ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 235 ซัดฝ่ามือใส่ข้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 235 ซัดฝ่ามือใส่ข้า

ตอนที่ 235 ซัดฝ่ามือใส่ข้า

ทันทีที่ทางนี้ปล่อยตัวเขา ลู่เซิ่งจงรีบล้วงมือเข้าปากเพื่อให้อาเจียน คิดจะสำรอกเอาสิ่งที่กินเข้าไปออกมา

ด้านข้างมีคนคว้าข้อมือเขาแล้วบิดไปด้านข้าง ไม่ให้เขาล้วงคอ

ลู่เซิ่งจงจ้องมองซูจ้าวที่ยิ้มละไมอยู่ ถามด้วยความหวาดกลัวว่า “เจ้าให้ข้ากินอะไร?”

ซูจ้าวเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “นั่นเป็นของดี ราคาแพงลิ่ว คนธรรมดาไม่มีโอกาสได้ใช้ นับว่าเจ้าได้กำไรแล้ว”

“สรุปแล้วให้ข้ากินอะไรเข้าไปกันแน่?” ลู่เซิ่งจงดูตื่นตระหนกอย่างเห็นได้ชัด เขาพอจะเดาได้ว่าต้องมิใช่ของดีอันใดแน่นอน

ซูจ้าวตอบไม่ตรงคำถาม “คุณชายใหญ่ไม่ผิดคำพูดแน่นอน อีกครึ่งชั่วยามให้หลัง จะอยู่หรือไปก็แล้วแต่เจ้า”

สีหน้าของลู่เซิ่งจงดูซับซ้อน ทั้งตื่นตระหนกและหวาดกลัวปะปนกันไป

……

รุ่งสางวันต่อมา ภายในจวนท่องคลื่น ใต้ชายคา ซูจ้าวเหม่อมองแสงอรุณที่ส่องรำไรอยู่ตรงปลายขอบฟ้า

“ทางนั้นยังไม่มีความเคลื่อนไหวอีกหรือ?” ซูจ้าวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงใสกระจ่าง นางเฝ้ารออยู่ที่นี่มาทั้งคืน

ผู้ชายที่อยู่ด้านข้างตอบว่า “เสี่ยวเอ้อคนนั้นใส่จดหมายลับเข้าไปในศาลบูชาของโรงย้อมผ้าแห่งหนึ่ง จากนั้นก็กลับไปที่เหลาสุรา มีคนคอยจับตามองทั้งสองด้านขอรับ จากนั้นก็ไม่เห็นเสี่ยวเอ้อคนนั้นมีความเคลื่อนไหวอันใดอีก จดหมายลับก็ยังอยู่ในศาลบูชา ไม่เห็นมีผู้ใดมารับไปขอรับ”

ซูจ้าวเอ่ยเสียงขรึม “แบบนี้ไม่ปกติ การส่งข่าวสารไปมาเช่นนี้ หากไม่จัดการในทันทีล่ะก็ นั่นมิเท่ากับทำให้งานผิดพลาดหรอกหรือ ไม่มีเหตุผลที่จนถึงตอนนี้แล้วยังไม่มีคนไปรับ หรือว่าข่าวที่ลู่เซิ่งจงถูกจับได้จะเล็ดรอดออกไปแล้ว? หรือว่าลู่เซิ่งจงจะเล่นลูกไม้ไม่ซื่ออันใด?”

ผู้ชายว่า “ลู่เซิ่งจงน่าจะรู้ผลลัพธ์ของการเล่นลูกไม้ดี ยิ่งไปกว่านั้นคือเขากินยาของพวกเราเข้าไปแล้ว เขาเล่นลูกไม้อันใดหรือไม่ อีกไม่นานก็น่าจะมีคำตอบ แต่ข้ากลับสงสัยว่าจะมีคนแพร่งพรายข้อมูลออกไป ในเหตุการณ์ตอนนั้นก็มีคนอยู่เพียงเท่านั้น ทางฝั่งของพวกเราน่าจะไม่มีปัญหาอะไร หรือจะเป็นคนของทางคุณชายใหญ่ที่แพร่งพรายออกไป หรือจะเป็นคุณหนูใหญ่ผู้นั้นที่แพร่งพรายออกไป?”

ซูจ้าวขมวดคิ้ว “เดี๋ยวข้าจะลองไปถามดู”

ผู้ชายเอ่ยอีกว่า “ถึงรอต่อไปก็คล้ายจะไม่มีประโยชน์อะไรแล้ว ตามความเห็นของข้า ไปจับเสี่ยวเอ้อคนนั้นมาสอบสวนตรงๆ เถอะขอรับ”

“อืม!” ซูจ้าวพยักหน้า ทันใดนั้นพลันมีเสียง “อ๊ากๆ” เสมือนสัตว์ร้ายกำลังส่งเสียงคำรามแว่วออกมาจากเรือนด้านข้าง ตามมาด้วยเสียงทำลายข้าวของ

“หึหึ!” ซูจ้าวแค่นหัวเราะออกมา รีบเดินเข้าไปยังเรือนที่อยู่ติดกัน

ประตูห้องห้องหนึ่งถูกชนจนพังเสียหาย ภายในลานเรือน ลู่เซิงจงตีอกชกหัวกลิ้งเกลือกอยู่บนพื้น สีหน้าเจ็บปวดทรมานแสนสาหัส บางครั้งก็เอาศีรษะโขกพื้น หน้าผากกระแทกจนได้เลือด บาดแผลด้านหลังที่ถูกวิหคขยุ้มฉีกเปิดออก โลหิตไหลซึมออกมาอีกครั้ง แดงฉานเต็มพื้น

เมื่อเห็นซูจ้าวที่เดินเข้ามา เขาจึงรีบตะเกียกตะกายคลานเข้าไปหา กอดเท้าข้างหนึ่งของซูจ้าวเอาไว้ ครวญครางด้วยความทรมาน “ยาถอนพิษ ขอยาถอนพิษ ขอยาถอนพิษให้ข้า”

เห็นได้ชัดว่าเขาเดาออกแล้วว่าเป็นผลมาจากยาที่เขากินเข้าไปเมื่อคืนเม็ดนั้น

ซูจ้าวหลุบตามองเขาจากด้านบน เอ่ยว่า “ทางข้าสะกดรอยไปตามที่เจ้าบอกแล้ว ทว่าระหว่างทางกลับไม่มีใครมารับข่าวไป หมายความว่าอย่างไร?”

ลู่เซิ่งจงส่ายหน้าไปมาแรงๆ “ข้าไม่รู้”

ซูจ้าวกล่าวว่า “ไม่รู้? เช่นนั้นเจ้าก็ค่อยๆ ดื่มด่ำกับความทรมานนี้ไปแล้วกัน” นางสลัดเขาออกไป หันหลังเตรียมเดินออกไป

“อย่า!” ลู่เซิ่งจงตะโกนเสียงดัง รีบคลานเข้ามาอีกครั้ง รั้งเท้านางไว้ เอ่ยเสียงสั่นด้วยความเจ็บปวด “ข้าไม่รู้จริงๆ!”

ซูจ้าวหลุบตามอง “เช่นนั้นก็รอให้เจ้ารู้แล้วค่อยว่ากัน!”

ลู่เซิ่งจงยื่นมือข้างหนึ่งออกไป อ้อนวอนด้วยความทรมาน “ยาถอนพิษ ให้ข้า ให้ข้า…”

ซูจ้าวไม่ขยับเขยื้อน ปล่อยให้เขาทรมานต่อไป

ลู่เซิ่งจงคล้ายจะทนรับความทรมานนี้ไม่ไหวแล้ว จู่ๆ พลันใช้ศีรษะโขกพื้นอย่างต่อเนื่อง โขกจนดังตุบๆ สุดท้ายจู่ๆ ก็อ้าปากออก กัดไปยังเท้าน้อยๆ ของซูจ้าว

ซูจ้าวสะบัดเท้าเตะ เตะเขาจนลอยละลิ่วออกไป

“อ๊าก…” ลู่เซิ่งจงที่ร่วงลงบนพื้นร้องครวญครางโหยหวนไม่หยุด ระหว่างที่กลิ้งเกลือกจู่ๆ ก็อ้าปากกัดแขนตัวเอง ฉีกกระชากจนเนื้อหลุดออกมาชิ้นหนึ่ง ก่อนจะกลืนเนื้อตัวเองเข้าไป ภาพนี้น่าอนาถจนทนมองไม่ไหว

เมื่อเห็นภาพนี้ ซูจ้าวถึงได้ตวัดนิ้วคีบโอสถสีดำเม็ดหนึ่งออกมา “เขาน่าจะไม่ได้โกหก ป้อนยาให้เขา!”

บุรุษที่อยู่ด้านข้างรับยาไป ก่อนจะปราดเข้าไป ยกเท้าเหยียบอกลู่เซิ่งจง บีบกรามของลู่เซิ่งจง งอนิ้วดีดโอสถลงไปในลำคอของเขา

หลังผ่านไปสักพักหนึ่ง ลู่เซิ่งจงที่คล้ายกลายเป็นบ้าถึงจะค่อยๆ สงบลง อ้าปากหอบหายใจ

บุรุษที่เหยียบอกเขาอยู่ถึงได้คลายเท้าออกแล้วเดินกลับมา

“เจ้าไปจัดการงานของเจ้าเถอะ” ซูจ้าวเอ่ยสั่งการ บุรุษคนนั้นประสานมือคำนับ หันหลังเดินจากไปโดยเร็ว

ลู่เซิ่งจงที่ค่อยๆ คลานลุกขึ้นมากุมบาดแผลบนแขนที่มีเลือดไหลนอง เดินโซเซเข้ามา เปล่งเสียงที่คล้ายว่ากระทั่งวิญญาณก็กำลังสั่นสะเทือนไปด้วยออกมา “เจ้าให้ข้ากินอะไรเข้าไปกันแน่?”

“รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร ไยต้องถามให้มากความ ข้าให้เจ้ากินยาระงับพิษแล้ว น่าจะสะกดไม่ให้พิษกำเริบขึ้นมาได้สามเดือน”

“สามเดือนหรือ? แล้วหลังจากสามเดือนล่ะ?”

“ค่อยกินยาระงับอีกครั้ง สะกดไว้อีกสามเดือน วนเวียนไปเช่นนี้” ซูจ้าวเอ่ยทิ้งท้ายอย่างเฉยชา เดินจากไปอย่างไม่เร่งร้อน

ลู่เซิ่งจงพลันซวนเซ ทรุดฮวบลงไปกับพื้น เผยรอยยิ้มน่าสังเวชออกมา เสียงหัวเราะดังขึ้นไม่หยุด

……

ภายในคุกใต้ดินของจวนผู้ว่าการมณฑล เซ่าซานเสิ่งนำทางซูจ้าวที่อยู่ภายใต้เสื้อคลุมสีดำมีหมวกปิดบังใบหน้าเข้ามาอีกครั้ง

เซ่าผิงปอที่อยู่ในคุกหันกลับมามอง

ประตูคุกเปิดออก ผู้คุมต่างถอยออกไป

“หลิวเอ๋อร์ไม่เป็นไรใช่ไหม?” ซูจ้าวที่เดินเข้าไปในห้องขังเลิกหมวกออกพลางเอ่ยถาม

เซ่าผิงปอหลับตาลงครู่หนึ่ง จากนั้นลืมตาขึ้นอีกครั้ง “ว่าเรื่องของทางฝั่งท่านก่อนเถอะ สืบพบหรือยัง?”

“ไม่พบ เบาะแสขาดหายไประหว่างทาง…” ซูจ้าวเล่าสถานการณ์ทั้งหมดออกมา

เซ่าผิงปอขมวดคิ้ว “หรือว่าลู่เซิ่งจงจะเล่นลูกไม้?”

“ตรวจสอบดูแล้ว ทางเขาไม่มีปัญหา” ซูจ้าวส่ายหน้าเล็กน้อย

เซ่าผิงปอถาม “หรือว่าจะมีคนเผยข่าวที่ลู่เซิ่งจงถูกจับแล้ว? คนที่ท่านพามาด้วยคงไม่มีปัญหากระมัง?”

ซูจ้าวตอบว่า “คนที่ข้าพามาในครั้งนี้ไม่รู้จักหนิวโหย่วเต้าเลย หนิวโหย่วเต้าเองก็ไม่รู้จักพวกเขาเช่นกัน สมาคมของข้าเจ้ายังไม่รู้จักอีกหรือ? จะมีปัญหาอะไรได้? ข้ากลับสงสัยทางฝั่งเจ้านั่นแหละ ซ่งซูคนนั้นกับเฉินอะไรนั่นคงไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?”

เซ่าผิงปอกล่าวว่า “หากมีปัญหา ข้าก็คงจะไม่รับตัวพวกเขาไว้เช่นกัน ทางข้าเคยสืบประวัติแล้ว ปมแค้นระหว่างพวกเขาทั้งสองกับหนิวโหย่วเต้าชัดเจนเป็นอย่างยิ่ง ไม่มีทางเป็นคนของหนิวโหย่วเต้าไปได้”

ซูจ้าวถาม “คนที่อยู่ในเหตุการณ์ก็มีเพียงเท่านั้น หรือว่าจะเป็นหลิ่วเอ๋อร์ที่ทำข่าวหลุดออกไป?”

เซ่าซานเสิ่งที่อยู่นอกห้องขังเอ่ยขึ้นมา “เมื่อวานหลังจากคุณหนูกลับมาก็ถูกจับตามองอย่างเข้มงวด นั่งนิ่งๆ อยู่ในนั้นตลอด น้ำสักหยดก็ไม่ได้ผ่านเข้าไป ไม่พูดอะไรแม้แต่ประโยคเดียว แม้แต่ท่านผู้ว่าการไปสอบถามก็ทำให้นางปริปากไม่ได้ ไม่มีทางจะแพร่งพรายข่าวได้ขอรับ”

ซูจ้าวลังเล “หรือว่าจะเป็นถานเย่าเสี่ยนที่ถูกปล่อยตัวไปคนนั้น?”

เซ่าซานเสิ่งเหลือบมองเซ่าผิงปอทันที จากนั้นก้มหน้าหลุบตาลงอีกครั้ง

เซ่าผิงปอเอ่ยด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “คนของข้าเห็นเขาขึ้นเรือจากไปแล้ว ไม่มีทางเกิดปัญหาอะไรได้”

ซูจ้าวใคร่ครวญดู “เช่นนั้นก็น่าแปลก”

เซ่าผิงปอเอ่ยว่า “ก่อนออกเดินทางลู่เซิ่งจงได้ส่งข่าวออกไป บอกว่าจะไปที่แคว้นซ่ง ให้หนิวโหย่วเต้าส่งคนไปรอรับที่แคว้นซ่ง พอทางนี้รู้ว่าลู่เซิ่งจงออกไปแล้ว คนที่อยู่ทางนี้ก็ถอนกำลังออกไปทันที…คิดไปคิดมา หากว่าคนของทางท่านไม่มีปัญหาจริงๆ อย่างนั้นก็มีเพียงความเป็นไปได้นี้เท่านั้น”

ซูจ้าวพยักหน้ารับเงียบๆ “ใช่ น่าจะเป็นเช่นนี้”

หลังจากสนทนากันจบ ซูจ้าวออกจากคุกใต้ดิน กลับไปที่จวนท่องคลื่น

หลังกลับมาถึงเรือนได้ไม่นาน ลูกน้องที่ออกไปจัดการงานคนนั้นก็กลับมา มารายงานกับนางว่า “จับเสี่ยวเอ้อคนนั้นไปสอบสวนแล้วขอรับ ตั้งรกรากอยู่ในมณฑลเป่ยโจวมาสามชั่วอายุคน เพียงแค่รับเงินคนอื่นมาทำงานเท่านั้น ไม่รู้รายละเอียดอย่างอื่นเลยขอรับ”

“เฮ้อ!” ซูจ้าวถอนหายใจเบาๆ ไม่รู้สึกแปลกใจ นับเป็นเรื่องที่อยู่ในความคาดหมายของนาง

ดูจากสถานการณ์ก็ทราบแล้วว่าเสี่ยวเอ้อคนนั้นเป็นเพียงคนรับจ้างทำงานเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ไหนเลยจะทราบความลับอันใดได้ คิดจะสืบไล่ย้อนกลับไป กลับพบว่าเบาะแสขาดช่วง สืบต่อไปไม่ได้ แล้วก็ไม่รู้ว่าหนิวโหย่วเต้าส่งคนมาแทรกซึมในมหานครเป่ยโจวมากน้อยเพียงใดกันแน่ แล้วส่งใครมาบ้าง

….

“มา ซัดข้าเลย”

ภายในหุบเขา ใต้หน้าผา หนิวโหย่วเต้าโบกมือส่งสัญญาณให้เฮยหมู่ตาน

“……” เฮยหมู่ตานพูดไม่ออก นึกว่าตนหูฝาดไป “ซัดท่านหรือเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้ายิ้มพลางพยักหน้า “ใช่! มาเลย ลองซัดฝ่ามือใส่ข้าดู”

เฮยหมู่ตานกล่าวว่า “เต้าเหยี่ย นี่ท่านกำลังแกล้งข้าอยู่หรือเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้าตอบว่า “เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้ากำลังฝึกวิชาอยู่”

“ฝึกวิชา?” เฮยหมู่ตานมึนงง จากนั้นก็ถามหยั่งเชิงว่า “เช่นนั้นให้ข้าลองซัดดูก่อนสักหนึ่งฝ่ามือไหมเจ้าคะ?”

หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “อย่ามัวโอ้เอ้ ให้เจ้าซัดก็ซัดมาเถอะน่า เร็วเข้า”

“เจ้าค่ะ! เต้าเหยี่ย เช่นนั้นท่านระวังนะเจ้าคะ” เฮยหมู่ตานเตือนไว้ก่อน จากนั้นซัดฝ่ามือใส่ในทันใด

หนิวโหย่วเต้าพลิกมือต้านรับ

แววตาเฮยหมู่ตานวูบไหวอย่างรวดเร็ว หักฝ่ามือซัดขึ้นฟ้า ตัวคนก็เบี่ยงหลบออกไปด้วย

สีหน้าหนิวโหย่วเต้าครึ้มลง “ข้าให้เจ้าซัดใส่ข้า เจ้าจะหลบทำไม?”

เฮยหมู่ตานยิ้มเจื่อน “เต้าเหยี่ย ความร้ายกาจของพลังฝ่ามือท่าน ข้าเคยเห็นตัวอย่างจากเหลยจงคังแล้ว แล้วก็เคยฟังเหลยจงคังเล่าให้ฟัง บอกว่าโดนพลังฝ่ามือของท่านแล้วทรมานเป็นอย่างมาก”

เหตุการณ์ที่หนิวโหย่วเต้าซัดฝ่ามือใส่เหลยจงคังนอกเมืองไจซิงครานั้น นางเคยเห็นมากับตา ร่างกายซีกหนึ่งจับตัวเป็นเกล็ดน้ำแข็ง อีกซีกหนึ่งร้อนลวก แค่คิดก็ทรมานแล้ว นางไม่อยากลิ้มลองรสชาตินั้น

หนิวโหย่วเต้ากลอกตาใส่ “ข้าไม่ได้จะโจมตีกลับ แค่จะป้องกัน เร็วเข้า อย่าโอ้เอ้”

เขาฝึกฝนจนจับเคล็ดของเคลื่อนย้ายมหาจักรวาลได้แล้ว เริ่มพอจะมองออก จึงร้อนใจอยากทดสอบดู

“จริงนะเจ้าคะ?” เฮยหมู่ตานแสดงสีหน้าสงสัยนิดๆ

“เจ้าจะซัดหรือไม่ซัด?” หนิวโหย่วเต้ายื่นคำขาดครั้งสุดท้าย

เฮยหมู่ตานจนปัญญา เอ่ยเตือนออกไปก่อนว่า “มาเจ้าค่ะ เตรียมรับฝ่ามือ!” พลันทะยานกายออกไป ซัดฝ่ามือเข้าใส่

หนิวโหย่วเต้าซัดฝ่ามือออกไปต้านรับทันที

ผัวะ! ยามที่ทั้งสองฝ่ามือปะทะกัน มืออีกข้างหนึ่งของหนิวโหย่วเต้าสะบัดแขนเสื้อออกไป ลมอันรุนแรงระเบิดออกไปรอบทิศ

เฮยหมู่ตานที่ซัดฝ่ามือเข้าใส่ผงะไปเล็กน้อย เป็นการป้องกันจริงๆ ด้วย ในฝ่ามือของเต้าเหยี่ยไม่ได้แฝงพลังใดๆ ไว้เลย

หนิวโหย่วเต้าขมวดคิ้ว “เบาเกินไป เจ้าไม่ได้ออกแรงอะไรเลย โจมตีด้วยพลังทั้งหมดของเจ้าเลย! เอาใหม่!”

เฮยหมู่ตานไหนเลยจะกล้าลงมือให้ถึงตาย นางมองดูสถานการณ์ ซัดฝ่ามือออกไปอีกครั้งทันที

ผัวะ! หนิวโหย่วเต้ารับฝ่ามือเอาไว้อีกครั้ง ครั้งนี้ลมอันรุนแรงที่ฝ่ามือสะบัดออกไปทำให้ก้อนหินในหุบเขาลอยกระเด็นกระดอนเป็นวงกว้าง

เฮยหมู่ตานตกใจ พลังฝ่ามือนี้ของตนนับว่าไม่เบา ทว่าเต้าเหยี่ยกลับไม่ได้ออกแรงต้านเลย ใช้ฝ่ามือรับตรงๆ กระทั่งร่างกายก็ไม่ไหวติงแม้แต่น้อย สภาวะของทั้งสองคนห่างชั้นกันถึงเพียงนี้เชียวหรือ?

เห็นได้ชัดว่าหนิวโหย่วเต้ายังไม่พอใจ ตะโกนว่า “ข้าบอกให้เจ้าโจมตีเต็มที่ไง เอาใหม่!”

“เต้าเหยี่ย ระวังนะเจ้าคะ” เฮยหมู่ตานเอ่ยเตือน ครั้งนี้ไม่ออมมือแล้ว ซัดฝ่ามือออกไปอย่างรุนแรง

ผัวะ! หนิวโหย่วเต้ารับเอาไว้ ลมอันรุนแรงที่ระเบิดออกมาจากแขนอีกข้างหนึ่งส่งเสียงคำรามอย่างคลุ้มคลั่ง

“เอาอีก!”

“เร็วเข้า โจมตีต่อเนื่องเข้ามาเลย!”

ร่างของเฮยหมู่ตานค่อยๆ เหินขึ้นมา ซัดฝ่ามือโจมตีใส่อย่างต่อเนื่อง

หนิวโหย่วเต้ายืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน รับการโจมตีฝ่ามือแล้วฝ่ามือเล่า

เฮยหมู่ตานตกใจขึ้นเรื่อยๆ อีกฝ่ายไม่ตอบโต้กลับเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่แม้แต่จะป้องกันด้วยซ้ำ พลังฝ่ามือตนโจมตีเข้าใส่ร่างของอีกฝ่ายจริงๆ แต่อีกฝ่ายกลับรับพลังฝ่ามือทั้งหมดของตนที่โจมตีเข้าไปได้ แทบจะยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย

นางเองก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติแล้วเช่นกัน นั่นคือทุกครั้งที่ตนซัดฝ่ามือใส่เต้าเหยี่ย ด้านหลังเต้าเหยี่ยจะมีลมอันรุนแรงระเบิดออกมาทุกครั้ง เพียงแต่ไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด

และยิ่งฝ่ามือทั้งสองข้างของนางโจมตีเร็วขึ้นเท่าไร หนิวโหย่วเต้าที่ถูกขัดเกลาอย่างต่อเนื่องก็คล้ายจะจับเคล็ดขึ้นมาได้อีกอย่าง ไม่จำเป็นต้องสะบัดแขนอีกข้างแล้ว หากแต่ใช้สองมือออกไปรับพร้อมกันได้เลย

หลังจากทั้งสองฝ่ายประมือกันอยู่พักใหญ่ จู่ๆ หนิวโหย่วเต้าก็เบี่ยงกายหลบ ลดมือลง สื่อว่าพอแต่เพียงเท่านี้

เฮยหมู่ตานที่หยุดมือลงแปลกใจและงุนงง

ทว่าหนิวโหย่วเต้ากลับมีสีหน้าครุ่นคิดคล้ายยังไม่พอใจ ส่ายหน้าเล็กน้อย ตนยังห่างไกลจากคำว่าแตกฉานในเคล็ดเคลื่อนย้ายมหาจักรวาลอยู่มากนัก อีกฝ่ายซัดพลังที่เป็นรูปเป็นร่างออกมา แต่ตนกลับยังไม่สามารถเคลื่อนย้ายพลังที่เป็นรูปเป็นร่างนั้นออกไปได้อย่างอิสระ ระเบิดลมออกมามีประโยชน์อะไร? นี่แปลว่าร่างกายของตนยังมีอุปสรรคในการรับพลังอยู่อย่างมาก หากพบยอดฝีมือสภาวะลึกล้ำเข้า ตนจะต้องเสียเปรียบอย่างมากแน่

…………………………………………………………………………

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท