ตอนที่ 211 โฉมงามกลางไพร
เซ่าผิงปออันตรายแค่ไหน เขาเองก็ไม่ทราบ ต้องค่อยๆ ทำความเข้าใจไป
ถึงแม้จะให้อำนาจตัดสินใจอย่างอิสระ แต่คนระดับเซ่าผิงปอ ไหนเลยจะจัดการได้ง่ายๆ เขาไม่มีโอกาสเข้าใกล้อีกฝ่ายเลย ต่อให้เข้าไปใกล้ก็ไม่มีโอกาสลงมือได้เช่นกัน ข้างกายอีกฝ่ายจะต้องมียอดฝีมือคอยคุ้มกันอยู่อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นทางลับหรือทางแจ้งก็ล้วนแต่ยากจะมีโอกาสได้
เรื่องนี้ทำให้เขาลำบากใจเป็นอย่างมาก จึงทำได้เพียงค่อยๆ ทำความเข้าใจและคิดวางแผนไปช้าๆ
หลังกลับมาถึงเรือนเล็กที่เช่าเอาไว้ในมหานคร เขากางแผนที่มหานครเป่ยโจวออก จ้องมองพลางครุ่นคิดอยู่นานนัก
จากนั้นก็นำกระดาษเปล่าแผ่นหนึ่งออกมา เริ่มวาดผังความสัมพันธ์ของบุคคลที่อยู่รอบตัวเซ่าผิงปอลงบนกระดาษ นำเอาสถานการณ์ที่อู๋ซานเหลี่ยงสืบทราบมาได้เขียนเป็นสัญลักษณ์ลงไปในผังเพื่อกันไม่ให้หลงลืม ผังความสัมพันธ์ยังไม่สมบูรณ์ อู๋ซานเหลี่ยงเพิ่งมาอยู่ได้ไม่นาน เรื่องที่สืบทราบมีจำกัด ส่วนที่เหลือเขาต้องไปสืบต่อเอง
ตุบ!
มีบางสิ่งร่วงตกลงมาในลานเรือนนอกห้อง
ลู่เซิ่งจงม้วนเก็บข้าวของที่อยู่บนโต๊ะอย่างรวดเร็ว แอบซ่อนเอาไว้ จากนั้นถึงจะเปิดประตูออกไปดู
ในลานเรือนไร้ผู้คน มีเพียงกระดาษก้อนหนึ่ง เขาเดินไปหยิบมาดู เป็นหินก้อนหนึ่งที่ถูกห่อไว้ในกระดาษ
เขาเปิดประตูใหญ่ออกไปอย่างรวดเร็ว หันซ้ายหันขวามองสำรวจท้องถนน มองเห็นเพียงผู้คนที่สัญจรไปมาประปราย ไม่ทราบเช่นกันว่าเป็นผู้ใดที่โยนเข้ามา
เขาปิดประตู กลับเข้าไปในห้อง คลี่กระดาษก้อนนั้นออกอ่าน ที่มุมหนึ่งของก้อนกระดาษมีภาพตราประทับที่วาดขึ้นเป็นพิเศษ ทันทีที่เห็นก็รู้ว่าเป็นข่าวที่หนิวโหย่วเต้าให้คนส่งมาให้ นี่เป็นเครื่องหมายที่หนิวโหย่วเต้าและตัวเขาใช้สำหรับติดต่อหากัน
เขาและหนิวโหย่วเต้าไม่ติดต่อหากันโดยตรง เพราะหากมีปีกทองบินไปมาในเมือง นั่นจะกลายเป็นพิรุธอย่างหนึ่ง ทำให้คนสงสัยได้ง่ายๆ แล้วก็เพื่อความปลอดภัยของตัวเขาด้วย
หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่ได้บอกเขาเช่นกันว่าคนกลางในการติดต่อเป็นใคร เพียงแค่จัดวางตัวคนที่ทำการค้าอยู่บนถนนคนหนึ่งเอาไว้ให้เขา หากมีเรื่องอะไรก็สามารถส่งข่าวให้อีกฝ่ายได้ จะมีคนเอาข่าวนั้นมาส่งต่อให้หนิวโหย่วเต้าเอง
บนกระดาษล้วนเป็นรหัสลับ ลู่เซิ่งจงเขียนแปลออกมาก่อน จากนั้นค่อยอ่านอย่างละเอียด
เนื้อความในจดหมายลับบอกให้เขาคิดหาทางเข้าหาเซ่าอู๋ปอและเซ่าฝูปอที่เป็นน้องชายเซ่าผิงปอสองคนนั้น พยายามหาวิธีทำให้ทั้งสองทราบเรื่องบางอย่าง
หลังจากอ่านภารกิจที่มอบหมายแล้ว ลู่เซิ่งจงก็ตกอยู่ในภวังค์ความคิด เผาจดหมายลับและข้อความที่แปลออกมาทิ้งไป
หลังจากนั้น เขาพลิกเอาผังความสัมพันธ์บุคคลที่ตนวาดขึ้นมาเมื่อครู่ออกมาอีกครั้ง ลูบคางใคร่ครวญต่อ แววตาวูบไหวไปมาไม่นิ่ง
……
ณ จวนท่องคลื่น ภายในห้องหนังสือ เซ่าผิงปอตรวจเอกสารราชการฉบับแล้วฉบับเล่า เขียนแนะนำไปทีละฉบับแล้ววางไว้ด้านข้าง
เขาทำงานจนกระทั่งใกล้จะถึงมื้อเที่ยง พ่อบ้านเซ่าซานเสิ่งถึงได้เข้ามาเอ่ยเตือน “คุณชายใหญ่พักสักครู่เถิดขอรับ”
เซ่าซานเสิ่งหยิบรายงานฉบับหนึ่งออกมา ประคองส่งให้ด้วยสองมือ “ข่าวจากทางจังหวัดชิงซานขอรับ ซางเฉาจงได้กุมอำนาจทหารและการปกครองของจังหวัดชิงซานและจังหวัดกว่างอี้เเล้วขอรับ!”
ดวงตาเซ่าผิงปอพลันวาวโรจน์ เงยหน้าขึ้นมาทันที ยื่นมือรับรายงานไปเปิดอ่านอย่างละเอียด
หลังอ่านจบ ผ่านไปสักพักถึงจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงกลัดกลุ้ม “ข้ารู้อยู่แล้วว่าเฟิ่งหลิงปอไม่ใช่คู่ต่อสู้ของทางซางเฉาจง ไม่ช้าก็เร็วจะต้องถูกซางเฉาจงฮุบกลืนแน่ เพียงแต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเร็วขนาดนี้ ควบรวมได้เร็วมาก!”
สายตามองไปที่เนื้อหาในรายงานอีกครั้ง เอ่ยพึมพำว่า “นโยบายการปกครองใหม่…ชาวนาทำนาไม่ต้องเสียภาษี ขอเพียงลงหลักปักฐานในพื้นที่ของสองจังหวัดก็จะได้รับการจัดสรรที่นา ภาษีค้าขายสำหรับพ่อค้าลดลงครึ่งหนึ่ง เขาไปหาทุนทรัพย์มาจากไหนมากมายปานนั้น?”
ซานเซ่าเสิ่งเอ่ยว่า “น่าจะได้รับการสนับสนุนจากสำนักหยกสวรรค์ขอรับ หาไม่แล้วลำพังเลี้ยงดูสำนักหยกสวรรค์เพียงอย่างเดียว ทั้งสองจังหวัดคงไม่มีทางทำได้ง่ายๆ แล้วไหนจะมีค่าใช้จ่ายด้านการปกครองและกองทัพของทั้งสองจังหวัดอีก หากไม่ได้รับการสนับสนุนจากสำนักหยกสวรรค์ล่ะก็ ซางเฉาจงคงไม่มีทางทำเช่นนี้ได้ขอรับ”
เซ่าผิงปอเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ ถอนใจเบาๆ พลางกล่าวว่า “ชาวนาทำนาไม่ต้องเสียภาษี นี่จะต้องดึงดูดผู้อพยพจากทั่วสารทิศให้มุ่งหน้าไปบุกเบิกที่ดินเพาะปลูกได้แน่ เมื่อมีคนไปรวมตัวกันมากเข้า การค้าย่อมต้องเฟื่องฟู ประกอบกับภาษีการค้าลดลงครึ่งหนึ่ง ด้วยสิ่งล่อใจสองข้อนี้ ย่อมดึงดูดพ่อค้าจำนวนมากให้มุ่งหน้าไปทำการค้าที่นั่นด้วยเช่นกัน ดูคล้ายภาษีการค้าลดลงครึ่งหนึ่ง แต่ในด้านปริมาณแล้วกลับไม่ขาดทุนเลย เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อนโยบายการปกครองรูปแบบใหม่ที่ได้รับความเชื่อมั่นแพร่กระจายออกไป ไม่ว่าจะเป็นผู้คน ทรัพย์สินและทรัพยากรต่างๆ ก็จะมากระจุกอยู่ในสองจังหวัดนี้ ทรัพย์สินจำนวนมหาศาลที่พ่อค้านำมา ผู้คนจำนวนมากที่มารวมตัวกัน เสบียงอาหารที่ชาวบ้านเพาะปลูกขึ้นมา ต้องการเงินก็มีเงิน ต้องการคนก็มีคน ต้องการเสบียงก็มีเสบียง นี่ต่างหากถึงจะเรียกว่าวิสัยทัศน์กว้างไกล หากมองจากจุดนี้แล้ว สำนักเขามหายานเทียบสำนักหยกสวรรค์ไม่ติดเลย!”
เซ่าซานเสิ่งกล่าวว่า “สำนักเขามหายานมีค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูคนมากมายขนาดนั้น การจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับสำนักหยกสวรรค์นั้นมิใช่เรื่องง่าย พื้นที่ขนาดเล็กเองก็มีข้อดีของพื้นที่ขนาดเล็ก สำนักหยกสวรรค์เสียไปสักส่วนสองส่วนก็ไม่มีผลกระทบอะไรมากนัก ลองเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่อย่างมณฑลเป่ยโจวสิ เกรงว่าสำนักหยกสวรรค์คงหักใจไม่ลงเช่นกันขอรับ”
เซ่าผิงปอโบกมือเล็กน้อย สีหน้าเหนื่อยใจ ไม่อยากเอ่ยถึงเรื่องนี้อีก รายงานเองก็ถูกโยนกลับไปบนโต๊ะ ไม่อยากอ่านอีก อ่านไปก็รังแต่จะรู้สึกอิจฉาและหงุดหงิดใจ หากสำนักเขามหายานสามารถให้การสนับสนุนตระกูลเซ่าอย่างเต็มกำลังได้เช่นนี้ล่ะก็ เขาก็ไม่จำเป็นต้องสิ้นเปลืองความคิดจิตใจมากขนาดนี้ คงจะลดภาระไปได้มากนัก
เซ่าซานเสิ่งเอ่ยว่า “ได้รับการยืนยันมาแล้วขอรับ หนิวโหย่วเต้ากลับไปที่จังหวัดชิงซานแล้วจริงๆ ขณะนี้พักอยู่ในหุบเขานอกตัวเมืองขอรับ”
“พักอยู่ในหุบเขานอกตัวเมือง?” เซ่าผิงปอหรี่ตาลง เอ่ยถามว่า “หาโอกาสกำจัดเขาได้หรือไม่?”
เซ่าซานเสิ่งส่ายหน้าพลางตอบว่า “ยากยิ่งขอรับ เคยลองส่งคนเข้าไปใกล้ๆ แล้ว ไม่สามารถเข้าใกล้ได้เลย เสียคนไปสองคนแล้ว จากข่าวที่ส่งกลับมา สำนักเซียนสถิต สำนักเมฆาล่องและสำนักคีรีพิลาส ทั้งสามสำนักได้ย้ายเข้าไปอยู่ที่นั่นกันหมด ข้างกายหนิวโหย่วเต้ามีผู้บำเพ็ญเพียรกลุ่มใหญ่คอยร่วมมือกันดูแลอารักขา ยอดฝีมือเยอะแยะมากมายเต็มไปหมด เทียบกับผู้คุ้มกันที่อยู่ข้างกายซางเฉาจงแล้วมีจำนวนมากกว่าไม่รู้กี่เท่า คนนอกไม่มีโอกาสลงมือได้เลย ต่อให้ระดมกำลังผู้บำเพ็ญเพียรจำนวนมากบุกโจมตี เกรงว่ายังไม่ทันได้พบตัวเขา เขาก็คงไหวตัวหลบหนีไปก่อนแล้วขอรับ”
“ดึงคนมากมายขนาดนี้มาคุ้มกัน มิได้ต่างอะไรกับวัวสันหลังหวะ!” เซ่าผิงปอเยาะหยัน จากนั้นเอ่ยเนิบๆ ว่า “สามสำนักที่เคยพึ่งพิงตระกูลซ่งกลับไปเข้าร่วมกับเขาแทน เห็นทีคดีสังหารหมู่ตระกูลซ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับเขา”
เซ่าซานเสิ่งเอ่ยว่า “คุณชายใหญ่ เขากลับจังหวัดชิงซานไปแล้ว เรื่องผลตะวันชาดลงมือได้เลยหรือเปล่าขอรับ?”
เซ่าผิงปอถามกลับ “ทางมณฑลจินโจวมีความผิดปกติอันใดหรือไม่?”
เซ่าซานเสิ่งตอบว่า “ขณะนี้ยังไม่มีเรื่องผิดปกติอันใดขอรับ”
เซ่าผิงปอถามอีกครั้ง “ตั้งแต่เกิดเรื่องที่หอหิมะเหมันต์จนถึงตอนนี้ ผ่านมานานแค่ไหนแล้ว?”
เซ่าซานเสิ่งตอบ “ใกล้จะสามเดือนแล้วขอรับ”
ดวงตาเซ่าผิงปอฉายแววเยียบเย็น “รอต่อไป! อย่าเพิ่งเคลื่อนไหว หากจะเคลื่อนไหวก็ต้องปลิดชีพให้ได้ในคราวเดียว ไม่อาจปล่อยให้เขาได้มีโอกาสพลิกสถานการณ์ได้อีก คนผู้นี้เจ้าเล่ห์ หากว่าเขากำลังเก็บตัวอยู่เงียบๆ ยังไม่ได้เอาผลตะวันชาดไปรักษาเซียวเทียนเจิ้น อย่างนั้นต่อให้พวกเราเปิดโปงเขาไปก็จับไม่มั่นคั้นไม่ตายอยู่ดี…” พอพูดมาถึงตรงนี้ก็ชะงักไปเล็กน้อย
เขาค่อยๆ หันไปมองเซ่าซานเสิ่ง เอ่ยถามว่า “หากมียอดหมอเดินทางไปตรวจรักษาให้เซียวเทียนเจิ้น เจ้าว่าไห่หรูเยวี่ยจะตอบตกลงหรือไม่?”
“ย่อมตอบตกลงขอรับ ต่อให้รักษาไม่หาย แต่ขอเพียงมีความหวัง แม้จะเพียงน้อยนิด ถึงยังไงนางก็ต้องลองดู หลายปีมานี้ไห่หรูเยวี่ยเองก็เป็นฝ่ายเสาะแสวงหายอดหมอมามากมาย…” เมื่อเอ่ยมาถึงตรงนี้ เซ่าซานเสิ่งก็ชะงักไปเช่นกัน จากนั้นพลันมีสีหน้ากระจ่างขึ้นมาในทันใด
เขาเข้าใจความคิดของเซ่าผิงปอแล้ว หากหนิวโหย่วเต้าไม่ได้นำผลตะวันชาดมารักษาให้เซียวเทียนเจิ้น อย่างนั้นไห่หรูเยวี่ยก็ย่อมต้องตอบตกลง แต่ถ้าหากรักษาเซียวเทียนเจิ้นจนหายดีแล้ว ต่อให้มียอดหมอมาเยือน ไห่หรูเยวี่ยก็ไม่มีความจำเป็นต้องเชิญมาตรวจรักษาอีก
นี่คือการหยั่งเชิง! เซ่าซานเสิ่งพยักหน้าพลางกล่าวว่า “เข้าใจแล้วขอรับ บ่าวจะรีบไปจัดหาผู้ที่เหมาะสมเดี๋ยวนี้ขอรับ”
….
ณ หอลมวสันต์ หอนางโลมที่ใหญ่ที่สุดในมหานครเป่ยโจว โฉมดรุณงามหยาดเยิ้มหัวเราะต่อกระซิกกันอยู่หน้าประตู คอบรับส่งแขกผู้มาเยือน
ตรงข้ามกับหอลมวสันต์มีเหลาสุราอยู่แห่งหนึ่ง ริมหน้าต่างชั้นสอง ลู่เซิ่งจงนั่งอยู่หน้าโต๊ะที่เต็มไปด้วยสุราอาหาร ค่อยๆ จิบสุราไป
“คุณชายอู่เดินระวังด้วยนะเจ้าคะ” เสียงประจบเยินยอของแม่เล้าแว่วดังขึ้น
ลู่เซิ่งจงที่อยู่ริมหน้าต่างหันหน้ามองไปทางฝั่งตรงข้ามด้านนอกหน้าต่าง ชายหนุ่มสวมอาภรณ์งดงามสามคนเดินโซเซออกมา ชายหนุ่มตรงกลางที่มีนามว่าอู่เทียนหนานได้รับการดูแลจากแม่เล้าเป็นพิเศษ
การที่ทำให้แม่เล้าออกมาส่งอย่างกระตือรือร้นได้ ย่อมต้องเป็นคนร่ำรวยอย่างไม่ต้องสงสัย ซ้ำอู่เทียนหนานยังมีสถานะที่สำคัญอีกอย่าง เขาคือบุตรชายของปลัดอำเภอผิงชวน คบหาสมาคมกับเซ่าอู๋ปอและเซ่าฝูปอสองพี่น้อง แต่ก็ไม่ถึงกับผูกพันรักใคร่อันใด บุตรชายของปลัดอำเภอตัวเล็กๆ ไหนเลยจะเข้าตาสองพี่น้องตระกูลเซ่าได้
ทว่าลู่เซิ่งจงกลับจับตามองคนผู้นี้มาหลายวันแล้ว
ช่วยไม่ได้ หนิวโหย่วเต้ากล่าวไว้ว่าเซ่าผิงปออันตรายเป็นอย่างมาก อีกทั้งจากข้อมูลที่สืบทราบมา ดูเหมือนเซ่าผิงปอจะไม่ค่อยลงรอยกับน้องชายทั้งสอง เขากังวลว่าสองพี่น้องจะถูกเซ่าผิงปอจับตามองอยู่เช่นกัน จึงไม่กล้าติดต่อตรงๆ ส่วนคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกับสองพี่น้อง เขาก็ไม่กล้าผลีผลามเข้าไปใกล้ชิด ทำได้เพียงเลือกลงมือกับคนที่ค่อนข้างห่างเหินออกมาหน่อย
เมื่อเห็นอู่เทียนหนานจากไปแล้ว ลู่เซิ่งจงจึงโยนเงินทิ้งไว้บนโต๊ะ ลุกเดินออกไป
……
สองวันต่อมา ลู่เซิ่งจงปรากฏตัวขึ้นในเมืองเมืองหนึ่งนอกมณฑลเป่ยโจว มาที่หอนางโลมแห่งหนึ่งเช่นกัน
“ท่านลูกค้าไม่ต้องการสาวงาม แต่จะมาพบข้าให้ได้ หรือว่าท่านจะสนใจในตัวข้าเจ้าคะ?” แม่เล้าร่างท้วมที่แต่งหน้าหนาเตอะยกพัดป้องปากพลางหัวเราะคิกคัก
ลู่เซิ่งจงหยิบตั๋วแลกทองใบหนึ่งออกมา ดันไปตรงหน้านาง
แม่เล้าหยุดหัวเราะทันที มองตั๋วแลกทองมูลค่าหมื่นเหรียญทองที่วางอยู่บนโต๊ะใบนั้น สองตาลุกวาว
“อายุน้อย งดงาม หุ่นดี เล่นดนตรีเป็น ร้องเพลงขับกลอนได้ แสดงเก่ง เสแสร้งเป็น!” ลู่เซิ่งจงทยอยชูนิ้วออกมาตามจำนวนเงื่อนไขที่เรียกร้อง “หากหามาได้ เงินนี้จะเป็นของเจ้า!”
สุดท้าย รถม้าคันหนึ่งจอดลงหน้าประตูหลังของหอนางโลม สตรีนางหนึ่งที่สวมแพรโปร่งบดบังใบหน้า เรือนร่างอ้อนแอ้นอรชร เดินออกมาจากหลังเรือนอย่างชดช้อย ตามหลังลู่เซิ่งจงไป มุดเข้าไปในรถม้าด้วยกัน
เสียงหวดแส้ดังขึ้น ล้อรถม้าหมุนเคลื่อนตัวจากไป…
….
เสียงขลุ่ยอ้อยอิ่ง ดังสะท้อนไปมาอยู่กลางป่าเขา
ขบวนม้าหยุดลง อู่เทียนหนานที่อยู่บนหลังม้าเหลียวมองไปรอบๆ จู่ๆ สายตาพลันเพ่งออกไป จ้องมองไปบนเนินเขาลูกหนึ่งที่อยู่ในป่าข้างถนนอย่างเลื่อนลอย มองเห็นสตรีที่อยู่ในชุดขาวพิสุทธิ์ดุจหิมะนางหนึ่ง ใบหน้างดงามอ่อนหวาน สิบนิ้วเรียวงามประคองขลุ่ยเลาหนึ่งไว้ เป่าบทเพลงท่วงทำนองโศกศัลย์ สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าหมอง
คล้ายจะสังเกตเห็นการจ้องมองอย่างไร้มารยาทของทางนี้ โฉมงามหยุดเป่าขลุ่ย ขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะหันหลังเดินลงไปทางด้านหลังเนินเขา
อู่เทียนหนานและผู้ติดตามอีกสองสามคนสบตากัน ต่างรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย รูปลักษณ์งดงามผุดผ่องเช่นนั้น แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นสตรีมีชาติตระกูล คุณหนูมีชาติตระกูลที่งามเฉิดฉันปานนี้มาอยู่ในป่าเขาเช่นนี้ได้อย่างไร?
ทั้งกลุ่มยักคิ้วหลิ่วตาให้กัน ควบม้ามุ่งไปที่เชิงเขาพร้อมกัน ถึงได้พบว่ามีรถม้าคันหนึ่งจอดนิ่งอยู่ในป่า
ทั้งกลุ่มลงจากม้า เดินขึ้นไปบนเนินเขา ก่อนจะมองเห็นร่างอ้อนแอ้นของสตรีชุดขาวนางนั้นอีกครั้ง
เพียงแต่ข้างกายสตรีชุดขาวกลับมีบุรุษเพิ่มขึ้นมาคนหนึ่ง กำลังจุดธูปเผากระดาษอยู่หน้าป้ายหลุมศพเก่าๆ หลุมหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าหนึ่งหญิงหนึ่งชายกำลังเซ่นไหว้ผู้ใดอยู่
สถานที่แห่งนี้อยู่ในเขตอำเภอผิงชวน อู่เทียนหนานก้าวอาดๆ ลงจากเนินเขาด้วยท่าทางมั่นอกมั่นใจ พาคนของตนมุ่งไปที่หน้าหลุมศพ
ชายหญิงคู่นั้นหันมามอง ฝ่ายชายมิใช่ใครอื่น เป็นลู่เซิ่งจง
เมื่อได้เห็นใบหน้าของสตรีนางนั้นในระยะใกล้ เรียกได้ว่ายิ่งงามพิสุทธิ์ เจือความสง่างามมีการศึกษาอยู่หลายส่วน ผิวพรรณขาวผ่อง ประกอบกับเรือนร่างที่ดูเย้ายวนใจ เอวคอดอกนูนเด่น ดวงตาของอู่เทียนหนานพลันเปล่งประกาย คิดไม่ถึงว่าในอำเภอผิงชวนจะยังมีสตรีงดงามเช่นนี้อยู่ด้วย
ชิ้ง! มีเสียงกระบี่แว่วขึ้น ลู่เซิ่งจงพลันคว้ากระบี่ที่อยู่ด้านข้าง ชักกระบี่ยาวออกจากฝัก ตวัดมือคราหนึ่ง ปราณกระบี่สายหนึ่งฟันพุ่มหนามที่อยู่ใกล้ๆ จนขาด
พวกอู่เทียนหนานสะดุ้งโหยงทันที ทราบว่าพบผู้บำเพ็ญเพียรเข้าแล้ว รีบเก็บความคิดสกปรกไปทันที
“พวกเจ้าคิดจะทำอะไร?” ลู่เซิ่งจงถามอย่างเย็นชา ดวงตาฉายแววตักเตือนอย่างเห็นได้ชัด
อู่เทียนหนานรีบโบกมือพลางกล่าวว่า “ฝ่าซืออย่าได้เข้าใจผิดไป พวกข้าเพียงเดินทางผ่านมาทางนี้ จู่ๆ เห็นสตรีบอบบางปรากฏตัวอยู่ในป่าเขาเพียงลำพัง กังวลว่าจะเกิดอันตราย จึงตามมาดูเท่านั้น”
ลู่เซิ่งจงกล่าวอย่างเย็นชา “เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่ออย่างนั้นหรือ?”
…………………………………………………………