บทที่ 270 ไม่มีแบ่งแยกสูงต่ำจนรวย
ซูจ้าวมองไปตามที่นางชี้ เห็นคนที่ต่อแถวกันอยู่น่าจะมีหลายร้อยคนได้ คนที่ได้ของแล้วก็ออกไป จากนั้นก็มีลูกค้าที่ต้องการซื้อเข้ามาต่อแถวอีก เรียกได้ว่ามีลูกค้าหลั่งไหลมาไม่ขาดสาย
ซูจ้าวแปลกใจยิ่ง ได้เห็นกับตาแล้วว่ากิจการรุ่งเรืองคึกคักอย่างที่ฉินเหมียนว่าไว้จริงๆ อดไม่ได้ที่จะเอ่ยอย่างสะท้อนใจ “คิดไม่ถึงว่าอาหารที่ทำจากถั่วเหลืองจะขายดีถึงเพียงนี้ หากพวกเราไปต่อแถวเช่นนี้ ต้องใช้เวลานานขนาดไหนถึงจะได้ซื้อเล่า?”
ต้องทราบก่อนว่าทะเลสาบพราวแสงแห่งนี้นับเป็นสถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกลจากตัวเมือง การที่สามารถทำให้การค้าคึกคักได้เช่นนี้ เรียกได้ว่าทำให้นางนึกสนใจในสิ่งที่เรียกว่า ‘เต้าหู้’ เป็นอย่างยิ่ง รู้สึกรอไม่ไหว อยากจะลิ้มลองแล้วว่ารสชาติดีขนาดไหนกัน ถึงได้ดึงดูดคนมาได้มากขนาดนี้
ฉินเหมียนเอ่ยยิ้มๆ “แถวดูเหมือนจะยาว แต่แถวก็เคลื่อนตัวเร็วเช่นกัน นายหญิงเห็นชามที่อยู่พวกเขาถืออยู่ในมือไหมเจ้าคะ? ทุกคนล้วนต้องเอาภาชนะมาเอง จ่ายเงินรับของแล้วก็ไป เร็วยิ่งนัก แต่แน่นอน มีลูกค้ามากันไม่ขาดสาย ดังนั้นแถวจึงดูเหมือนมีคนเยอะอยู่ตลอด เรียกได้ว่าตั้งแต่เปิดร้านจนกระทั่งดับตะเกียงปิดร้านก็มีลูกค้ามาต่อแถวกันไม่ขาดสาย การค้ารุ่งเรืองอย่างที่ยากจะได้เห็นจริงๆ เจ้าค่ะ!”
ซูจ้าวถามอย่างแปลกใจ “ไม่มีสถานที่ให้ลูกค้านั่งกินที่ร้านหรือ?”
ฉินเหมียนตอบว่า “ข้าเองก็สงสัยเช่นกัน จึงเคยสอบถามดูแล้วเจ้าค่ะ ตอนเพิ่งเปิดร้านมีจัดที่ไว้ ภายหลังขายดีเป็นอย่างมาก หากปล่อยให้นั่งกินที่ร้าน เกรงว่าต่อให้ร้านตั้งอยู่ในสถานที่อย่าง ‘เรือนเมฆาขาว’ ของพวกเราก็คงรองรับคนจำนวนมากขนาดนี้ไม่ไหวเหมือนกันเจ้าค่ะ สุดท้ายจึงช่วยไม่ได้ ได้แต่ต้องออกกฎเช่นนี้ แต่แน่นอนว่าสถานที่สำหรับรับรองแขกให้ค่อยๆ กินอย่างช้าๆ ก็ยังมีอยู่เจ้าค่ะ แต่กลับมีการตั้งกฎไว้ ต้องจ่ายหนึ่งเหรียญเงินก่อนถึงจะเข้าไปนั่งกินอย่างช้าๆ ที่ด้านในได้ พอเป็นเช่นนี้ นอกจากคนร่ำรวยที่ไม่อยากยุ่งยากวุ่นวายแล้ว ชาวบ้านธรรมดาย่อมยินดีจะต่อแถวซื้อมากกว่าเจ้าค่ะ”
ซูจ้าวพยักหน้ารับ เข้าใจแล้ว ถามอีกครั้ง “ขายแพงหรือเปล่า?”
ฉินเหมียนส่ายหน้า “แพงหรือไม่แพงก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคนเจ้าค่ะ หากบอกว่าแพงก็แพง บอกว่าไม่แพงก็ไม่แพง ที่บอกว่าไม่แพงคือราคาสิบเหรียญทองแดงต่อหนึ่งชุด คนส่วนใหญ่ที่อยากลิ้มลองรสชาติใหม่ๆ ก็ยังซื้อกินได้ หากจะบอกว่าแพง ก็คงเพราะปริมาณสำหรับหนึ่งชุดมันน้อยไปหน่อย ตักให้เพียงหนึ่งทัพพีเท่านั้น ปริมาณจริงก็แค่หนึ่งถ้วยเล็กๆ แต่ต้องจ่ายถึงสิบเหรียญทองแดง ได้ยินว่าตอนเพิ่งเปิดกิจการ ขายเพียงถ้วยล่ะห้าเหรียญทองแดงเท่านั้น”
ซูจ้าวยิ้มขึ้นมา “ก็เป็นร้านค้าหน้าเลือดร้านหนึ่งเลย พอเห็นว่าขายดีหน่อยก็เพิ่มราคาขึ้นเป็นเท่าตัว”
ฉินเหมียนเอ่ยว่า “คำชี้แจงจากทางร้านก็ใช่ว่าจะไร้เหตุผลนะเจ้าคะ พวกเขาบอกว่าความต้องการมากขึ้น ทำให้ราคาถั่วเหลืองในเมืองเพิ่มสูงขึ้น ต้นทุนก็เพิ่มขึ้น ราคาจึงเพิ่มขึ้นเช่นกัน”
“โอ้!” ซูจ้าวพยักหน้ารับ “ก็มีเหตุผลดี ดูเหมือนเดิมทีก็มีคนปลูกถั่วเหลืองไม่มากอยู่แล้ว ค้าขายเช่นนี้ ย่อมต้องเพิ่มราคา เพียงแต่กิจการไปได้ดีแบบนี้ ไม่กลัวจะมีคนลอกเลียนแบบหรือ?”
ฉินเหมียนตอบว่า “ผู้ให้การสนับสนุนเบื้องหลังคือตระกูลฮูเหยียนเจ้าค่ะ! ถ้าไม่มีคนคอยหนุนหลังล่ะก็ กิจการไปได้ดีขนาดนี้จะต้องเกิดเรื่องแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นการก่อกวนหรือสอดมือเข้ายุ่ง คนที่หยิ่งยโสถือดีหน่อยก็จะไม่ยอมต่อแถวอย่างว่าง่าย ที่ตอนนี้ทุกคนยอมปฏิบัติตามกฎกัน ย่อมเป็นเพราะมีคนที่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้เจ้าค่ะ”
ซูจ้าวแปลกใจ “ตระกูลฮูเหยียนมาเปิดร้านในสถานที่ที่ห่างไกลเช่นนี้น่ะหรือ?”
ฉินเหมียนกล่าวว่า “ตอนนั้นข้าก็รู้สึกว่าแปลกเช่นกันเจ้าค่ะ จึงตรวจสอบดูเล็กน้อย ผู้สนับสนุนตัวจริงคือฮูเหยียนเวยที่เป็นบุตรชายคนเล็กของแม่ทัพฮูเหยียนอู๋เฮิ่น หน้าร้านนี้รวมถึงคฤหาสน์ด้านหลังก็เป็นฮูเหยียนเวยจัดหามาเจ้าค่ะ ได้ยินว่าก่อนหน้านี้มีคนของทางการมาเรียกเก็บส่วย ผลคือถูกฮูเหยียนเวยที่ทราบเรื่องเข้าทุบตีจนพิการเจ้าค่ะ!”
ระหว่างที่คุยกันอยู่ เรือก็เทียบฝั่งแล้ว
ฉินเหมียนเอ่ยถาม “นายหญิง พวกเราจะจ่ายเงินเข้าไปกินในร้าน หรือให้คนไปต่อแถวซื้อมาดีเจ้าคะ”
ซูจ้าวลังเลเล็กน้อย เดิมอยากเข้าไปดูร้านเต้าหู้แห่งนั้น แต่สุดท้ายก็ถอนหายใจเอ่ยไปว่า “ไปซื้อมากินที่เรือเถอะ”
ฉินเหมียนพอจะเข้าใจได้ ด้วยรูปโฉมของนายหญิง หากปรากฏตัวในสถานที่เช่นนี้จะดึงดูดสายตาคนเกินไป ถูกกลุ่มบุรุษจ้องมอง เกรงว่าคงกินได้ไม่สะดวก ทำให้เสียอรรถรสและหมดอารมณ์กินได้
เรือสำราญลำนี้ก็มีภาชนะกินดื่มครบครัน ฉินเหมยหยิบชามกระเบื้องเคลือบสีขาวมีฝาปิดใบหนึ่งมา เดินออกไปนอกห้องโดยสาร สั่งให้สาวใช้นางหนึ่งไปต่อแถวซื้อมา
เป็นอย่างที่ฉินเหมียนว่าไว้ แถวดูเหมือนจะยาว แต่กลับเคลื่อนตัวอย่างรวดเร็ว รอเพียงไม่นาน สาวใช้ก็ถือชามกลับมา
ทว่าทันใดนั้นก็เกิดอุบัติเหตุขึ้น ริมทะเลสาบมีชายหนุ่มสามคนที่ควบม้าวิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว วิ่งเรียงแถวหน้ากระดานพุ่งเข้ามา สาวใช้ที่ถือถ้วยอยู่จะหลบไปทางไหนก็ไม่ได้ ตกใจจนส่งเสียงหวีดร้องออกมา
ซูจ้าวและฉินเหมียนที่อยู่ในห้องโดยสารหันไปมองทันที ลูกน้องทั้งสี่คนที่อยู่นอกห้องโดยสารก็หันขวับมองเข้าไปในห้องโดยสาร จ้องมองปฏิกิริยาของฉินเหมียน ทันทีที่ได้รับสัญญาณก็จะลงมือสกัดทันที
ทว่าฉินเหมียนกลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ นางไม่เปิดเผยตัวตนของผู้บำเพ็ญที่ติดตามอยู่ข้างกายในสถานที่แบบนี้
ม้าตัวหนึ่งถูกรั้งบังเหียนบังคับหยุดกะทันหัน เท้าม้าเกือบเตะโดนศีรษะของสาวใช้
เกิดเสียงดัง เพล้ง! สาวใช้ตกใจจนชามที่อยู่บนมือตกแตกเกลื่อนพื้น เต้าฮวยก็หกกระจัดกระจายลงบนพื้นด้วยเช่นกัน นางซวนเซถอยหลังไป
อาชาอีกสองตัวที่ประกบอยู่ซ้ายขวาก็หยุดลงกะทันหันเช่นกัน
เมื่อเท้าม้ากลับมายืนอยู่บนพื้นอย่างมั่นคงแล้ว ชายหนุ่มบนหลังม้าที่มือหนึ่งถือกาสุราและมีกลิ่นสุราอวลทั่วร่างมองสาวใช้ จากนั้นก็มองดูเรือสำราญที่จอดนิ่งอยู่ด้านข้าง เมื่อสังเกตเห็นตราสัญลักษณ์ของ ‘เรือนเมฆาขาว’ ที่ประทับอยู่บนโคม ก็หัวเราะฮ่าๆ ขึ้นมา ลงจากหลังม้า ยื่นมือไปเชยคางเนียนเกลี้ยงเกลาของสาวใช้ “สาวน้อยที่งามนุ่มนิ่มเช่นนี้ เหตุใดแต่ก่อนถึงไม่เคยเห็นเจ้าในเรือนเมฆาขาวเลยล่ะ?”
สาวใช้ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง หันหลังเตรียมเดินหนี ทว่าถูกชายหนุ่มอีกสองคนที่ลงจากหลังม้ามากางแขนกั้นไว้ ถูกทั้งสามล้อมไว้แล้วหยอกเอิน
ฉินเหมียนชี้นิ้วออกไปด้านนอก ส่งสัญญาณให้ลูกน้องที่อยู่นอกห้องโดยสารเล็กน้อย จากนั้นก็โบกมือ สื่อว่าอย่าทำให้เกิดเรื่อง
ลูกน้องสองคนขึ้นฝั่งไปทันที มุ่งหน้าไปช่วยสาวใช้คนนั้นออกมาจากวงล้อม
“ข้าต้องตาสาวน้อยคนนี้แล้ว วันนี้ข้าต้องการตัวไว้ พรุ่งนี้ค่อยส่งตัวกลับไปให้พวกเจ้า เงินข้าย่อมต้องจ่ายให้พวกเจ้าอย่างแน่นอน” ชายหนุ่มที่ถือกาสุราไว้ล้วงถุงเงินใบหนึ่งออกมา โยนไปให้ลูกน้องคนนั้น
ลูกน้องคนนั้นยื่นถุงเงินส่งคืนให้ด้วยสองมือ เอ่ยอย่างสุภาพ “คุณชายท่านนี้ เด็กคนนี้ยังไม่ผ่านการฝึกฝนอบรม ยังรับแขกไม่ได้ คุณชายโปรดแจ้งด้วยเถิดว่าเรือนพำนักอยู่ที่ใด ประเดี๋ยวผู้น้อยจะคัดเลือกโฉมงามส่งไปให้ท่านคนหนึ่งขอรับ”
“สตรีที่โปะแป้งหนาๆ พวกนั้นข้าไม่เอา ข้าถูกใจความใสซื่ออ่อนวัยของนาง ยังไม่ผ่านการอบรมก็ไม่เป็นไร ข้าถูกใจก็พอแล้ว”
ชายหนุ่มไม่รับถุงเงินคืน ยื่นแขนไปโอบเอวสาวใช้คนนั้นหมายจะพาขึ้นม้าไป สาวใช้คนนั้นทั้งตระหนกทั้งหวาดกลัว ตกใจจนร่ำไห้ออกมา
อีกทั้งลูกน้องทั้งสองถูกชายหนุ่มอีกสองคนขวางไว้ ลูกน้องทั้งสองจึงทำได้เพียงหันมองกลับไปทางหน้าต่างเรือ ต้องการสัญญาณสั่งการขั้นต่อไป
แต่ในเวลานี้เอง ชายหนุ่มร่างสูงใหญ่คนหนึ่งก้าวออกมาจากริมถนน ยื่นแขนไปขวางเบื้องหน้าม้าเอาไว้ ไม่ปล่อยให้ชายหนุ่มอุ้มสาวใช้คนนั้นขึ้นม้าไป เอ่ยเสียงขรึม “ปล่อยคนซะ!”
ผู้ที่มามิใช่ใครอื่น เป็นหยวนกัง
หยวนกังโผล่มากะทันหัน ด้วยบุคลิกอันน่าเกรงขามของหยวนกัง ทำให้ชายหนุ่มคนนั้นตกใจกลัว ปล่อยสาวใช้ลงทันที
แต่พอเห็นเสื้อผ้าที่หยวนกังสวมใส่ เป็นเสื้อผ้าพื้นๆ ซ้ำยังพับแขนเสื้อขึ้นด้วย เนื้อตัวก็มอมแมม เห็นได้ชัดว่าเป็นชนชั้นแรงงาน ชายหนุ่มพลันโมโหขึ้นมา “ไอ้คนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงนี่โผล่มาจากไหนกันล่ะเนี่ย?”
หยวนกังเอ่ยเรียบๆ “ท่านกำลังบังคับฉุดคร่าหญิงชาวบ้าน!”
ชายหนุ่มทั้งสามตะลึงงัน จากนั้นก็หัวเราะดังลั่นขึ้นพร้อมกัน มือของชายหนุ่มที่ยังถือกาสุราไว้ชี้ไปยังสาวใช้ที่ยังคงโดนจับไม่ปล่อย เอ่ยว่า “นางนับเป็นหญิงชาวบ้านเสียที่ไหนล่ะ? นางคือนางโลมจาก ‘เรือนเมฆาขาว’ มิใช่หรือ? ในเมื่อถูกขายออกมาแล้ว ข้าจ่ายเงินซื้อความสำราญ จะเป็นการบังคับฉุดคร่าหญิงชาวบ้านไปได้อย่างไร?”
หยวนกังถามสาวใช้คนนั้น “เจ้าเต็มใจไปกับเขาหรือไม่?”
สาวใช้ส่ายหน้าด้วยความหวาดกลัว นึกอยากหดแขนกลับมา ทว่าถูกชายหนุ่มคนนั้นจับไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
หยวนกังเอ่ยว่า “ท่านเองก็เห็นแล้ว อีกฝ่ายไม่เต็มใจ เรื่องเช่นนี้ไม่ควรบังคับฝืนใจ”
ชายหนุ่มขบขันแล้ว “เจ้ากำลังจะบอกข้าว่าไม่ควรบังคับฝืนใจหญิงชั้นต่ำที่ถูกเอามาเร่ขายเช่นนี้อย่างนั้นหรือ?”
หยวนกัง “คนเราเกิดมาเท่าเทียมกัน ไม่มีแบ่งแยกสูงต่ำจนรวย นางเองก็มิใช่หญิงชั้นต่ำอันใดเช่นกัน หากมีทางเลือก นางก็คงไม่มาทำงานเช่นนี้ ในเมื่อนางไม่เต็มใจ ก็ขอคุณชายเมตตาปล่อยนางไปด้วยเถิด!”
ซูจ้าวกำลังละเลียดชาอยู่ในห้องโดยสารอย่างไม่อนาทรร้อนใจ เรื่องเล็กน้อยบางอย่างสำหรับนางแล้ว หากคิดจะจัดการย่อมไม่นับว่าเป็นเรื่องยากเย็นอันใด นางเพียงแค่ไม่ใส่ใจเท่านั้น
ทว่าคำพูดที่แว่วเข้ามาจากนอกเรือทำให้หัวใจนางสั่นไหวขึ้นมาอย่างน่าประหลาด ตะลึงงันไป ค่อยๆ หันมองออกไป นัยน์ตางามกระจ่างจ้องมองไปยังร่างของหยวนกังอย่างตั้งใจ
“ฮ่าๆ…” กลุ่มชายหนุ่มทั้งสามที่ควบม้ามาอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังลั่น ในมุมมองของพวกเขาแล้ว คำพูดของหยวนกังนับเป็นเรื่องตลกอย่างยิ่ง คนเราเกิดมาร้อยพ่อพันแม่แตกต่างกันไป ใครจะกล้าพูดเรื่องมนุษย์ทุกคนเสมอภาคไม่มีแบ่งแยกสูงต่ำจนรวยกันเล่า แล้วนี่จะไม่ใช่เรื่องตลกได้อย่างไร?
“คนที่พูดแบบนี้ได้ก็มีเพียงชาวบ้านชั้นต่ำเท่านั้น!” ชายหนุ่มจ่อกาสุราชี้ไปทางหยวนกัง หัวเราะดังลั่นไม่หยุด จากนั้นก็โบกแขนตวาดใส่ “หลีกไป! จากนั้นลากตัวสาวใช้ให้เข้ามาใกล้ม้า คิดจะผลักหยวนกังออกไป”
หยวนกังพลันยื่นมือมาจับข้อมือเขาเอาไว้ บีบจนชายหนุ่มกัดฟันด้วยความเจ็บปวด ปล่อยสาวใช้ลงทันที
หยวนกังสลัดแขนของชายหนุ่มทิ้ง ยื่นมือไปดึงสาวใช้คนนั้นเข้ามา คอยคุ้มครองอยู่ข้างกายแล้วพาไปส่งที่เรือ
พอเห็นหยวนกังลงมือ พรรคพวกอีกสองคนของชายหนุ่มไหนเลยจะทนอยู่เฉยได้ ยกแส้ม้าแล้วพุ่งเข้ามาทันที เหวี่ยงแส้ฟาดใส่เต็มแรง
หยวนกังปกป้องสาวใช้คนนั้นไว้ด้านหลัง ปล่อยให้แส้ฟาดใส่ดังเพียะๆ แต่กลับไม่ตอบโต้
ชายหนุ่มที่กำลังสะบัดแขนที่ถูกบีบจนเจ็บปวดโมโหขึ้นมาแล้ว เขาพุ่งเข้ามา เหวี่ยงกาสุราในมือทุบเข้าใส่หน้าผากของหยวนกังด้วยความโกรธเกรี้ยว
กาสุราแตกกระจาย สุราสาดเต็มหน้าหยวนกัง
หยวนกังพลันเหวี่ยงแขนทุบออกไป ทว่าไม่ได้ทุบใส่อีกฝ่าย แต่กลับเหวี่ยงแขนไปทุบใส่ต้นหลิวที่ลำต้นหนาเท่าท่อนแขนที่อยู่ด้านข้างต้นหนึ่ง
โครม! เกิดเสียงดังขึ้น ลำต้นของต้นหลิวหักครึ่ง ต้นหลิวครึ่งท่อนหักร่วงลงไปทะเลสาบที่อยู่ด้านข้าง
ฉินเหมียนที่อยู่ในเรืออุทานออกมา “พละกำลังแข็งแกร่งนัก!”
ชายหนุ่มทั้งสามที่ต้องการจะลงมือต่อพลันตะลึงงัน มือที่ยกค้างอยู่ไม่กล้าขยับเขยื้อน
“อย่าบังคับให้ข้าต้องลงมือ!” หยวนกังเอ่ยอย่างเย็นชา
ในเวลานี้เอง มีเสียงฝีเท้าม้าแว่วเข้ามาเป็นพรวน คนสิบกว่าคนควบม้าเข้ามา ทั้งหมดมุ่งหน้ามาทางนี้แล้วหยุดม้าลง ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้าดูคล้ายอายุยังน้อย แต่ร่างกลับกำยำล่ำสัน ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเครา เอ่ยถามหยวนกังเสียงดังว่า “อันซยง เกิดอะไรขึ้น?”
ฉินเหมียนที่อยู่ในเรือบอกซูจ้าวว่า “ฮูเหยียนเวยมาแล้วเจ้าค่ะ!”
บุคลิกท่วงท่าของกลุ่มคนที่ควบม้าเข้ามาดูไม่ธรรมดา ดูเหมือนชายหนุ่มทั้งสามก็รู้จักเช่นกัน พอเห็นอีกฝ่ายเรียกขานเจ้าคนไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงผู้นี้เป็นสหายก็ลนลานขึ้นมาทันที ปล่อยมือที่เงื้อชูอยู่ลง ชายหนุ่มที่บังคับฉุดคร่าสาวใช้รีบประสานมือกล่าวไปว่า “คุณชายฮูเหยียน แค่เข้าใจผิดกันขอรับ เป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน!”
เมื่อดูจากการกระทำเมื่อครู่ของคนทั้งสาม อีกทั้งเห็นว่าเสื้อผ้าบนร่างหยวนกังมีรอยแส้ฟาดจนขาดวิ่น ฮูเหยียนเวยถลึงตาทันที ไหนเลยจะสนว่าเจ้าเข้าใจผิดอันใดหรือไม่ และไม่สนด้วยว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ชี้นิ้วพลางตวาดสั่ง “จัดการให้ข้าซะ ตีให้ตาย!”
…………………………………………………………………….