ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า – ตอนที่ 353 ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า - ตอนที่ 353 ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

ตอนที่ 353 ไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม

บนผืนแผ่นดินกว้างไพศาล เห็นชัดเจนว่าม่านรัตติกาลมาเยือนแล้ว ทว่าร่างของเหล่าศิษย์จากสามสำนักที่โดยสารวิหคยักษ์ทั้งห้าโบยบินอยู่บนนภาสูงกลับยังคงอาบไล้ด้วยแสงตะวันสดใสอยู่ที่ปลายขอบฟ้า ผืนดินที่อยู่ด้านล่างแทบจะถูกความมืดปกคลุมไปกว่าครึ่ง

ปีกทองตัวหนึ่งบินอยู่ด้านหน้า วิหคทั้งห้าบินตามหลังมาห่างๆ

เทือกเขาคดเคี้ยวทอดยาวอีกสายปรากฏขึ้นมา ราวกลับมังกรยักษ์ตัวหนึ่งที่ทอดตัวหลับไหลอยู่บนพื้น

“ข้างล่าง!” จู่ๆ ศิษย์จากสำนักศาสตราลึกล้ำคนหนึ่งก็ตะโกนเตือนขึ้นมา ทุกคนมองลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว

เงาดำหลายสายโผทะยานออกมาจากเทือกเขาด้านล่าง เด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ เป็นวิหคยักษ์ห้าตัวเช่นกัน พุ่งเข้ามาจู่โจม บนร่างของวิหคยักษ์แต่ละตัวล้วนมีคนชุดดำโพกหน้าอยู่สามคน รวมเป็นสิบห้าคนเท่ากัน!

“นั่นใคร!” หนึ่งในกลุ่มศิษย์สามสำนักตะโกนกร้าว!

วิหคทั้งห้าพุ่งโฉบขึ้นมาในแนวทแยง คนโพกหน้าทั้งหมดต่างยกมือขึ้นมา เผยให้เห็นธนูคันใหญ่เทอะทะ แต่ละคนหยิบลูกศรสามดอกออกมาจากกระบอกลูกศรที่สะพายไว้ด้านหลัง ขึ้นสายธนูพร้อมกัน น้าวยิงอย่างรวดเร็ว!

ไม่ทราบเช่นกันสายธนูสีดำที่ดูเหมือนเชือกเส้นหนาสร้างขึ้นจากวัสดุใด วินาทีที่น้าวสายมีไอหมอกจางๆ แผ่ออกมาปกคลุม

ฟุบๆๆ! ลูกศรสิบห้าดอกพุ่งเข้ามาพร้อมกัน

เหล่าศิษย์จากสามสำนักต่างโคจรพลัง หมายจะทำการป้องกัน แต่จู่ๆ ลูกศรสิบห้าดอกที่พุ่งเข้ามากลับสลายตัวไปดั่งโคลนที่ละลายเมื่อตกลงไปในน้ำ

จู่ๆ ลูกศรสิบห้าดอกนั้นก็สลายตัวไปกลางอากาศ โดยเริ่มจากส่วนหัวลูกศร

จากหัวไปจนถึงปลายลูกศร จู่ๆ ก็สลายตัวไปเหมือนดั่งหมอกควัน

ไม่นานเหล่าศิษย์สามสำนักก็รู้ตัว ไม่ใช่ว่าสลายตัวไป หากแต่เป็นการแตกตัวต่างหาก ลูกศรทุกดอกแตกตัวออกเป็นเข็มเล็กบางดั่งเส้นขนวัวจำนวนนับไม่ถ้วน!

ลูกศรสิบห้าดอกกลายเป็นห่าเข็มปกคลุมเข้ามา!

“ศรทะลวงสวรรค์ ระวัง!” ใครบางคนในกลุ่มศิษย์สามสำนักอุทานขึ้นมาด้วยความตกใจ

เข็มขนาดเล็กจำนวนนับไม่ถ้วนนั้นถูกสร้างขึ้นเป็นพิศษ ขอเพียงออกแรงยิงด้วยกำลังที่มากพอ เข็มที่เรียวบางและแหลมคมจะสามารถเจาะทะลวงปราณคุ้มกายได้ สกัดต้านไม่อยู่!

หากนำศรทะลวงสวรรค์มาใช้การลอบโจมตีจะมีผลลัพธ์รุนแรงอย่างยิ่ง แต่ก็ขั้นตอนการผลิตก็ยากลำบากเป็นอย่างมาก

ศรทะลวงสววรรค์แค่ดอกเดียวก็นับว่าหาได้ยากแล้ว ต่อให้หลับฝันเหล่าศิษย์สามสำนักก็ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีคนนำศรทะลวงสวรรค์สิบห้าดอกมาโจมตีใส่พวกเขาในคราวเดียว!

กระทั่งเข็มขนาดเล็กเข้ามาใกล้จนเห็นได้ชัด จนรับรู้ได้แล้วว่าเป็นสิ่งใดกันแน่ แต่มันก็สายเกินกว่าจะป้องกันได้แล้ว

ห่าเข็มจำนวนมหาศาลถาโถมปกคลุมเข้ามา เหล่าศิษย์สามสำนักพยายามยกอาวุธปัดป้องสุดชีวิต แต่ก็ไม่สามารถสกัดต้านได้ทั้งหมด

“อึก…”

“อ๊าก…”

เข็มขนาดเล็กนับร้อยทิ่มทะลุเข้าไปในร่างคน เกิดเสียงร้องโหยหวนแว่วดังขึ้นมา!

บางคนด้วยความลนลานจึงพลาดถูกโจมตีเข้าที่ดวงตาทั้งสอง ใบหน้ามีเข็มบางๆ ปักอยู่ เลือดไหลออกมาจากสองตา ร้องโหยหวนน่าเวทนา!

เกิดเสียงโลหะแว่วกระทบกัน ศิษย์ของสำนักศาสตราลึกล้ำควบคุมแผ่นเกล็ดก่อตัวเป็นโล่กำบังขวางกั้นไว้ โล่ถูกเข็มกระทบจนปรากฏสะเก็ดไฟกระจายไปทั่ว

ถึงจะป้องกันอันตรายเอาไว้ได้ แต่การตอบสนองยังคงค่อนข้างจวนตัว บนร่างจึงยังมีเข็มขนาดเล็กทิ่มแทงปักเข้าไปบ้างไม่มากก็น้อย

“แกว่ก…” วิหคทั้งห้าส่งเสียงโหยหวนขึ้นมากลางอากาศ กระทั่งเหล่าศิษย์สามสำนักยังเอาตัวไม่รอด สถานการณ์ของพวกมันจะเป็นอย่างไร เพียงแค่คิดดูก็รู้แล้ว

วิหคทั้งห้าตัวโดนโจมตีเข้าไปเต็มๆ บินสะเปะสะปะกลางอากาศ!

ศิษย์สิบห้าคนจากสามสำนักดีดตัวขึ้นไปอย่างรวดเร็ว นอกจากศิษย์ที่ตาบอดไปแล้วคนนั้นที่โคจรปราณเหินทะยานมุ่งสู่พื้น ที่เหลือล้วนมุ่งหน้าเข้าโจมตีศัตรูพร้อมกัน

ถึงแม้ศรทะลวงสวรรค์จะร้ายกาจเป็นอย่างมาก แต่มันก็มีจุดอ่อนอยู่ นั่นก็คือพลังทำลายล้างไม่รุนแรง!

เนื่องจากเข็มมีขนาดเล็กบางเกินไป พลังทำลายล้างจึงมีกำจัด ไม่เหมือนดาบกระบี่ที่ฟันเพียงเล็กน้อยก็ปลิดชีพได้!

ทันทีที่เข็มทิ่มเข้าสู่ร่างของพวกเขา มันก็ถูกพวกเขาโคจรลมปราณในร่างสกัดเอาไว้ ก่อนจะใช้พลังพ่นเข็มย้อนออกไปอีกครั้ง

ทว่าหลังจากลงมือเสร็จ คนโพกหน้าที่มาลอบโจมตีเหล่านั้นก็ควบคุมวิหคยักษ์หันเหเบี่ยงทิศทางไป ไม่ได้เข้าต่อสู้พัวพันกับเหล่าศิษย์สามสำนัก

“มีพิษ!” ศิษย์คนหนึ่งของสำนักเพลิงนภาตะโกนด้วยความตกใจ บริเวณใบหน้าของเขาที่ถูกเข็มทิ่มจนกลายเป็นจุดสีแดงเล็กจิ๋วได้เปลี่ยนเป็นสีดำแล้ว จุดดำขยายลุกลามไปบนใบหน้าอย่างรวดเร็ว

คนอื่นๆ ก็รับรู้ได้เช่นกันว่าเข็มอาบยาพิษไว้ จุดที่โดนเข็มเริ่มรู้สึกชาขึ้นมา ความรู้สึกชาแผ่ลามไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว

นี่เป็นเรื่องร้ายแรงถึงชีวิตอย่างแท้จริง!

ไหนเลยจะยังมีใจตามไล่ล่าอีก รักษาชีวิตให้รอดได้ก็นับว่าดีมากแล้ว เหล่าศิษย์สามสำนักรีบร่อนถลาลงสู่พื้นอย่างรวดเร็ว

พอพวกเขาลงมาถึงพื้น แต่ละคนก็ส่ายโงนเงน ซวนเซล้มลุกคลุกคลาน

ส่วนคนที่ถูกเข็มโจมตีไปค่อนข้าเยอะ แค่จะร่อนลงพื้นแบบปกติก็ยังทำไม่ได้เลย ยามที่ใกล้จะแตะถึงพื้นกลับล้มกระแทกพื้นไป เนื้อตัวฟกช้ำอาบเลือด

วิหคห้าตัวสยายปีกพุ่งโฉบลงมาจากด้านบน เงาร่างมนุษย์สิบห้าคนพุ่งออกมา ปราณกระบี่ทรงพลังสายแล้วสายเล่าถูกซัดออกมา

เหล่าศิษย์สามสำนักบ้างก็ศีรษะกระเด็นหลุดลอยไป บ้างก็ถูกแยกร่างในแนวทแยง บ้างก็ถูกฟันจนตัวขาดครึ่ง โลหิตสาดกระเซ็นไปทั่ว

ราวกับเศษฟางที่ล้มลง ไร้ซึ่งกำลังจะตอบโต้ แต่ละคนนอนจมอยู่ท่ามกลางกองโลหิต

ปัง! กรงนกที่อยู่ในมือใครบางคนหล่นร่วงสู่พื้น แตกกระจายย่อยยับ ปีกทองหลายตัวที่อยู่ด้านในถูกปราณกระบี่ทรงพลังสายหนึ่งฟาดฟันจนแหลกเป็นเศษเนื้อ

ก่อนสิ้นใจตายมีศิษย์บางคนเปิดกรงปีกทองที่สะพายไว้ด้านหลังออก ปล่อยปีกทองหลายตัวที่อยู่ด้านในให้บินออกไป

ปราณกระบี่หลายสายพุ่งแหวกอากาศโจมตีสังหารจนโลหิตสาดกระเซ็นเป็นหย่อมๆ อยู่กลางอากาศ ขนนกปลิวว่อน

เหล่าศิษย์สามสำนักใหญ่จำนวนสิบห้าคนล้วนถูกสังหารจนสิ้น ไม่รอดแม้แต่คนเดียว!

ปีกทองสื่อสารที่พกติดตัวมาก็หนีไม่รอดแม้แต่ตัวเดียวเช่นกัน!

คนโพกหน้าทั้งสิบห้าคนพุ่งตัวเข้ามาอย่างรวดเร็ว รวมตัวกันแล้วพยักหน้าให้กันเล็กน้อย

มีคนหนึ่งเงยหน้าผิวปาก วิหคห้าตัวที่บินวนเวียนอยู่ในความมืดของรัตติกาลบินโฉบลงมาบนพื้นอย่างรวดเร็ว เรียงแถวหน้ากระดาน บินเลียดขนานพื้นเข้าไปหาทั้งสิบห้าคน

ขณะที่เข้ามาใกล้ ทั้งสิบห้าคนก็ย่อตัวกระโดดขึ้นไป แยกกันขึ้นไปบนร่างของวิหคยักษ์ทั้งห้าตัว

วิหคยักษ์ทั้งห้าเป็นเหมือนดั่งพายุที่พัดกวาดผ่านพื้นดิน สบายปีกบินโผขึ้นไป บรรทุกคนโพกหน้าสิบห้าคนหายลับไปในความมืดมิดยามราตรีอย่างรวดเร็ว

….

ยามรุ่งสาง ภายในวังหลวง

เฮ่าอวิ๋นถูตื่นแต่เช้า ล้างหน้าผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ สวมเสื้อคลุมเตรียมออกว่าราชกิจยามเช้า

ปู้สวินเดินเข้าไปในห้อง กระทั่งขันทีที่ช่วยปรนนิบัติถอยออกแล้ว เขาถึงเข้ามาช่วยจัดแจงอาภรณ์ให้เฮ่าอวิ๋นถูด้วยตัวเอง พร้อมรายงานว่า “ศิษย์สิบห้าคนที่สามสำนักใหญ่ส่งออกไปตามล่าสังหารล้วนขาดการติดต่อไปทั้งหมดพ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่าอวิ๋นถูมองไปที่เขา “เมื่อวานก็ยังส่งข่าวกลับมาบอกว่าจัดการได้สำเร็จครั้งหนึ่งแล้วไม่ใช่เหรอ?”

ปู้สวินกล่าวว่า “มีข่าวส่งกลับมาแค่ครั้งนั้นครั้งเดียวพ่ะย่ะค่ะ บอกว่ากำลังตามรอยเบาะแสไป หลังจากนั้นก็ไม่มีข่าวส่งกลับมาอีก สามสำนักร่วมมือกันออกทำภารกิจ กำหนดให้ส่งข่าวกลับมาทุกๆ สามชั่วยาม กล่าวก็คือทุกหนึ่งชั่วยามแต่ละสำนักจะได้รับข่าวพ่ะย่ะค่ะ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีการติดต่อกลับมาเลย”

เฮ่าอวิ๋นถูถาม “เกิดปัญหาขึ้นหรือ?”

ปู้สวินตอบว่า “มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเกิดเรื่องขึ้นพ่ะย่ะค่ะ สามสำนักใหญ่ส่งคนออกไปสืบหาเบาะแสตามเส้นทางนั้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ! แล้วก็ยังมีเชลยห้าคนที่สามสำนักใหญ่จับตัวเอาไว้ได้ คนที่สามสำนักใหญ่ส่งไปรับตัวห้าคนนั้นกลับมาก็ขาดการติดต่อไปเช่นกัน คาดว่าน่าจะเกิดเรื่องแล้ว เกรงว่าห้าคนนั้นคงถูกชิงตัวไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ!”

เฮ่าอวิ๋นถูใช้สองมือดึงสายคาดเอว เอ่ยด้วยเสียงเย็นชา “หอจันทร์กระจ่าง! ข้าดูถูกพวกเขาไปจริงๆ!”

ปู้สวินเอ่ยว่า “เกรงว่าครานี้สามสำนักคงค่อนข้างเดือดดาลเช่นกันพ่ะย่ะค่ะ จะให้แจ้งเรื่องสายลับในเรือนเมฆาขาวให้พวกเขาทราบหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”

เฮ่าอวิ๋นถูปรายตามองเขาอย่างเฉยเมย “จำเป็นต้องทำเช่นนั้นหรือ? มอบคนให้พวกเขา ข้าจะได้ประโยชน์อะไร? แค่ช่วยให้พวกเขาได้ล้างแค้นอย่างนั้นหรือ? เราจำเป็นต้องเก็บไพ่ตายเอาไว้ในมือบ้าง อย่าได้ยกทุกอย่างให้พวกเขาไปเสียหมด ต่อให้ข้าบอกพวกเขาไปตอนนี้ เจ้าคิดหรือว่าพวกเขาจะซึ้งในน้ำใจของเจ้าและมองเจ้าในแง่ดี? พวกเขามีแต่จะคิดว่าเป็นเรื่องสมควรแล้ว ปู้สวินเอ๋ย ความโลภของคนเราไม่มีทางเติมให้เต็มได้ หากให้จนถึงตอนที่ไม่มีอะไรให้แล้ว จะกลายเป็นพวกเราที่ต้องเดือดร้อน!”

“ปกครองแว่นแคว้นที่ใหญ่ไพศาลเช่นนี้ กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ล้วนข้องเกี่ยวโยงใย จำเป็นต้องรักษาสมดุลเอาไว้ พวกเราไม่มีสิทธิ์จะเลือกที่รักมักที่ชัง เมื่อมายืนอยู่ในจุดที่พวกเรายืนอยู่ มันก็ไม่มีมิตรแท้หรือศัตรูถาวร หากสามสำนักกระทำเกินเลยไป เมื่อถึงเวลาที่เหมาะที่ควร ข้าจะกลายเป็นมิตรกับหอจันทร์กระจ่างมันก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรเช่นกัน หากว่าหอจันทร์กระจ่างกล้าทำตัวโอหัง ในมือข้าก็ต้องมีสิ่งที่ใช้จัดการพวกเขาได้เช่นกัน ทำให้พวกเขาได้รู้ว่าไม่ใช่ข้าทำอะไรพวกเขาไม่ได้ หากแต่ไม่อยากทำก็เท่านั้น มีแต่ต้องทำให้พวกเขาไม่รู้ว่าพวกเรากุมจุดอ่อนพวกเขาเอาไว้มากน้อยเท่าไร พวกเขาถึงจะหวาดกลัว…”

….

ณ เรือนเมฆาขาว ภูเขาจำลองที่อยู่ตรงมุมลับตาถูกเลื่อนออก เผยให้เห็นอุโมงค์น้ำใต้ดินอีกครั้ง ซูจ้าวมุดออกมา ก่อนจะเลื่อนภูเขาจำลองกลับเข้าที่อีกครั้ง

ขณะที่เพิ่งกลับมาถึงหน้าประตูห้องพักตน ฉินเหมียนก็เดินกระวีกระวาดเข้ามา “นายหญิง ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”

ทั้งสองเข้าไปในห้องด้วยกัน ซูจ้าวเดินไปนั่งลงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง คลายมวยผมออก ตอนนี้นางยังคงแต่งกายเป็นบุรุษอยู่

ฉินเหมียนตามมาหยุดข้างๆ เอ่ยถามออกไป “เรื่องม้าศึกยังราบรื่นดีหรือไม่เจ้าคะ?”

“ยังดีอยู่!” ซูจ้าวพยักหน้า “หวังว่าหลังจากนี้ก็จะราบรื่นไปตลอดเช่นกัน!”

ฉินเหมียนไม่สนใจเรื่องนี้อีก พอได้ยินว่าราบรื่นดีก็ไม่ถามต่อ แต่กลับเอ่ยเสียงขรึมว่า “มีข่าวมาจากเบื้องบนเจ้าค่ะ บอกว่าลิ่งหูชิวเป็นพวกเดียวกับเรา!”

ซูจ้าวที่กำลังถอดปิ่นคลายมวยผมอยู่ตะลึงงัน มองเงาตนในคันฉ่อง แววตาวูบไหว

เรื่องนี้นางรู้มาแต่แรกแล้ว เซ่าผิงปอเคยเตือนนางแต่แรกแล้ว เพียงแต่แรกเริ่มก็ยังเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ตอนนี้พอลองนึกถึงการวิเคราะห์ของเซ่าผิงปอ นางก็จำต้องทอดถอนใจนึกชื่นชม เขาคาดเดาแม่นยำนัก เป็นคนเหมือนกัน ไยถึงแตกต่างกันมากขนาดนี้?

ผมสยายลู่เคลียไหล่ ซูจ้าวหันไปถามด้วยความแปลกใจ “เป็นไปได้อย่างไร?”

เรื่องราวระหว่างนางและเซ่าผิงปอ บางส่วนก็ปล่อยให้ฉินเหมียนรู้ได้ แต่บางส่วนก็ไม่อาจให้ฉินเหมียนรู้ได้

ฉินเหมียนตอบว่า “เบื้องบนบอกมาเช่นนี้ ย่อมไม่ผิดพลาดแน่เจ้าค่ะ!”

ซูจ้าวสงสัย “ทำไมเบื้องบนถึงต้องส่งลิ่งหูชิวไปติดตามข้างกายหนิวโหย่วเต้าด้วย?”

ฉินเหมียนเอ่ยว่า “เรื่องนี้เบื้องบนไม่ได้บอกเจ้าค่ะ อีกทั้งตอนนี้ก็ไม่ใช่เวลามากังวลเรื่องนี้ เจตนาของเบื้องบนคือแจ้งให้รู้ว่าลิ่งหูชิวน่าจะถูกจับได้แล้ว มีความเป็นไปได้สูงว่าจะตกอยู่ในมือของราชสำนักแคว้นฉีแล้วเจ้าค่ะ”

สีหน้าซูจ้าวพลันตึงเครียด ตื่นตัวขึ้นมา “จะสาวมาถึงทางเราหรือไม่?”

ฉินเหมียนโบกมือปฏิเสธ “เรื่องนี้ไม่มีทางหรอกเจ้าค่ะ ลิ่งหูชิวกับพวกเราอยู่กันคนละสายงาน ดังนั้นตอนแรกถึงไม่ได้แจ้งให้พวกเราทราบ”

ซูจ้าวถามทันที “หนิวโหย่วเต้าล่ะ?”

นางสงสัยว่าเรื่องที่ลิ่งหูชิวถูกจับได้จะเกี่ยวข้องกับหนิวโหย่วเต้า เนื่องจากเซ่าผิงปิสงสัยแต่แรกแล้วว่าหนิวโหย่วเต้าจะทราบถึงฐานะของลิ่งหูชิว เพียงแต่ตอนนั้นคิดจะกำจัดหนิวโหย่วเต้าทิ้งไป ทางนี้จึงแสร้งทำเป็นเลอะเลือนไม่ทราบเรื่อง เพื่อมิให้เบื้องบนรู้

ตอนนี้นางค่อนข้างกังวลใจ หากว่าหนิวโหย่วเต้าคือคนเปิดโปงลิ่งหูชิวจริงๆ เช่นนั้นนางก็เผลอทำลายงานของเบื้องบนไปโดยไม่ได้ตั้งใจเสียแล้ว

ฉินเหมียนตอบว่า “หนิวโหย่วเต้าหายไปแล้วเจ้าค่ะ”

“หายไป? ไปไหน?”

“ไม่ทราบเจ้าค่ะ ที่บอกว่าไปแล้ว เป็นเพราะหลังจากที่ข้าได้ข่าวจากเบื้องบน ข้าก็ส่งคนไปตรวจสอบทางสวนไม้เลื้อยทันที ทางสวนไม้เลื้อยไม่มีคนอยู่แล้วเจ้าค่ะ หนิวโหย่วเต้าและพวกก่วนฟางอี๋หายไปแล้ว ทางจวนอวี้อ๋องเข้ามารับหน้าที่จัดการขายสวนไม้เลื้อย บอกว่าได้รับการไหว้วานมาจากหนิวโหย่วเต้าและก่วนฟางอี๋ นี่คือสาเหตุที่ทางเบื้องบนแจ้งเรื่องนี้ให้พวกเราทราบ เบื้องบนต้องการให้กำลังทางฝั่งเราออกปฏิบัติการทันที ค้นหาร่องรอยของหนิวโหย่วเต้าและลิ่งหูชิวเจ้าค่ะ! ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่านายหญิงจะกลับมาตอนไหน ข้าจึงถือวิสาสะจัดการเอาเอง สั่งให้คนที่อยู่ในแถบนี้ดำเนินการค้นหาแล้วเจ้าค่ะ! ความต้องการของเบื้องบนคือขอเพียงพวกเขายังอยู่ในเขตรับผิดชอบของทางเรา ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ต้องตามหาตัวพวกเขาให้พบเจ้าค่ะ!”

“ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรอย่างนั้นหรือ?” ซูจ้าวตกตะลึงไม่น้อย

ฉินเหมียนพยักหน้ารับ สีหน้าตึงเครียดอย่างยิ่ง

นางรู้เรื่องราวบางอย่างมากกว่าซูจ้าว เว่ยฉูแกล้งตาย ลิ่งหูชิวถูกจับได้ว่าเป็นคนของหอจันทร์กระจ่าง เช่นนั้นหนิวโหย่วเต้าก็จำเป็นต้องตาย ไม่อย่างนั้นเว่ยฉูจะไม่สามารถปรากฏตัวได้อีก ซึ่งเว่ยฉูนั้นเกี่ยวข้องกับภารกิจสำคัญ!

……………………………………………………………..

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

ราชันพิชิตหล้า หนึ่งมรรคาสยบฟ้า

Status: Ongoing
ใต้หล้ากว้างใหญ่…จะลมก็ดี จะฝนก็ช่าง ไม่มีอะไรจะขวางข้าได้!นิยายแปลกำลังภายในเลือดเดือดร้อยเล่ห์กล พระเอกฉลาดมากไหวพริบ ฉากบู๊มันสะใจ!เมื่อปรมาจารย์แห่งการขุดสุสานผู้หลงใหลในการบำเพ็ญเพียรได้หลุดเข้าไปในยุคสมัยโบราณอันวุ่นวายเพราะไฟสงครามด้วยโชคชะตาวาสหนาหนุนนำ ทำให้เขาได้รับสุดยอดเคล็ดวิชาและต้องฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ นานา เพื่อสยบใต้หล้าเอาไว้ในกำมือ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท