชุมชนศิลาแดง
นี่ก็คือทัศนคติของนิกายตื่นตัวที่เจี่ยงไป๋เหมียนต้องการทราบ
แต่เธอก็ยังรู้สึกไม่ค่อยเข้าใจในเรื่องนี้อยู่บ้าง เธอรู้สึกว่า ‘มุขนายกแห่งความหวาดหวั่น’ นั้นพูดตรงเกินไป และแสดงอย่างชัดเจนเกินไป
อย่าบอกนะว่าการใช้คำว่าเจ้าของ ‘นาวาบาดาล’ แทนชื่อของดิมาร์โก้นั้นยังมีความหมายอย่างอื่นด้วยน่ะ… ในช่วงเวลาสั้นๆ นี้เจี่ยงไป๋เหมียนยังคิดไม่ออกว่าเป็นเพราะอะไร แต่นี่ก็ไม่ได้หยุดยั้งเธอจากการขยี้ซ้ำในเรื่องนี้
เธอแสร้งขมวดคิ้วพลางถามด้วยความไม่เข้าใจ
“แต่ว่าก่อนหน้านี้ดิมาร์โก้คิดจะนำให้พวกมนุษย์มัจฉาปีศาจภูเขามากวาดล้างชุมชนศิลาแดง
“นี่ไม่เท่ากับว่าทำลายเสถียรภาพของชุมชนศิลาแดงหรอกเหรอ”
อันโตนิโอล่าถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ
ซ่งเหอพูดอย่างยิ้มแย้ม
“เรื่องที่ผ่านไปแล้วก็ให้แล้วกันไปเถอะ อย่าไปรื้อฟื้นเลย พวกเราต้องมองไปที่อนาคตข้างหน้า”
เจี่ยงไป๋เหมียนทราบว่าควรพอแต่เพียงเท่านี้ เธอหัวเราะออกมา
“นี่เป็นเรื่องของนิกายอันสูงส่งของพวกคุณ ฉันก็เลยบันดาลโทสะไปบ้างเพราะความอยุติธรรม โปรดอย่าได้ถือสาหาความ”
หัวหน้า… คำพูดแบบนี้น่ะ แค่ได้ยินก็รู้แล้วว่านี่มันคำพูดจากซีรีส์ของโลกเก่าชัดๆ … หลงเยว่หงเริ่มครุ่นคิดถึงคำถามหนึ่งขึ้นมาอย่างจริงจังว่าลับหลังพวกตนนั้น หัวหน้าทีมได้แอบดู… ไม่สิ… แอบตรวจสอบสื่อบันเทิงโลกเก่าไปมากน้อยขนาดไหนแล้ว
หลังจากคุยกันไปสักพัก ‘ทีมสำรวจเก่า’ ก็กล่าวอำลาแล้วขึ้นรถจี๊ปจากมา
“ไปที่ทางออกภูเหล็กของนาวา” เจี่ยงไป๋เหมียนมองไปข้างหน้าพลางออกคำสั่ง
เป็นเพราะเกอนาวายังไม่ได้รวบรวมแผนที่ของบริเวณนี้ ดังนั้นไป๋เฉินจึงรับผิดชอบเรื่องการขับขี่
“จะไปทำอะไรที่นั่นเหรอ” หลงเยว่หงรู้สึกแปลกใจ
ซางเจี้ยนเย่าพลันร้องเพลงขึ้นมาทันที
“ไปหา ไปหา ไปหาเพื่อน…”
“ไปหาไส้ศึกน่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนช่วยอธิบาย
หลงเยว่หงไม่ได้ไร้สมอง เขาเข้าใจได้ทันทีว่าพวกตนกำลังจะเดินทางไปก่อเรื่องกันแล้ว
เขารู้สึกกังวลและประหม่าขึ้นมาเล็กน้อย
“หัวหน้า จะไปจัดการกับ ‘นาวาบาดาล’ จริงๆ เหรอ”
พวกเราเป็นเพียงทีมเล็กๆ ที่มีกันแค่ห้าคน แต่กลับจะไปทำเรื่องที่ทีมใหญ่ๆ ก็ยังไม่แน่ว่าจะทำได้สำเร็จเนี่ยนะ
จะบ้าระห่ำเกินตัวไปหน่อยหรือเปล่า
หัวหน้า… นี่ผมอุตส่าห์คิดมาตลอดว่าคุณเป็นคนที่ไว้ใจได้ เชื่อถือได้เชียวนะ!
เจี่ยงไป๋เหมียนได้แต่แอบทอดถอนใจอย่างจนใจแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม
“ซางเจี้ยนเย่ากับเกอนาวาเสนอแผนการที่มีความเป็นไปได้มาน่ะ ฉันก็เลยต้องรักษาสัญญา
“วางใจเถอะน่า เรื่องนี้ต้องทำไปทีละขั้นทีละตอน ถ้าระหว่างทางมีเงื่อนไขอะไรที่ทำไม่ได้ก็จะวางมือทันที อ้อ ถ้าหากภายในสามวันยังไม่สามารถลงมือได้ก็จะเลิกล้มเหมือนกัน พวกเรายังถูก ‘สวรรค์จักรกล’ ตามล่าอยู่ จะอยู่ที่ชุมชนศิลาแดงนานเกินไปไม่ได้”
ประโยคครึ่งหลังนั้นเป็นการพูดกับซางเจี้ยนเย่าและเกอนาวาโดยตรง
หลังจากหยุดไปชั่วขณะ เจี่ยงไป๋เหมียนก็หันไปทางไป๋เฉินที่อยู่ด้านข้าง
“เสี่ยวไป๋ เสี่ยวหง พวกนายมีความคิดเห็นกันว่ายังไง
“ถ้าพวกนายคัดค้าน ฉันก็จะพิจารณาอย่างรอบคอบอีกที สำหรับฉันแล้ว ความคิดของทุกคนก็มีน้ำหนักเท่ากัน”
หากพูดตามตรงแล้ว ในขณะนี้เจี่ยงไป๋เหมียนเกิดความขัดแย้งอยู่ในใจ เธอหวังว่าไป๋เฉินกับหลงเยว่หงจะคัดค้านแผนนี้ ทำให้ตนเองมีข้ออ้างปัดตกความคิดของซางเจี้ยนเย่า แต่ก็ไม่ได้บอกใบ้พวกเขาเป็นนัย
เมื่อนึกถึงสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความหวังคู่นั้น เธอก็รู้สึกสะทกสะท้อนอยู่บ้าง
ไป๋เฉินนิ่งเงียบไปนาน นานเสียจนเจี่ยงไป๋เหมียนคิดว่าเธอไม่ต้องการแสดงความคิดเห็นไปแล้ว
ทว่าในที่สุด เธอมองตรงไปยังเส้นทางด้านหน้าพลางพูดด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง
“ถ้าหากกำหนดเงื่อนไขการยกเลิกปฏิบัติการไว้อย่างเหมาะสม อย่างนั้นจะลองดูก็ได้”
จุ๊ จุ๊… นี่ช่างดูไม่เหมือนคนเร่ร่อนแดนร้างมากประสบการณ์ผู้คอยหลีกเลี่ยงอันตรายเลยนะ เสี่ยวไป๋เอ๋ย… เป็นเพราะเธออยากจะรักษาความมีส่วนร่วมในทีมอย่างนั้นเหรอ… เจี่ยงไป๋เหมียนไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร เธอเอี้ยวตัวไปมองหลงเยว่หง
หลงเยว่หงพลันรู้สึกถึงแรงกดดันขึ้นมาทันที พูดออกไปอย่างลังเล
“ผมเชื่อการตัดสินใจของคุณ”
พูดแบบมานี้… เจี่ยงไป๋เหมียนรู้สึกว่าความกดดันที่แบกรับไว้บนบ่านั้นหนักหน่วงมากยิ่งขึ้น
ซางเจี้ยนเย่าปรบมือ
“เห็นด้วยสี่ งดออกเสียงหนึ่ง มติผ่าน!”
“ฉันเห็นด้วยตั้งแต่เมื่อไหร่ยะ” เจี่ยงไป๋เหมียนถามด้วยความขบขัน
ซางเจี้ยนเย่า
“เห็นด้วยอยู่ในใจไง”
เจี่ยงไป๋เหมียนเลิกคิ้วซ้าย แต่ไม่ได้ตอบคำ
* * * * *
ณ บริเวณถ้ำในหุบเขาใกล้ทางเข้าออกลับของ ‘นาวาบาดาล’ ที่ภูเหล็ก
เหล่าสมาชิก ‘ทีมสำรวจเก่า’ คอยเฝ้าสอดส่องมาตลอดช่วงบ่าย แต่ก็ไม่เห็นว่ามีใครออกมา
หลงเยว่หงแหงนมองพระอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยต่ำมาทางตะวันตกมากขึ้นทุกขณะ สูดลมเย็นเข้าปอด
“ฟ้าใกล้มืดแล้ว จะกลับกันหรือยัง”
ไม่มีเรื่องก็ถือว่าเป็นเรื่องดีแล้วสินะ
ซางเจี้ยนเย่าหันไปมองเขาแล้วพูดด้วยความโล่งใจ
“ในที่สุดนายก็พูดประโยคนี้ออกมาเสียที”
“นายหมายความว่ายังไง” หลงเยว่หงรู้สึกเหมือนตนเองโดนดูหมิ่นดูแคลนขึ้นมา
“นั่นไง” ซางเจี้ยนเย่าบุ้ยหน้าไปทางปากถ้ำ
มีสองร่างในชุดสีเขียวมะกอกแบกกระสอบที่อ้วนป่อง เดินด้วยฝีเท้าที่หนักอึ้ง
“…” หลงเยว่หงเห็นแล้วก็ได้แต่อึ้ง
“พวกนั้นเดินออกมาตั้งแต่ก่อนที่นายจะพูดแล้วล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเห็นแล้วก็ปลอบเขาไปประโยคหนึ่ง
“นั่นสิ…” หลงเยว่หงรู้ตัวขึ้นมา
ด้วยฝีเท้าของคนทั้งสอง กว่าจะเดินจาก ‘นาวาบาดาล’ มาถึงปากถ้ำ จะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองสามนาที ซางเจี้ยนเย่ารับรู้ได้ตั้งแต่ก่อนที่ตนจะพูดว่า ‘ฟ้าใกล้มืดแล้ว จะกลับกันหรือยัง’ ตั้งนานแล้ว
ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ปฏิเสธ พูดด้วยน้ำเสียงที่ ‘ตกตะลึง’
“อย่างนั้นคำพูดของนายก็ส่งผลย้อนหลังถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหลายนาทีก่อนได้ด้วยเหรอ
“เรื่องที่เกิดตอนนี้เป็นเพราะอดีตถูกเปลี่ยนงั้นเหรอ”
หลงเยว่หงเข้าใจความรู้สึกที่หัวหน้าทีมไม่อยากจะเสวนากับซางเจี้ยนเย่าได้เป็นอย่างดี
ในระหว่างที่ยามจาก ‘นาวาบาดาล’ ทั้งสองกำลังเคลื่อนที่ไปหาที่ฝังศพ ไป๋เฉินก็พูดเสียงต่ำ
“ในกระสอบมีมากกว่าหนึ่งศพ”
ถ้ามีเพียงศพเดียว พวกเขาก็คงไม่แบกกันลำบากขนาดนั้น
เจี่ยงไป๋เหมียนเองก็รู้ในจุดนี้เช่นกัน เธอนิ่งเงียบไปสองวินาทีแล้วหันไปบอกซางเจี้ยนเย่า
“ไปได้”
ซางเจี้ยนเย่าดึงหน้ากากขนดกปากยื่นลงมาปิดใบหน้า กระโดดจากที่สูงลงมายืนอยู่หน้ายามของ ‘นาวาบาดาล’ ทั้งสองคน
ตุ๊บ!
ยามทั้งคู่ปล่อยมือตามปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติทันที กระสอบร่วงกระแทกพื้นทำให้เกิดเสียงดังทึบ
พวกเขากำลังจะชักปืนออกมา แต่พบว่ามือของตนเองไม่สามารถทำเช่นนั้นได้
ณ เวลานี้ พวกเขาต่างก็ยืนแข็งทื่ออยู่กับที่ ตื่นตระหนกทำอะไรไม่ถูก
ซางเจี้ยนเย่าควง ‘ไอซ์มอส’ พร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ต้องกลัว ผมมาเพื่อเป็นเพื่อนด้วย”
ยามทั้งสองคนที่กำลังจะวิ่งหนีก็เห็นปืนพกที่ถูกหมุนควงอยู่ในมือศัตรูนั้นหยุดลง ปากกระบอกปืนสีดำเล็งตรงมาที่พวกเขา
________________________________________
[1] ภูษาฟ้าไร้ตะเข็บ (天衣无缝) เป็นสำนวนใช้เปรียบเทียบถึงเหตุการณ์ที่เรียบร้อยราบรื่น ไร้ปัญหาอุปสรรคหรือข้อตำหนิใดๆ