รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) – ตอนที่ 310 เดินทางกลับ (จบองก์)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum) - ตอนที่ 310 เดินทางกลับ (จบองก์)

ตอนที่ 310 เดินทางกลับ (จบองก์)

คำตอบของคำถามทั้งหมดนั้นอยู่ที่โลกใหม่… พวกเจี่ยงไป๋เหมียนซางเจี้ยนเย่าต่างพูดทวนประโยคนี้ซ้ำในใจ

บทสนทนาระหว่างพวกเขากับวีลทำให้ผู้คนในนาวาต่างก็เชื่อมั่นมากขึ้นว่าการโค่นล้มการปกครองเผด็จการ

ของดิมาร์โก้นั้นมาจากการชี้นำจากองค์เทพีอย่างแท้จริง

หลังจากนิ่งเงียบกันไปชั่วขณะ จู่ๆ ซางเจี้ยนเย่าที่สวมหน้ากากลิงก็หันมาที่วีลพร้อมกับเอ่ยถาม

“เธอมีพลัง ‘กลัวสุดขีด’ ของผู้ตื่นรู้ใช่ไหม”

เจี่ยงไป๋เหมียนถามต่ออย่างรวดเร็ว

“ที่เฮลเว็กตายนั่นเป็นฝีมือเธอสินะ”

เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้ตอนที่นิกายตื่นตัวจัดพิธีซ่อนกาย วีลก็หายตัวไปสองสามวันเช่นกัน และเฮลเว็กก็ตกใจจนตายในช่วงเวลานั้น!

เดิมทีทั้งสองเรื่องนี้ยากที่จะนำมาพิจารณาร่วมกัน เพราะถึงยังไงวีลก็ยังเป็นเด็ก กับเฮลเว็กแล้วก็ไร้ซึ่งความโกรธแค้นต่อกัน ทำให้คนอื่นๆ คิดว่าเขาก็แค่มีความลับ ไม่ได้แสดงถึงความเกี่ยวข้องกับผู้ตื่นรู้

ทว่าในตอนนี้เอง คำพูดของวีลเมื่อครู่ได้เปิดเผยออกมาอย่างชัดเจนว่าเขามีพลัง ‘กลัวสุดขีด’

เฮลเว็กเสียชีวิตจากผลของพลังนี้!

วีลตอบอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก

“ใครใช้ให้เขาชอบมาล้อว่าฉันเตี้ยล่ะ

“เขาน่ะสมควรตายมาตั้งนานแล้ว คนที่นี่ส่วนใหญ่ก็อยากให้เขาตายกันทั้งนั้นแหละ รวมทั้งเมียเขาด้วย”

เป็นเพราะถูกล้อว่าเตี้ยก็เลยฆ่าคนงั้นเหรอ… อะไรจะอ่อนไหวขนาดนั้น… เจี่ยงไป๋เหมียนพึมพำด้วยความกระจ่างออกมาสองประโยค

ซางเจี้ยนเย่าหัวเราะออกมา สายตาจ้องมองวีล สืบเท้าขึ้นหน้ามาสองก้าว

วีลสะดุ้งพลางก้าวถอยหลัง

“คุณจะทำอะไร”

“ก็ลองเดาดูสิ” ซางเจี้ยนเย่ากดหน้ากากลิงเจ้าเล่ห์ลงมาปิดใบหน้า

วีลสามารถจินตนาการได้เลยว่าภายใต้หน้ากากนั้นเขากำลังอ้าปากเผยรอยยิ้มกว้าง จึงรีบพูดอย่างละล่ำละลัก

“คุณ… คุณจะแก้แค้นแทนเฮลเว็กงั้นเหรอ

“หมอนั่นมันเป็นปีศาจนะ การฆ่าเขาไป คนส่วนใหญ่ในชุมชนศิลาแดงมีแต่จะปรบมือให้ฉันเท่านั้นแหละ!”

ซางเจี้ยนเย่าไม่ได้ตอบคำ เขาสวมหน้ากากลิงเดินหน้าไปอีกสองก้าว

สีหน้าวีลเปลี่ยนไปแปรมาอยู่หลายครั้งแล้วพูดอย่างเฉียบขาด

“ถ้าขืนยังเข้ามาอีก ผมจะใช้ ‘กลัวสุดขีด’ แล้วนะ!”

ซางเจี้ยนเย่าหัวเราะ พลางชี้ไปยังเกอนาวาที่อยู่ด้านข้าง

“นายเห็นไหมนั่น เขาไม่กลัวหรอก

“ฉันเองก็ยังเตรียม FECA เอาไว้ด้วย ไม่ตกใจตายง่ายๆ หรอกน่า”

สายตาวีลกวาดไปมองหุ่นสมองกลสีดำเงินเกอนาวาแล้วโพล่งออกมา

“ผม… ผมเป็นผู้นำสารที่แท้จริงนะ!”

เขาก้มตัวลงเล็กน้อยอยู่ในท่าที่พร้อมเข้าจู่โจมได้ทุกขณะ

แล้วตอนนี้ซางเจี้ยนเย่าก็หัวเราะฮ่าฮ่าฮาฮาออกมา

“มีอะไรหรือไง

“ไม่เห็นต้องตื่นเต้นเลย ฉันไม่ได้เป็นนายอำเภอของชุมชนศิลาแดงเสียหน่อย ไม่มีอำนาจจะไปตัดสินนายอยู่แล้ว”

พูดไปแล้วเขาก็ปลดเป้ยุทธวิธีที่สะพายหลังไว้แล้วหยิบลำโพงตัวเล็กสุดที่รักออกมา

“ฉันก็แค่จะขับรถไปรอบๆ ชุมชนศิลาแดง แล้วก็ให้มันพูดซ้ำๆ ว่า ‘วีลฆ่าเฮลเว็ก’ ‘วีลฆ่าเฮลเว็ก’”

วีลนิ่งอึ้งไปพักใหญ่ ครึ่งค่อนวันกว่าจะพูดออกมาได้

“แล้วแต่คุณเลย!”

ระหว่างที่พูดเขาก็กลับหลังหันวิ่งไปสองสามก้าวแล้วกระโดดปีนขึ้นไปบนเพดานก่อนจะหายไปในช่องระบายอากาศ

ซางเจี้ยนเย่ามองดูเขาจากไปเสร็จก็หมุนตัวเดินกลับมาที่พวกเจี่ยงไป๋เหมียน

“นายพูดเยอะแยะแบบนั้นก็เพื่อจะล้อเลียนเขาหรือไง” เจี่ยงไป๋เหมียนแตะเครื่องช่วยฟังโลหะของตนเอง “ไม่เห็นต้องทำแบบนั้นสักซะหน่อย เจ้าหนูนั่นเป็นพวกแค้นฝังหุ่นเลยนะ”

ซางเจี้ยนเย่าตอบด้วยความภาคภูมิใจเปี่ยมล้น

“จะแกล้งก็ต้องแกล้งเจ้าเด็กอันตรายแบบนี้แหละถึงจะน่าสนุก”

เจี่ยงไป๋เหมียนอยากจะกลอกตาใส่แต่ก็เห็นว่าพวกคนรับใช้กลุ่มใหญ่กำลังกรูเข้ามา

สีหน้าพวกเขาเต็มไปด้วยความวิตกกังวล ทว่าสายตาดูค่อนข้างเฉยชา

หลังจากที่ค่อยๆ กวาดสายตามองดูศพของดิมาร์โก้ที่สวมหน้ากากพื้นดำลายขาวแล้ว ดวงตาพวกเขาก็ถึงได้เป็นประกายขึ้นมา

* * * * *

หลายวันถัดมา

พื้นที่เพาะปลูกใกล้ทะเลสาบ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของชุมชนศิลาแดง

“นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป พื้นที่ผืนนี้เป็นของพวกเธอ” อวี๋เทียนที่กลายเป็นสมาชิกกรรมการบริหาร ‘นาวาบาดาล’ ชี้ไปยังพื้นที่ด้านหน้า พูดกับเก๋อเก่อหลินเก๋อเก่อเหมียวสองสาวพี่น้อง “เราจะจัดหาคนมาขุดลอกคูน้ำทางด้านนี้ ช่วยพวกเธอจัดการงานต่างๆ เพื่อพลิกฟื้นพื้นที่ แต่ว่าหลังจากนั้นโดยหลักๆ พวกเธอก็ต้องพึ่งพาตัวเอง

“วางใจเถอะ พวกเมล็ดพันธุ์ต่างๆ ในปีแรกจะแจกให้ฟรี พวกเธอสามารถขอหยิบยืมเครื่องไม้เครื่องมือ หรือพวกเครื่องจักรต่างๆ จากชุมชนศิลาแดงกับโบสถ์ได้ ค่าธรรมเนียมที่เกี่ยวข้องจะเอาไปใช้สำหรับอุดหนุนธุรกิจค้าของเถื่อนในแต่ละปี ดังนั้นนอกจากปีแรกแล้ว หลังจากนี้พวกเธอต้องจ่ายผลผลิตบางส่วนที่เก็บเกี่ยวได้ของทุกๆ ปี ซึ่งนี่จะเอาไว้ให้กับคนที่รับผิดชอบเรื่องธุรกิจค้าของเถื่อนและยามของนาวาได้มีกินมีใช้…”

“ดะ… ได้ค่ะ!” เก๋อเก่อหลินและเก๋อเก่อเหมียวต่างก็มองสบตากัน ตอบกลับอย่างไม่อาจปิดบังความประหลาดใจเอาไว้ได้

สำหรับพวกเธอที่มาจากนิคมเล็กๆ ย่อมทราบมูลค่าของที่ดินที่สามารถใช้เพาะปลูกได้

หลังจากรับโฉนดมาแล้ว สองพี่น้องก็กลับไปที่โบสถ์ตื่นตัว ไปที่หน้าสัญลักษณ์ศักดิ์สิทธิ์แห่ง ‘ธชียมโลก’ ตั้งจิตตั้งใจสวดอธิษฐานอย่างจริงใจ

พวกเธอไม่ได้เลือกพักอาศัยอยู่ในนาวาเนื่องจากยังไม่คุ้นชินกับการอาศัยอยู่ใต้ดิน จึงยังรู้สึกค่อนข้างหวาดกลัวอยู่บ้าง

พวกเธอวางแผนว่าจะพักอยู่ใต้ดินชั้นหนึ่งด้านล่างโบสถ์นิกายตื่นตัวเป็นการชั่วคราว ไว้รอให้ถึงฤดูใบไม้ผลิก็ค่อยไปหาบ้านร้างที่ยังมีสภาพดีอยู่ซึ่งใกล้กับที่ดินตัวเองและเอื้อต่อการซ่อนตัว เก็บทำความสะอาด จ้างคนมาซ่อมแซมและลากสายไฟ

ด้วยการไกล่เกลี่ยของนิกายตื่นตัว คนในชุมชนศิลาแดงจึงจำต้องยอมรับการมีอยู่ของคณะกรรมการบริหาร ‘นาวาบาดาล’ อย่างไม่เต็มใจ อนุญาตให้พวกเขาใช้อาคารที่ไม่มีคนอยู่ หักร้างถางพงพื้นที่เพาะปลูกที่ตอนนี้ถูกทิ้งร้าง แน่นอนว่า ‘นาวาบาดาล’ เองก็ต้องจ่ายไปในระดับหนึ่งโดยการยินยอมปล่อยมือจากธุรกิจค้าของเถื่อนไปพอสมควร

หลังกลับมาถึงที่พักซึ่งถูกจัดสรรไว้ให้ชั่วคราวแล้ว เก๋อเก่อหลินที่วุ่นมาตลอดทั้งวันก็หยิบผ้าขนหนูเก่าๆ ขาดๆ ขึ้นมา แล้วพูดกับเก๋อเก่อเหมียว

“ไปล้างหน้าก่อนเถอะ”

“ขออีกเดี๋ยวนะ ขอนอนพักก่อน วันนี้หนูเหนื่อยมากเลย” เก๋อเก่อเหมียวนอนแผ่หราบนเตียงพูดจาออดอ้อน

ไม่รู้ว่านานแค่ไหนแล้วที่เก๋อเก่อหลินไม่ได้เห็นเก๋อเก่อเหมียวเป็นเช่นนี้ เธอย้อนนึกถึงอดีตที่ผ่านมาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“งั้นไว้รอพี่กลับมาแล้วเธอค่อยไปก็ได้”

เธอเดินตัวปลิวไปยังห้องน้ำที่ใกล้ที่สุด ใช้น้ำเย็นล้างหน้าล้างมือ

หลังจากทำเรื่องพวกนี้จนเสร็จและเดินกลับไป เก๋อเก่อหลินก็ได้ยินเสียงเอะอะดังมาจากด้านหน้า

เธอรู้สึกงุนงงในตอนแรก หัวใจเต้นแรงขึ้นมาทันที รีบปรี่เข้าไปยังห้องตนเองและน้องสาว

ไม่นานเธอก็เห็นว่าที่ด้านนอกของประตูห้องที่คุ้นเคย มีคนมาออกันอยู่หลายคน ภายในห้องก็คือน้องสาวตนที่กำลังค้อมตัว

ดวงตาเก๋อเก่อเหมียนขุ่นมัว เส้นเลือดฝอยแดงก่ำ น้ำลายใสไหลยืดอยู่มุมปาก

ใบหน้าเธอบิดเบี้ยว ไม่หลงเหลือความอ่อนหวานงดงามเฉกเช่นเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้อีกแล้ว

เก๋อเก่อหลินพลันรู้สึกว่าโลกทั้งใบแยกจากความเป็นจริง กลายเป็นเพียงภาพมายา

“โรคไร้ใจ…”

เหมียวเหมียวเป็น ‘โรคไร้ใจ’…

เก๋อเก่อหลินจ้องมองหน้าประตูอย่างเลื่อนลอย ไม่กล้าเข้าไปใกล้ ไม่อาจทำใจเชื่อได้

ปัง!

เสียงปืนดังขึ้น เก๋อเก่อเหมียวทรุดฮวบลงไป ข้างกายค่อยๆ มีแอ่งเลือดไหลนอง

ดวงตาเธอเบิกกว้าง เส้นเลือดฝอยยังคงแดงก่ำ

เก๋อเก่อหลินเดินโซเซเข้าไป ย่อตัวนั่งยองลง วางมือลงบนดวงตาของน้องสาว

ครรลองสายตาของเธอพร่ามัวไปนานแล้ว ลำคอตีบตันไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดออกมา

มีคนเดินเข้ามาใกล้เธอ ก้มลงไปปลอบโยน

“มันเป็น ‘โรคไร้ใจ’ ไม่ว่าใครก็คิดไม่ถึงหรอก…

“อย่าโศกเศร้าไปเลย เธอได้รับที่ดินมา อีกหน่อยก็จะมีครอบครัวของตัวเอง มีลูกของตัวเอง แล้วทุกอย่างจะดีเอง…”

* * * * *

ภายในรถจี๊ปที่กำลังพุ่งทะยาน เจี่ยงไป๋เหมียนเหลือบมองไป๋เฉินที่นั่งข้างคนขับ ถอนหายใจด้วยอารมณ์อีกครั้ง

“ความรู้ความเข้าใจของพวกเราเกี่ยวกับผู้ตื่นรู้ก่อนหน้านี้ตื้นเขินเกินไป คิดไม่ถึงเลยว่าดิมาร์โก้จะมีพลังที่เหมือนเป็นเทพนิยายขนาดนี้…”

‘เชื่อมชะตา’ ‘เชื่อมกระจกเทพ’ และ ‘เพิกถอนสัมผัสทั้งหก’ เป็นอะไรที่เกินกว่าปกติโดยสิ้นเชิง

หากไม่ใช่เพราะว่า ‘กลยุทธ์เด็ดหัว’ ของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ ดำเนินการได้อย่างราบรื่นตั้งแต่เริ่มต้นจนสามารถทำลายร่างก่อนหน้าของดิมาร์โก้ล่ะก็ เรื่องราวต่อมาอาจจะพัฒนาไปถึงขั้นเลวร้ายอันตรายอย่างยิ่งยวด คงได้แต่ต้องพึ่งพาเกอนาวากับมุกราตรี และรอให้ผู้นำสารที่แท้จริงของ ‘ธชียมโลก’ เข้าร่วมการต่อสู้

และถึงแม้ก้าวแรกของพวกเขาจะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ ทว่าการเผชิญหน้าระหว่าง ‘ทีมสำรวจเก่า’ กับดิมาร์โก้ก็ยังคงมีอันตรายอยู่ดี ดีที่พวกเขาได้รับข้อมูลล่วงหน้า จึงทำให้คิดหาจุดอ่อนของดิมาร์โก้ได้ในพริบตา และซางเจี้ยนเย่าก็พิเศษพอที่จะใช้จุดนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

“ดังนั้นก็คงต้องบอกว่าปฏิบัติการครั้งนี้มุทะลุเกินไป…” หลงเยว่หงที่อยู่แถวหลังอดพูดขึ้นไม่ได้

“จะพูดแบบนั้นก็ไม่ถูกเสียซะทีเดียว” เจี่ยงไป๋เหมียนพูดอย่างไตร่ตรอง “การเตรียมตัวในครั้งนี้นับว่าเพียงพอ แถมยังได้รับอำนวยพรจาก ‘ธชียมโลก’ ด้วย ครั้งนี้ถ้าหากไม่ได้ลอง งั้นต่อไปในภายภาคหน้าหากว่าต้องเจอผู้ตื่นรู้ที่มีพลังพิเศษคล้ายกัน เกรงว่าพวกเราคงจะตายไม่รู้ตัว แต่ในตอนนี้อย่างน้อยก็ได้เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น”

พูดๆ ไปเธอก็หัวเราะออกมา

“แถมยังเก็บของมาได้เพียบ อย่างเช่นแบตเตอรี่ประสิทธิภาพสูงยี่สิบสองก้อน ชุดเกราะเสริมแรงทางทหาร ‘M-45’ หนึ่งชุด แล้วก็มุกราตรีที่มีออร่าของดิมาร์โก้ควบแน่น”

ที่จริงแล้วจำนวนแบตเตอรีประสิทธิภาพสูงใน ‘นาวาบาดาล’ ยังมีมากกว่านี้อีก แต่เมื่อพิจารณาถึงความต้องการด้านการป้องกันของคณะกรรมการบริหารแล้ว เจี่ยงไป๋เหมียนจึงไม่ได้กวาดมาจนเกลี้ยงโกดัง

แบตเตอรี่พวกนี้ฝากเอาไว้กับเกอนาวาที่ชุมชนศิลาแดงเป็นการชั่วคราว

ในฐานะเจ้าเมืองทาร์นัน เขาจึงกลายมาเป็นประธานชั่วคราวของคณะกรรมการบริหาร ‘นาวาบาดาล’ ไว้รอให้อะไรๆ เข้าที่เข้าทางเสียก่อนถึงจะไป ‘ร้านปืนอาฝู’ ที่เมืองหญ้าไพรเพื่อสมทบกับพวกซางเจี้ยนเย่า

เมื่อพิจารณาถึงข้อที่ว่ายังคงถูก ‘สวรรค์จักรกล’ หมายหัวอยู่ เกอนาวาจึงอาศัยอยู่แต่ในนาวา โดยปกติจะไม่ปรากฏตัวในชุมชนศิลาแดง นอกเสียจากว่าจะมีเหตุต้องติดต่อกับโบสถ์ตื่นตัว

หากลมพัดหญ้าไหวเกิดอะไรขึ้นมา เขาจะใช้เส้นทางเข้าออกนาวาทางภูเหล็กเพื่อหลบหนีทันที

ส่วนชุดเกราะเสริมแรงทางทหาร ‘M-45’ ชุดนี้นั้น เป็นทางผู้อยู่อาศัยในนาวายืนกรานจะมอบให้ ‘ทีมสำรวจเก่า’ เป็นของขวัญขอบคุณ เมื่อคำนึงถึงสถานการณ์แท้จริงของ ‘ทีมสำรวจเก่า’ เจี่ยงไป๋เหมียนจึงไม่อาจปฏิเสธ

เมื่อเป็นเช่นนี้ ความสามารถด้านการต่อสู้ของไป๋เฉินจะแข็งแกร่งขึ้นอีกเป็นเท่าทวีคูณ

สำหรับมุกราตรีที่สีเปลี่ยนเม็ดนั้น หลังจากซางเจี้ยนเย่าได้ค้นคว้าดูแล้ว ยืนยันได้ว่าเป็น ‘เชื่อมชะตา’ ของดิมาร์โก้ที่ควบแน่น และแน่นอนว่าพลังของมันย่อมต้องอ่อนด้อยกว่าต้นฉบับดั้งเดิมพอสมควร

เมื่อพูดคุยเรื่องสิ่งที่เก็บเกี่ยวมาได้จบ เจี่ยงไป๋เหมียนที่กำลังขับรถก็เหลือบมองไป๋เฉิน พูดด้วยรอยยิ้ม

“ครั้งนี้มีเธอคนเดียวที่บาดเจ็บ

“ที่จริงแล้วฉันก็รู้สึกแปลกใจนิดหน่อยนะ เสี่ยวไป๋ที่โดยปกติเป็นคนรู้รักษาตัวรอดอย่างที่สุด แต่ครั้งนี้ไม่เพียงจะไม่คัดค้าน ‘กลยุทธ์เด็ดหัว’ ทั้งยังลงมือเชิงรุกเองด้วย”

ไป๋เฉินที่นั่งข้างคนขับมองผ่านกระจกหน้ารถ นิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะตอบ

“ฉันเชื่อมาโดยตลอดว่าการจะอยู่รอดบนแดนธุลีนั้นหากจะให้ทุกคนอยู่รอดปลอดภัยได้ นั่นเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ จึงไม่ควรสอดมือไปยุ่งเรื่องคนอื่น

“ตอนนั้น… ตอนนั้นที่ฉันถูกยูจีนจับตัวไป… กลายเป็นทาส ฉันบอกกับตัวเองไว้แบบนั้น”

เธอหยุดไปสองวินาที ดวงตาค่อยๆ กลายเป็นว่างเปล่าเลื่อนลอย

“แต่… แต่ฉันก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า ถ้าหากตอนนั้นมีใครสักคน มีทีมสักทีม ที่จู่ๆ ก็โผล่มาช่วยฉันออกไป ก็คงจะดี…”

“แน่นอนอยู่แล้ว มันต้องเป็นเรื่องที่ดีมากอยู่แล้วล่ะ” เจี่ยงไป๋เหมียนเข้าใจอย่างถ่องแท้ ไม่ได้พูดอะไรต่ออีก

ซางเจี้ยนเย่าพูดด้วยรอยยิ้ม

“ถ้างั้นตอนนี้อยากจะเข้าร่วมปฏิบัติการช่วยมนุษยชาติอย่างเป็นทางการหรือยังล่ะ”

ไป๋เฉินไม่ได้สนใจเขา

ระหว่างที่พูดคุยสนทนากัน ซางเจี้ยนเย่าก็นวดขมับทั้งสองข้าง เอนหลังหลับตาลง

ใน ‘ทะเลต้นกำเนิด’ บนเกาะที่มีภูเขา มีสายน้ำ มีแสงแดดส่อง

ใกล้ชายหาดมีหลุมขนาดยักษ์จนน่าตระหนกปรากฏขึ้นมา

ซางเจี้ยนเย่าจ้องมองหลุมที่ไม่ได้ฟื้นคืนสภาพหลังจากที่ตนเองจากไป ใบหน้าเผยรอยยิ้ม

ในระหว่างที่ซางเจี้ยนเย่า ‘ปฏิบัติการนอน’ หลงเยว่หงก็มองดูนอกหน้าต่างรถไปพลาง ฟังหัวหน้าทีมกับไป๋เฉินสนทนากันไปพลาง บางครั้งบางคราวก็พูดแทรกสักสองสามประโยค

เวลานี้ฟ้าใสกระจ่าง มีเมฆเป็นหย่อมๆ รถจี๊ปแล่นตะบึงผ่านที่รกร้างและเนินเขา มุ่งหน้ากลับไปยัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ ที่ยังอยู่ห่างอีกไกล

ตลอดทางมีสีเขียวขึ้นอยู่ทั่วทุกหนระแหง มีสัตว์ป่าปรากฏให้เห็นต่อสายตา

ฤดูหนาวสิ้นสุดลงไป ฤดูใบไม้ผลิมาเยือนแล้ว

( – จบองก์ที่สาม – )

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

รัตติกาลไม่สิ้นแสง (Embers Ad Infinitum)

Status: Ongoing
ท่ามกลางโลกที่ล่มสลายและภยันตรายที่รายล้อม พวกเขาทั้งสี่ยังคงยืนหยัดเพื่อช่วยเหลือมนุษยชาติให้หลุดพ้นจากความมืดมิดแฟนตาซี-ไซไฟเรื่องใหม่ในบรรยากาศแบบดิสโทเปียจากผู้เขียน ‘ราชันเร้นลับ’ และ ‘ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา’ซึ่งจะพาทุกคนไปผจญภัยในโลกหลังวันสิ้นโลกเมื่อโลกถูกทำลายลง มนุษย์ต้องเผชิญกับภยันตรายรอบด้านทั้งความอดอยาก โรคระบาด การกลายพันธุ์ สัตว์ประหลาดมนุษย์จึงสร้างกองกำลังของแต่ละฝ่ายขึ้น…‘ทีมสำรวจสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่า’ หรือ ‘ทีมสำรวจเก่า’สังกัดอยู่ในแผนกความมั่นคงของกองกำลัง ‘ผานกู่ชีวภาพ’ประกอบไปด้วยสมาชิก 4 คนจากต่างที่มาแต่จุดมุ่งหมายของพวกเขามีเพียงหนึ่งเดียวคือการช่วยเหลือเหล่ามนุษยชาติให้อยู่รอดต่อไปด้วยเหตุนี้ภารกิจตามหาสาเหตุการล่มสลายของโลกเก่าเพื่อป้องกันไม่ให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยจึงเริ่มต้นขึ้นท่ามกลางภยันตรายรอบด้านที่รายล้อมเข้ามาเพื่อช่วยมนุษยชาติ ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็จะไม่ล้มเลิกเป็นอันขาด!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท