ตอนที่ 310 เป็นตายขึ้นอยู่กับชะตา
คนจำนวนไม่น้อยแอบรู้สึกตื่นเต้น ดูเหมือนจะได้ชมเรื่องครื้นเครงแล้วจริงๆ!
ลิ่งหูชิวและเฟิงเอินไท่กลับอกสั่นขวัญแขวนอยู่ในใจ แต่ละคนโอดครวญในใจว่า น้องชาย เจ้าอย่าได้ก่อเรื่องวุ่นวายเด็ดขาดเชียวนะ!
จิตใจหั่วเฟิ่งหวงตึงเครียดขึ้นมาแล้ว จ้องหนิวโหย่วเต้าเขม็ง
พวกฉินยงที่อยู่ในศาลามองหน้ากัน ก่อนหน้านี้หนิวโหย่วเต้าแสร้งแพ้ให้อย่างนั้นหรือ?
ทุกคนมิใช่คนโง่ ใคร่ครวญเล็กน้อยก็เข้าใจแล้ว หนิวโหย่วเต้าคิดจะแสร้งแพ้แล้วจากไป เพราะไม่อยากให้เกิดปัญหา ที่เขาทำเช่นนี้เพราะถูกคุนหลินซู่ตามตอแยจนหมดหนทางแล้ว!
เมื่อถูกดูหมิ่นต่อหน้าคนมากมาย เปลวเพลิงบนร่างคุนหลินซู่พลันลุกโหมขึ้นมา!
หนิวโหย่วเต้าไม่ยอมอ่อนข้อให้อีก เนื่องจากตอนนี้เขามองออกถึงความเย่อหยิ่งของคุนหลินซู่ผู้นี้แล้ว เขาชี้หน้าร้องด่า “ข้าอดทน ยอมถอยให้เจ้า เป็นเพราะข้าเคารพสำนักเพลิงนภา ไม่อยากล่วงเกินสำนักเพลิงนภา! ข้าเองก็รู้ตัวดีว่าไม่อาจล่วงเกินสำนักเพลิงนภาได้ ถึงได้ยอมถอยให้เจ้าครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ไม่คิดเลยว่าสำนักเพลิงนภาจะมีคนไม่รู้จักดีชั่วอย่างเจ้าอยู่ด้วย เจ้าอยากสู้อย่างนั้นหรือ? หากเจ้าคิดว่ามีสำนักเพลิงนภาหนุนหลังอยู่แล้วจะมารังแกคนอื่นเขา อย่างนั้นข้าเต็มใจยอมรับความพ่ายแพ้ แต่หากว่าเจ้ามาท้าสู้ในนามของตัวเจ้า ข้าก็พร้อมเล่นเป็นเพื่อนเจ้าทุกเมื่อ!”
คุนหลินซู่ตอบด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “ไม่เกี่ยวอะไรกับสำนักเพลิงนภาทั้งสิ้น ข้ามาท้าสู้ในนามของตัวข้า!”
หนิวโหย่วเต้าตวาดกลับด้วยน้ำเสียงโกรธเกรี้ยว “จะพิสูจน์ได้อย่างไร? จะมั่นใจได้อย่างไรว่าหากเจ้าแพ้แล้วสำนักเพลิงนภาจะไม่มาสร้างความเดือดร้อนให้ข้า? ปากเจ้าบอกว่ามาท้าสู้ในนามของตัวเจ้า แต่ความจริงแล้วเบื้องหลังกลับมีสำนักเพลิงนภาคอยยืนกดดันข้าอยู่ หากเจ้าแพ้ ศิษย์ร่วมสำนักของเจ้าย่อมโผล่หน้ามาไม่ขาดสายแน่ นี่มันท้าสู้ส่วนตัวแบบไหนกัน? แบบนี้เรียกว่ายุติธรรมอย่างนั้นเหรอ? ข้ายอมให้เจ้าชนะแล้วก็ยังไม่พอเหรอ? รู้ทั้งรู้ว่าข้าไม่กล้าล่วงเกินสำนักเพลิงนภา แล้วยังมาบอกให้สู้เต็มที่ ซ้ำยังสั่งให้ข้าแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมา เสแสร้งวางท่าถึงเพียงนี้ ข้าเคยเห็นคนไร้ยางอายมามาก แต่ไม่เคยเห็นผู้ใดไร้ยางอายเท่าเจ้ามาก่อน เจ้าลองให้คนในใต้หล้ามาตัดสินดูสิว่าแบบนี้มันสมเหตุสมผลแล้วหรือ!”
ถ้อยคำเสียดแทงใจเหล่านี้ทำเอาคุนหลินซู่โมโหจนตัวสั่น แต่คำพูดของอีกฝ่ายมีเหตุผล ทำให้เขาไร้ถ้อยคำจะโต้แย้ง
ภายใต้ความโกรธเกรี้ยว คุนหลินซู่พลันตวัดแขนคราหนึ่ง เพลิงร้อนแรงบนร่างสลายหายไปในทันใด เขาหันขวับไปทันที “ให้ทุกคนในที่นี้เป็นพยาน และขอเรียนเชิญศิษย์แห่งสำนักมหาบรรพตและสำนักศาสตราลึกล้ำร่วมเป็นพยานด้วย ครั้งนี้ข้ามาท้าสู้หนิวโหย่วเต้าในนามของตัวข้า ไม่ว่ามีชัยหรือพ่ายแพ้ล้วนไม่เกี่ยวข้องกับสำนักเพลิงนภา!”
จากนั้นหันกลับไปชี้หน้าหนิวโหย่วเต้าพลางกล่าวว่า “เช่นนี้เจ้าพอใจหรือยัง?”
หนิวโหย่วเต้าถาม “ศิษย์แห่งสำนักมหาบรรพตและสำนักศาสตราลึกล้ำยินดีรับรองในนามตัวแทนของทั้งสองสำนักหรือไม่?”
ศิษย์จากสองสำนักที่อยู่ภายในศาลามองหน้ากันไปมา ล้วนกำลังโอดครวญอยู่ในใจทั้งสิ้น ให้พวกเรามารับรองเรื่องนี้จะดีหรือ? ซ้ำยังเป็นตัวแทนของสองสำนักอีกอย่างนั้นหรือ? หากเกิดเรื่องขึ้นกับคุนหลินซู่ แล้วสำนักเพลิงนภาออกหน้าให้เขา แบบนั้นไม่เท่ากับทำให้คนที่รับรองอย่างพวกเขาสองสำนักต้องเสียหน้าหรอกหรือ?
บางคนถึงขั้นที่คิดอยู่ในใจว่าสังหารหนิวโหย่วเต้าทิ้งไปเสียก็จบเรื่องแล้ว ไยต้องวุ่นวายเช่นนี้ด้วย ซ้ำยังลากพวกเราเข้าไปพัวพันอีก ความเย่อหยิ่งถือดีของคุนหลินซู่ผู้นี้ช่างทำให้คนเหลือรับนัก!
หั่วเฟิ่งหวงเอ่ยด้วยสีหน้าลำบากใจ “ศิษย์พี่ ท่านปล่อยเขาไปดีหรือไม่?”
ฉินยงนวดหน้าผากเล็กน้อย “คุนหลินซู่ ช่างเถอะ ไยต้องถือสาหาความกับคนเช่นนี้ด้วย”
การที่ทั้งสองเอ่ยเช่นนี้ออกมาเสมือนว่ากำลังด้อยค่าตัวเขาอยู่อย่างไรอย่างนั้น ทำให้คุนหลินซู่โกรธเกรี้ยวเป็นยิ่งนัก หรือจะมิใช่แค่ในสายตาของฮ่องเต้เท่านั้น แต่ในสายตาของทุกคนล้วนมองว่าตนไร้ความสามารถถึงเพียงนั้นอย่างนั้นหรือ?
หนิวโหย่วเต้าชี้เข้าไปในศาลา “เจ้าเองก็เห็นแล้ว ไม่มีผู้ใดยินดีเป็นพยานให้ นี่เป็นการอาศัยอิทธิพลข่มเหงคนอื่นชัดๆ ในเมื่อเป็นการต่อสู้ที่ไม่ยุติธรรมแล้วจะสู้กันไปเพื่ออะไร? ข้ายอมแพ้ นับว่าเจ้าชนะไปเลย!”
คุนหลินซู่หันกลับไปอีกครั้ง เอ่ยว่า “ข้าเอ่ยไปชัดเจนแล้ว นี่คือเรื่องส่วนตัวของข้า ไม่เกี่ยวข้องกับสำนักเพลิงนภา ไม่ต้องการให้พวกท่านมารับผิดชอบอะไร เพียงอยากให้พวกท่านมาเป็นพยานเพื่อความยุติธรรมเท่านั้น ไม่มีอะไรที่ไม่เหมาะสมเลย! พี่ฉิน พี่หู หรือว่าพวกท่านดูแคลนสำนักเพลิงนภาเรา คิดว่าสำนักเพลิงนภาเราพูดจาไร้สัจจะ?”
พี่ฉินที่กล่าวถึงคือฉินยงแห่งสำนักมหาบรรพต ส่วนพี่หูหมายถึงหูเทียนหานแห่งสำนักศาสตราลึกล้ำ
แม้แต่คำว่าดูแคลนก็ยังกล่าวออกมาได้ ทั้งสองคนสบตากันเล็กน้อย จนปัญญาอย่างยิ่ง หูเทียนหานหันไปถามหั่วเฟิ่งหวง “หั่วเฟิ่งหวง ตอนนี้คุนหลินซู่วู่วามขาดสติ เขาคือศิษย์พี่ของเจ้า ทั้งยังเป็นคู่หมั้นของเจ้าด้วย ในนามของสำนักเพลิงนภา เจ้าแสดงความเห็นออกมาก่อนแล้วกัน! หากเจ้ายินยอม พวกเราก็จะเป็นพยานให้ หากเจ้าไม่ตอบตกลง เช่นนั้นพวกเราก็ไม่สะดวกจะเป็นพยานในเรื่องนี้”
คู่หมั้นหรือ? หนิวโหย่วเต้ามองไปทางหั่วเฟิ่งหวง
มีละอองฝนโปรยปรายลงมาจากบนท้องฟ้า คุนหลินซู่ยืนอยู่กลางสายฝน มองศิษย์น้องหญิงของตน
หั่วเฟิ่งหวงกัดริมฝีปากเงียบงัน ไม่ยอมเอ่ยปากออกมา เรื่องที่หนิวโหย่วเต้าสังหารจั๋วเชาทำให้ในใจนางเป็นกังวลอย่างยิ่ง อีกอย่างทั้งสองก็หมั้นหมายกันแล้ว นางไม่อยากให้เกิดเหตุอันใดขึ้นกับศิษย์พี่
คุนหลินซู่ขยับเท้าค่อยๆ เดินเข้าไปในศาลา ไปหยุดอยู่ตรงหน้าหั่วเฟิ่งหวงพลางเอ่ยเรียก “ศิษย์น้อง!”
หั่วเฟิ่งหวงก้มหน้าลง ไม่ยอมเผชิญหน้าและไม่ยอมตอบตกลงในเรื่องนี้
หูเทียนหานกระแอมคราหนึ่ง เอ่ยว่า “ข้าว่าเรื่องนี้ให้แล้วกันไปเถิด ทุกคนแยกย้ายกันไปแล้วกัน!” ว่าพลางหันหลังเตรียมจากไป ไม่อยากเข้าไปเกี่ยวข้องกับเรื่องไร้สาระเช่นนี้
คุนหลินซู่ร้อนใจขึ้นมาเล็กน้อย เอ่ยคำพูดรุนแรงออกมาทันที “ศิษย์น้องมิได้มีใจเป็นหนึ่งเดียวกับข้าหรือ?”
หั่วเฟิ่งหวงเงยหน้าขึ้นมาทันที สบตากับเขา ขอบตาแดงเรื่อ มีน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมา ใบหน้าค่อยๆ เผยรอยยิ้มฝืดฝืนพลางเอ่ยว่า “ก็ได้ ข้าเห็นด้วย!”
หัวใจของคุนหลินซู่พลันเต้นรัวขึ้นมา จากนั้นหันไปเอ่ยเรียกคนของสองสำนักทันที “พี่หู พี่ฉิน!”
ฉินยงและหูเทียนหานจนปัญญาอย่างยิ่ง หูเทียนหานเอ่ยถามว่า “ฉินซยง ท่านมีความเห็นเช่นไร?”
ฉินยงถอนใจเอ่ยไปว่า “ในเมื่อสำนักเพลิงนภายืนกรานเช่นนี้ อย่างนั้นพวกเราก็ว่าตามพวกเขาแล้วกัน!”
“ตกลง!” หูเทียนหานพยักหน้ารับ มองหนิวโหย่วเต้าที่อยู่ด้านนอก ตะโกนบอก “หนิวโหย่วเต้า เจ้าได้ยินหมดแล้วกระมัง?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “สองสำนักไว้หน้าเขาขนาดนี้ ตอนนี้ข้าชักกังวลขึ้นมาแล้ว หากข้าเอาชนะได้ สองสำนักคงไม่มาหาเรื่องข้าแทนเขาใช่หรือไม่?”
หูเทียนหานโมโหขึ้นมา “ไอ้เด็กนี่ไปเอาคำพูดไร้สาระมาจากไหนมากมายนัก ไม่กล้าสู้ก็บอกว่าไม่กล้าสู้สิ หาข้ออ้างให้น้อยๆ หน่อย พวกเราจำเป็นต้องออกหน้าให้เขาด้วยหรือ?”
หนิวโหย่วเต้ากล่าวว่า “ข้าสามารถยึดเอาคำพูดประโยคนี้เป็นการรับรองจากสองสำนักได้หรือไม่?” สายตามองตรงไปที่ฉินยง
ฉินยงหรี่ตาลงเล็กน้อย เหตุใดถึงรู้สึกว่าเจ้านี่กำลังปูทางอย่างระมัดระวังทุกฝีก้าวอยู่กันนะ ราวกับกำลังตัดหนทางรอดของคุนหลินซู่และเตรียมทางหนีทีไล่ไว้ให้ตัวเองอยู่ นี่คิดจะลงมือกับคุนหลินซู่อย่างโหดเหี้ยม หรือว่ามีแผนการอื่นซ่อนอยู่ด้วย?
หูเทียนหานโบกมือทันที “เจ้าวางใจเถอะ สำนักศาสตราลึกล้ำของเราไม่มีทางเข้าไปยุ่งกับเรื่องไร้สาระของพวกเจ้า ไม่มีทางออกหน้าแทนเขา เจ้าอยากสู้ก็สู้เลย!”
ฉินยงเหลือบมองเขาเล็กน้อย เอ่ยเนิบๆ ว่า “เงื่อนไขสำคัญคือห้ามไม่ให้เจ้าก่อปัญหาวุ่นวายขึ้นในแคว้นฉี!” นี่นับเป็นการตกลงรับรอง แล้วก็ยังนับเป็นการช่วยอุดช่องโหว่ให้คำพูดของหูเทียนหานด้วย หากกล้าก่อเรื่องวุ่นวายขึ้นในเขตแคว้นฉี สุดท้ายสำนักมหาบรรพตก็จะลงมือจัดการเขาอยู่ดี
คุนหลินซู่หันหลังเดินออกมาจากศาลา มาเผชิญหน้ากับหนิวโหย่วเต้าอีกครั้ง “ตอนนี้เจ้าคงแสดงฝีมือที่แท้จริงออกมาได้แล้วกระมัง?”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยว่า “ข้าลงมือไม่มีคำว่าหนักเบาหรอกนะ!” จากนั้นก็ค่อยๆ หันกลับไปมองลิ่งหูชิวและเฟิงเอินไท่ “พี่ใหญ่ พี่รอง เป็นตายขึ้นอยู่กับชะตา มีชัยหรือพ่ายแพ้ขึ้นอยู่กับสวรรค์ หากข้าสิ้นชีพด้วยน้ำมือของอีกฝ่าย โปรดช่วยทำศพด้วย แต่ไม่จำเป็นต้องล้างแค้นให้ข้า!”
เฟิงเอินไท่และลิ่งหูชิวพูดไม่ออก พวกข้าจะไปล้างแค้นให้เจ้าทำไม? ล้อเล่นอะไรอยู่? พวกข้ามีปัญญาขนาดนั้นเสียที่ไหนเล่า?
ทว่าเปลือกตาของฉินยงกลับกระตุกเล็กน้อย ยิ่งตระหนักได้ถึงเจตนาสังหารที่แฝงอยู่ในวาจาของหนิวโหย่วเต้ามากขึ้นกว่าเดิม รับรู้ได้ว่าหนิวโหย่วเต้าได้ตัดเส้นทางรอดของคุนหลินซู่แล้ว กังวลว่าคุนหลิงซู่จะตกหลุมพรางเข้าแล้ว
ทว่ากลัวอะไรก็มักจะได้อย่างนั้น แล้วก็เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ คุนหลิงซู่เองก็ประกาศกร้าวขึ้นมาเช่นกัน “เรื่องราวระหว่างข้าและหนิวโหย่วเต้าในครานี้ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสำนักเพลิงนภา เป็นตายขึ้นอยู่กับชะตา มีชัยหรือพ่ายแพ้ขึ้นอยู่กับสวรรค์!”
เหตุใดการท้าประลองถึงกลายเป็นศึกตัดสินเป็นตายได้เล่า? หั่วเฟิ่งหวงพลันตระหนักถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ร้องเรียกในทันที “ศิษย์พี่…”
แต่คุนหลินซู่รอมานาน กระหายการต่อสู้อยู่นานแล้ว ไม่ยอมฟังคำเกลี้ยกล่อมใดๆ อีก แขนทั้งสองข้างพลันกางออก เปลวเพลิงลุกโหมท่วมร่างอีกครั้ง หยาดพิรุณที่โปรยปรายลงมาจากท้องนภาพลันระเหยกลายเป็นไอหมอกเมื่อเข้าใกล้ เขาตะโกนบอก “หยิบอาวุธของเจ้าเสีย จะได้ไม่บอกว่าข้ารังแกคนไร้ทางสู้!”
หนิวโหย่วเต้าเอ่ยด้วยสีหน้าเหยียดหยาม “อย่างเจ้าน่ะหรือ? จัดการกับคนอวดดีไร้ยางอายอย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธเลย!”
คุนหลินซู่โกรธเกรี้ยว ไม่เกรงใจแล้วเช่นกัน ตวัดแขนส่งมังกรเพลิงตัวหนึ่งพุ่งโจมตีใส่หนิวโหย่วเต้า
หนิวโหย่วเต้าดีดตัวขึ้นไปบนอากาศ หลบหลีกมังกรเพลิงที่พุ่งเข้ามายังใต้เท้า ร่างกายพุ่งทะยานขึ้นสู่ท้องนภา พุ่งขึ้นไปสูงสิบกว่าจั้งภายในชั่วพริบตาเดียว
มังกรเพลิงวกกลับ คุนหลินซู่ที่มีเพลิงลุกท่วมร่างก็ทะยานขึ้นไปบนฟ้าเช่นกัน ไล่ตามหนิวโหย่วเต้าที่อยู่กลางอากาศเหมือนดาวตกที่ลุกไหม้
หนิวโหย่วเต้าที่เหินทะยานขึ้นสู่ท้องนภาสิ้นแรงดีดตัวแล้ว ร่างกายพลิกกลับ หัวอยู่ล่างเท้าอยู่บน กางแขนทั้งสองข้างออกเพื่อปรับสมดุลคุมทิศทาง พุ่งดิ่งลงไปทางคุนหลินซู่ที่ทะยานขึ้นมา
คุนหลินซู่ที่ทะยานขึ้นมาตวัดวาดแขนทั้งสองข้างอย่างต่อเนื่อง มังกรเพลิงสายแล้วสายเล่าพุ่งออกมาจากร่าง ดูคล้ายแมงมุมยักษ์ที่มีขายาวมากมายงอกออกมาอย่างไรอย่างนั้น มังกรเพลิงสายแล้วสายเล่าพุ่งเข้าโจมตีหนิวโหย่วเต้า
ภาพเหตุการณ์นี้น่าอัศจรรย์ตระการตา คนจำนวนไม่น้อยลอบอุทานอยู่ในใจ สำนักเพลิงนภาไม่ธรรมดาจริงๆ ด้วย!
ในใจของลิ่งหูชิวและเฟิงเอินไท่แอบนึกเป็นห่วงหนิวโหย่วเต้า คุนหลินซู่บอกว่าไม่ใช้อาวุธ แต่ทั้งตัวเขากลับเป็นอาวุธชั้นดี หนิวโหย่วในยามนี้ดูเหมือนจะหลบเลี่ยงไม่พ้นแล้ว!
คนส่วนใหญ่คิดว่าหนิวโหย่วเต้าวางกลยุทธ์การต่อสู้ผิดพลาดเสียแล้ว ไม่ควรพุ่งขึ้นไปบนอากาศเลย ร่างกายคนเราพออยู่กลางอากาศแล้วจะมีตัวเลือกในการหลบหลีกน้อยลงยิ่งกว่าเดิม
คนที่อยู่ในศาลาต่างพุ่งตัวออกมากันหมด ล้วนเงยหน้ามองดูการต่อสู้กลางอากาศ
มังกรเพลิงสายหนึ่งพุ่งเข้ามา ทว่าหนิวโหย่วเต้ากลับไม่หลบหลีก หากแต่ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกไป ฟาดเข้าใส่มังกรเพลิง ในชั่วพริบตานี้เอง เปลวเพลิงได้เข้าปกคลุมร่าง เพลิงร้อนแรงลุกท่วมทั่วร่างของเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า
ในใจของทุกคนที่แหงนหน้ามองจากด้านล่างล้วนตะโกนแทนหนิวโหย่วเต้าว่าแย่แล้ว!
ทว่าความกังวลของทุกคนกลับเกินความจำเป็นไปเสียแล้ว เดิมทีเคล็ดวิชามหาจักรวาลก็เป็นศาสตร์การรักษาสมดุลหยินหยางอยู่แล้ว หนิวโหย่วเต้าจึงไม่เกรงกลัวเปลวเพลิงแม้แต่น้อย มิเช่นนั้นไหนเลยจะกล้าเอ่ยถึงศึกตัดสินเป็นตายได้!
สำหรับหนิวโหย่วเต้าแล้ว สิ่งที่เป็นภัยคุกคามที่แท้จริงหาใช่เพลิงร้อนแรงไม่ หากแต่เป็นพลังโจมตีของคุนหลิงซู่ที่แฝงมากับเปลวเพลิง
ดังนั้นจึงไม่ปรากฏเหตุการณ์เปลวเพลิงแผดเผาร่างกายขึ้น เนื่องจากเมื่อมังกรเพลิงกระทบเข้ากับฝ่ามือของหนิวโหย่วเต้า มันก็ไหลผ่านไปทั่วร่างเขาทันที ไหลลงไปสู่ปลายเท้าแล้วแผ่กระจายออกไปรอบทิศเสมือนดอกไม้ไฟ ราวกับมีบุปผาเพลิงเบ่งบานขึ้นที่ใต้ฝ่าเท้าของเขา จากนั้นสลายหายไปอย่างเงียบงัน
มังกรเพลิงสายแล้วสายเล่าที่โจมตีใส่หนิวโหย่วเต้า บุปผาเพลิงดอกแล้วดอกเล่าเบ่งบานขึ้นกลางอากาศ ภาพอันน่าอัศจรรย์นี้ขับเน้นแต่งแต้มให้ท้องนภาที่เต็มไปด้วยเมฆาครึ้มปกคลุมดูงดงามตระการตา
คุนหลินซู่ตกใจเป็นอย่างมาก เดิมทีเปลวเพลิงอยู่ภายใต้การควบคุมของเขา แต่เขากลับสังเกตเห็นว่าทันทีที่เปลวเพลิงกระทบเข้ากับร่างหนิวโหย่วเต้า พลังที่แฝงอยู่ในเปลวเพลิงพลันสลายหายไปทันที เปลวเพลิงหลุดพ้นจากการควบคุมของเขาไป
หั่วเฟิ่งหวงที่ชมการต่อสู้อยู่หน้าเปลี่ยนสีในทันใด ฉินยงเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “แย่แล้ว วิชาเพลิงนภาของสำนักเพลิงนภาไม่มีผลกับเจ้านี่เลย!”
การเปลี่ยนแปลงในชั่วพริบตาเกิดขึ้นรวดเร็วเป็นอย่างมาก ความเร็วในการสำแดงกระบวนท่าของทั้งสองก็รวดเร็วเช่นกัน กว่าทุกคนจะได้สติขึ้นมา คนทั้งสองที่คนหนึ่งอยู่ด้านบนอีกคนอยู่ด้านล่างก็พุ่งเข้าปะทะกันซึ่งๆ หน้าแล้ว
หนิวโหย่วเต้าพุ่งลงไปหาคุนหลินซู่ที่มีเพลิงลุกท่วมร่าง ซัดฝ่ามือมหาจักรวาลออกไปอย่างเกรี้ยวกราด!
คุนหลินซู่หลบไม่พ้น ถูกหนิวโหย่วเต้าเข้าประชิดตัว สถานการณ์จวนตัวไม่มีทางเลือกมากนัก เขาจึงโคจรพลังทั้งหมดในร่าง ทุ่มพลังทั้งหมดซัดฝ่ามือออกไป ฝ่ามือของทั้งสองปะทะกันตรงๆ!
ตูม! เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นกลางอากาศ เปลวเพลิงที่อยู่บนร่างคุนหลินซู่กระจายตัวออกไปในอากาศดั่งเกลียวคลื่น ดูคล้ายกงจักรเพลิงที่หมุนคว้างออกไปวงแล้ววางเล่า
เปลวเพลิงขนาดใหญ่ถูกกระแทกจนกระจายตัวออกไปเสมือนกงจักรเพลิงก่อน จากนั้นกงจักรเพลิงก็แตกกระจายกลายเป็นสะเก็ดไฟมากมาย ก่อนจะสลายหายไปในอากาศ ดูงดงามน่าตื่นตาเป็นอย่างยิ่ง
………………………………………………………………………..