ตอนที่ 412 ร่วมมือกันกดดัน
“ดี!” เผิงโย่วไจ้ดีใจนัก “ผู้ว่าการจังหวัดทั้งสี่ล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลบัญชาการกองทัพ ในเมื่อทั้งสี่ท่านต่างเห็นพ้องแนะนำตัวเลือกเดียวกัน คาดว่าคงไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน เช่นนั้นก็ตกลงตามนี้ เฟิ่งหลิงปอ!”
เฟิ่งหลิงปอลุกขึ้นยืน ประสานมือขานรับ “ขอรับ!”
เผิงโย่วไจ้เอ่ยด้วยรอยยิ้ม “น้ำใจที่เสนอมายากจะปฏิเสธได้ ผู้ว่าการจังหวัดทั้งสี่ล้วนเห็นดีในตัวเจ้า เจ้าต้องรับแรงกดดันไว้ไม่น้อยเลยทีเดียว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง นับจากนี้ไป เจ้าจะรับผิดชอบอำนาจบัญชาการไพร่พลห้าจังหวัด เมื่อเกิดศึกสงครามไพร่พลของห้าจังหวัดขึ้นอยู่กับการบัญชาการของเจ้า แต่หากไร้ศึกสงครามก็ห้ามเข้าไปยุ่งเรื่องการดูแลกองทัพของห้าจังหวัด”
ทางนี้ก็ใช่ว่าจะลิดรอนอำนาจบัญชาการของผู้ว่าการทั้งสี่ไปเสียหมด มิเช่นนั้นทั้งสี่คงไม่มีทางยอมตกลง หากทั้งสามร่วมมือกันต่อต้านขึ้นมา เช่นนั้นจะวุ่นวายกันไปใหญ่
เฟิ่งหลิงปอเอ่ยว่า “รับทราบขอรับ! เพียงแต่…”
เผิงโย่วไจ้เอ่ยด้วยท่าทางซื่อตรงผ่าเผยว่า “ล้วนทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมทั้งสิ้น หากมีความลำบากอันใดก็พูดมาได้เต็มที่ มีปัญหาใดก็เอ่ยออกมาต่อหน้าทุกคน จะได้หารือคลี่คลายไปพร้อมกัน”
เฟิ่งหลิงปอกล่าวว่า “ข้าไม่มีกำลังทหารอยู่ในมือแม้แต่น้อย เป็นเพียงผู้บัญชาการไร้กองกำลังเท่านั้น ไร้ซึ่งกำลังคนคอยดำเนินการทางกองทัพให้ ไม่มีไพร่พลสำหรับเรียกใช้ ยามมีศึกสงครามหากทหารไม่รู้จักผู้บัญชาทัพ ผู้บัญชาทัพไม่เข้าใจกองทหาร แล้วจะบัญชาการกองทัพออกศึกได้อย่างไรขอรับ?”
เผิงโย่วไจ้เอ่ยว่า “นี่ก็เป็นปัญหาอย่างหนึ่ง ผู้ว่าการจังหวัดทั้งสี่ พวกเจ้าคุ้นเคยด้านกองทัพดี ในสถานการณ์เช่นนี้พวกเจ้ามีความเห็นอย่างไร”
จ้างซิงเฟิงกล่าวว่า “เรื่องนี้จัดการง่ายมาก เมื่อวานยังคุยกันอยู่เลยว่าไพร่พลของห้าจังหวัดมีมากเกินไป ทำให้ห้าจังหวัดแบกรับภาระหนักเกินไป ในเมื่อไม่มีความจำเป็นต้องยุบกองทัพ เช่นนั้นหากในมือผู้ใดมีกำลังทหารมากไป ก็ให้ผู้นั้นแบ่งกำลังไพร่พลส่วนหนึ่งไปให้ผู้ว่าการเฟิ่งดูแลก็ใช้ได้แล้ว”
หนิวโหย่วเต้าเลิกคิ้วเล็กน้อย ที่แท้การที่เมื่อวานมีคนบางส่วนเอ่ยเรื่องภาระด้านไพร่พลขึ้นมาก็เป็นการเตรียมการไว้สำหรับวันนี้นี่เอง เขาไม่สันทัดกับด้านกองทัพจึงพลาดไปมองไม่ออกว่านี่คือหลุมพรางอย่างหนึ่ง
เขาอดไม่ได้ที่จะมองไปทางพวกเหมิงซานหมิง พบว่าแต่ละคนขมวดคิ้วแน่น คล้ายจะคาดไม่ถึงเช่นกันนี้ว่าวันนี้จะเกิดเรื่องนี้ขึ้น
ซางเฉาจงตบโต๊ะเสียงดังปัง! ดังก้องไปทั่วห้องโถง ทำให้ทุกคนหันไปมอง
ซางเฉาจงตบโต๊ะเสร็จก็ลุกขึ้นยืน จ้องมองจ้าวซิงเฟิงแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ข้ามีไพร่พลในปกครองมากที่สุด ผู้ใดต้องการก็เอาไปได้เลย” จากนั้นหันไปมองเผิงโย่วไจ้ “เจ้าสำนักเผิง มิสู้เอาเช่นนี้เถิด อำนาจทางการทหารของสองจังหวัดข้าไม่ต้องการแล้ว ข้าจะสละอำนาจให้ผู้มีความสามารถ ยินดีเร้นกายไปอยู่ในหุบเขา ผู้ใดอยากได้ก็มาเอาไปได้เลย!”
หนิวโหย่วเต้ายิ้มน้อยๆ วาจานี้กล่าวไปแล้วดูใจกว้างนัก แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เขาสบายใจแล้ว การที่ซางเฉาจงสามารถเอ่ยเช่นนี้ออกมาได้ แปลว่ามีความมั่นใจในอำนาจควบคุมไพร่พลในปกครองว่ามิใช่สิ่งที่ผู้ใดก็สามารถแย่งชิงไปได้
เผิงโย่วไจ้กดสองมือลงเล็กน้อย เอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านอ๋องอย่าได้กล่าววาจาด้วยโทสะเลย ไม่มีผู้ใดในที่นี้คิดแย่งอำนาจทางการทหารไปจากท่านอ๋องหรอก ผู้ใดหาญกล้าทำเช่นนั้น ข้าคือคนแรกที่จะไม่เห็นด้วย เรื่องราวเกิดขึ้นแล้ว ทุกคนต้องเปิดใจคุยกัน มีอะไรก็คุยกันด้วยเหตุผลได้ ไม่จำเป็นต้องตบโต๊ะแสดงโทสะเลย อาจารย์เหมิงท่านว่าใช่หรือไม่?” วาจาท่อนหลังสุดเขาเอ่ยกับเหมิงซานหมิง
เหมิงซานหมิงกล่าวกับซางเฉาจงไปทันที “ท่านอ๋อง มิสู้นั่งลงแล้วรับฟังความเห็นทุกคนก่อนเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“เฮอะ!” ซางเฉาจงจ้องมองจ้าวซิงเฟิงแล้วแค่นเสียงใส่ สะบัดแขนเสื้อแล้วนั่งลงไปอีกครั้ง
เหมยหลินเซิ่งผู้ว่าการจังหวัดหูซีเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอ๋องระงับโทสะด้วยเถิด วาจาของพี่จ้าวฟังไม่รื่นหู แต่ควรค่าพอให้ทบทวนดู มิสู้ทุกท่านลองใคร่ครวญตามเถอะ ท่านอ๋องมีกำลังทหารในมือมากที่สุด แบ่งสรรบางส่วนให้ไปย่อมมิใช่ปัญหา อีกอย่างไพร่พลในการดูแลของท่านอ๋องเดิมทีก็ดึงตัวมาจากกองกำลังเดิมของจังหวัดกว่างอี้ ผู้ว่าการเฟิ่งรู้จักตื้นลึกหนาบางของคนส่วนใหญ่เป็นอย่างดี ช่วยลดระยะเวลาในการปรับตัวได้ สงครามเป็นสิ่งที่บอกไม่ได้ว่าจะเกิดขึ้นตอนไหน ยังไม่แน่ว่าจะเป็นพวกเราที่จะบุกไปโจมตีคนอื่นเท่านั้น หากแต่ต้องป้องกันฝ่ายอื่นที่อาจจะเข้ามาโจมตีพวกเราได้ทุกเมื่อด้วย เตรียมการเอาไว้แต่เนิ่นๆ ล้วนยอดเยี่ยมกว่าทุกสิ่ง”
วาจานี้มีเหตุผล ทำให้คนยากจะหาข้อโต้แย้งอันใดได้จริงๆ ซางเฉาจงได้แต่ยกจอกสุราขึ้นกระดก
เผิงโย่วไจ้เอ่ยถามอีกครั้ง “เช่นนั้นต้องจัดสรรกำลังพลให้ผู้ว่าการเฟิ่งเท่าไรถึงจะเหมาะสม?”
อู๋เทียนตั้งผู้ว่าการจังหวัดอู่หยางกล่าวว่า “หากจัดสรรให้มากไปจะไม่เหมาะ หากมากไปเกรงว่าจะทำให้ท่านอ๋องเข้าใจผิดได้ ตามความเห็นของข้า กองทัพสำคัญที่ทักษะหาใช่ปริมาณ จำนวนไม่กี่พันคนก็เพียงพอแล้ว ถึงอย่างไรผู้ว่าการเฟิ่งก็มีอำนาจบัญชาการไพร่พลทั้งหมดยามที่มีศึกสงครามอยู่แล้ว หากยึดครองกำลังทหารของแต่ละจังหวัดเอาไว้มากไป นั่นจะกระทบต่อแนวป้องกันของแต่ละจังหวัดได้ง่ายๆ มิสู้เอาตามที่ข้ากล่าวไปเถิด ผู้ว่าการเฟิ่งคิดว่าเหมาะสมหรือไม่?”
ต้องการเพียงไม่กี่พันคนอย่างนั้นหรือ? ซางเฉาจงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้ามองอีกฝ่าย
ข้อเรียกร้องนี้ทำให้หนิวโหย่วเต้าค่อนข้างแปลกใจเช่นกัน แค่ไม่กี่พันคนหรือ ซางเฉาจงคุมกองทัพใหญ่สองแสนนายไว้ แบ่งให้แค่ไม่กี่พันนายไม่นับว่าเกินไปเลยจริงๆ หากขนาดนี้แล้วยังไม่ยอมให้อีก เช่นนั้นก็ออกจะไร้เหตุผลไปหน่อยแล้ว
เฟิ่งหลิงปอพยักหน้าเอ่ยไปว่า “ความเห็นอู๋ซยงยอดเยี่ยม แค่ไม่กี่พันคนก็เพียงพอแล้ว ข้าต้องการไพร่พลห้าพันนาย!”
จ้าวซิงเฟิงร้องอืมพลางเอ่ยเสริมว่า “ทหารม้าห้าพันนายก็เรียกได้ว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว!”
ทันทีที่เอ่ยว่าทหารม้าห้าพันนาย ความหมายของคำว่าไพร่พลห้าพันนายก็เปลี่ยนไปแล้ว ทหารห้าพันคนไม่นับเป็นอันใดเลย แต่ม้าศึกห้าพันตัวนับเป็นจำนวนมหาศาล
ซางฉางจงถามกลับไป “คนแซ่จ้าว ม้าศึกห้าพันตัวเจ้าจะเป็นคนมอบให้หรือ?”
จ้าวซิงเฟิงเอ่ยว่า “หากท่านอ๋องไม่ได้มอบม้าศึกพันตัวให้กระหม่อม จำนวนม้าศึกในมือของกระหม่อมที่ยังพอออกศึกได้รวมกันแล้วยังไม่ถึงห้าพันตัวด้วยซ้ำ จะไปหาม้าศึกห้าพันตัวมาจากไหนล่ะพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางเฉาจงถามต่อ “เช่นนี้เจ้าพล่ามอันใดอยู่? มิใช่ม้าของเจ้า เจ้านึกจะให้ยังไงก็ได้อย่างนั้นหรือ?”
เหมยหลินเซิ่งเอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง “ท่านอ๋อง ล้วนเป็นพวกเดียวกันแล้ว ต้องแบ่งแยกของเจ้าของข้าอันใดด้วยเล่า ทุกคนต้องคิดเพื่อส่วนร่วมนะพ่ะย่ะค่ะ”
ซางเฉาจงย้อนถาม “พวกเเดียวกันอย่างนั้นหรือ? พูดได้ดีนี่ เช่นนั้นภรรยาของเหมยซยงก็สามารถเรียกมาปรนนิบัติข้าได้แบบไม่ต้องแบ่งแยกกันใช่หรือไม่?”
ทันทีที่เขาเอ่ยมาเช่นนี้ เผิงโย่วไจ้ที่ดื่มสุราเข้าไปก็แทบจะสำลักออกมา เบิกตากว้างมองไปที่ซางเฉาจงอย่างไม่อยากจะเชื่อ คิดไม่ถึงว่าหลานเขยของตนจะกล้าพูดจาเช่นนี้ออกมาต่อหน้าตน ปกติเห็นมีมารยาทตามวิถีเชื้อพระวงศ์ ไฉนถึงเอ่ยคำพูดไร้การสั่งสอนเช่นนี้ออกมาได้?
เฟิ่งหลิงปอกลับเข้าใจอีกฝ่าย เป็นความเคยชินจากการอยู่ในกองทัพ ทำให้พูดจาอย่างไร้การควบคุม หากเอ่ยคำพูดหยาบคายออกมาบ้างจะแปลกตรงไหน?
เฟิ่งรั่วหนานที่เงียบงันมาตลอดอดไม่ได้ที่จ้องมองซางเฉาจงอย่างดุดัน
หนิวโหย่วเต้าหัวเราะเหอะๆ พลางชูจอกให้เฟิงเอินไท่ อีกฝ่ายได้แต่ชูจอกตอบรับอย่างช่วยไม่ได้
เหมยหลินเฟิ่งก็ไม่สะดวกจะพูดลามปามไปถึงภรรยาของซางเฉาจงที่เป็นหลานสาวของเผิงโย่วไจ้เช่นกัน ได้แต่ถอนหายใจแล้วเอ่ยไปว่า “ท่านอ๋อง มนุษย์และสัตว์เดรัจฉานไหนเลยจะประพฤติตนเช่นเดียวกันได้ ท่านอ๋อง ขออภัยที่กระหม่อมต้องกล่าวตามตรง เดิมทีก็ว่ากันไปตามหลักเหตุผลเพื่อผลประโยชน์ของทุกคนทั้งนั้น พระองค์ครอบครองม้าศึกไว้มากมายขนาดนั้น มันก็สมควรจะนำออกมาแบ่งปันทุกคนบ้างถึงจะถูก แบ่งตามสัดส่วนไพร่พลที่แต่ละคนมี ต่อให้พระองค์จะยึดไว้มากหน่อย กระหม่อมคิดว่าทุกคนก็คงไม่คัดค้านเช่นกัน เพราถึงอย่างไรก็ต้องคำนึงถึงการจัดตั้งกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญของท่านอ๋องด้วย อย่างน้อยๆ ก็ต้องกันม้าศึกไว้ให้หนึ่งหมื่นตัว ทุกคงไม่มีทางที่จะไม่เข้าใจถึงหลักเหตุผลข้อนี้หรอกพ่ะย่ะค่ะ ”
อู๋เทียนตั้งก็พยักหน้าพลางเอ่ยว่า “ต่อให้ท่านอ๋องแบ่งออกมาห้าพันตัว ในมือท่านอ๋องก็ยังเหลืออยู่อีกหมื่นกว่าตัว มากกว่าจังหวัดอื่นๆ มากนัก เพียงพอจะจัดตั้งกององครักษ์เลิศล้ำห้าวหาญได้แล้ว กระหม่อมไม่ทราบจริงๆ ว่าการที่ท่านอ๋องครอบครองม้าศึกมากมายขนาดนั้นไว้โดยไม่สนใจความเป็นความตายของจังหวัดอื่นๆ มันหมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางเฉาจงกล่าวว่า “ไม่มีความหมายใดทั้งสิ้น เพียงทนเห็นพวกเจ้าทำตัวเป็นคนคนถ่อยคอยรีดไถไม่ได้ ในอดีตตอนที่ยังอยู่กันคนละฝ่ายมัวทำอันใดอยู่ล่ะ? ตอนนี้เพิ่งจะคิดได้ว่าต้องการม้าศึกหรือ? หากต้องการม้าศึก ถ้ามีปัญญาก็ไปหาเอง ใต้หล้านี้ไหนเลยจะมีของดีที่ได้มาง่ายๆ มากมายปานนั้น?”
ผู้ใดจะทราบว่าเผิงโย่วไจ้ที่นั่งอยู่ในตำแหน่งประธานกลับเอ่ยเนิบๆ ว่า “ท่านอ๋อง เป็นทางสำนักหยกสวรรค์ที่ออกเงินจัดซื้อม้าศึกมา มิใช่เพื่อมอบให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง หากแต่ต้องดูแลทุกฝ่ายด้วย”
เพียงประโยคเดียวก็สกัดซางเฉาจงจนพูดไม่ออก ทำให้เขาขบกรามจนหน้าตึง
เขาอยากจะถามเผิงโย่วไจ้เสียจริงว่าสำนักหยกสวรรค์ของเจ้าจัดหาม้าศึกมาจริงๆ น่ะหรือ? ของบางอย่างใช่ว่าจ่ายเงินแล้วจะหาซึ้อมาได้อย่างนั้นหรือ? หากสำนักหยกสวรรค์ของเจ้ามีความสามารถขนาดนั้นจริงๆ ไยต้องรอมาถึงตอนนี้แล้วค่อยแบ่งผลประโยชน์ให้จังหวัดต่างๆ เล่า?
แต่จะให้ตบหน้าท้าทายสำนักหยกสวรรค์ต่อหน้าคนมากมายเขาก็ทำไม่ได้ ทุกเรื่องล้วนต้องมีขอบเขต เรื่องบางอย่างสามารถตบโต๊ะแสดงโทสะได้ แต่บางเรื่องนั้นไม่อาจทำได้ ทำได้เพียงต้องอดทนเอาไว้
เผิงโย่วไจ้เอ่ยว่า “เอาล่ะ ความเห็นของทุกคนข้าได้ยินหมดแล้ว ยึดสียงส่วนใหญ่เป็นหลักเถอะ เสียงส่วนน้อยต้องคล้อยตามเสียงส่วนใหญ่ อย่างที่หารือกันไปเมื่อวานนี้ ไม่จำเป็นต้องยุบกองทัพของห้าจังหวัด ทางจังหวัดชิงซานและจังหวัดกว่างอี้ให้แบ่งทหารห้าพันนายและม้าศึกห้าพันตัวไปอยู่ในสังกัดทัพบัญชาการของเฟิ่งหลิงปอ ส่วนเรื่องเบี้ยหวัดของกองทัพยังเป็นไปตามเดิม! ตกลงกันตามนี้ ทุกท่านเชิญดื่ม!” พูดจบก็ชูจอกสุราของตนขึ้นคารวะสุราทุกคน
เพียงแต่ถ้อยคำที่เขากล่าวออกมามีความหมายว่าซางเฉาจงไม่เพียงแต่จะต้องแบ่งไพร่พลห้าพันนายให้เฟิ่งหลิงปอเท่านั้น แต่ทางซางเฉาจงยังต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในกองทัพต่อไปเหมือนเดิมด้วย
เฟิ่งหลิงปอเป็นคนแรกที่ยกจอกสุราตอบรับ ทางด้านจ้าวซิงเฟิง เหมยหลินเซิ่งและอู๋เทียนตั้งย่อมทำตามเช่นกัน
พวกเฟ่ยฉางหลิวมองไปที่หนิวโหย่วเต้า รอดูท่าทีของหนิวโหย่วเต้าก่อน
หนิวโหย่วเต้ากลับหยิบจอกสุราขึ้นมาอย่างรวดเร็ว พวกเฟ่ยฉางหลิวจึงทำตามในทันใด พวกเหมิงซานหมิงและหลานรั่วถิงก็ชูจอกขึ้นมาเช่นกัน
จอกสุราในมือซางเฉาจงหนักอึ้งดั่งก้อนศิลา แต่สุดท้ายก็ยังชูขึ้นมาอย่างเชื่องช้า
เฟิ่งรั่วหนานมองท่าทีของซางเฉาจงอยู่ เพราะหากซางเฉาจงไม่ชูจอก ชายาอย่างนางก็ไม่อาจชูจอกในมือขึ้นได้
นางทราบแก่ใจดี ไม่ว่าความสัมพันธ์ฉันท์สามีภรรยาระหว่างนางกับซางเฉาจงจะเป็นเช่นไร แต่ครั้งนี้คนเหล่านี้เรียกได้ว่าร่วมมือกันขูดรีดเลือดเนื้อของสามีนางไป ครอบครัวของนางเองก็รวมอยู่ในนั้นด้วย ซ้ำคนที่ได้รับผลประโยชน์ก็เป็นครอบครัวของนาง นางลำบากใจมากจริงๆ ไม่ว่าจะช่วยทางไหนก็ล้วนแต่ทำตัวลำบาก
“ดื่ม!” เผิงโย่วไจ้เป็นฝ่ายคารวะสุราก่อน เขาดื่มก่อนจนหมดจอกแล้วแสดงจอกเปล่าให้ทุกคนเห็น เอ่ยเชิญเสียงดังว่า “ทุกท่านสำราญกันให้เต็มที่ ไม่ต้องเกรงใจ!”
หลังจากทุกคนดื่มหมดจอกก็นั่งลง คนบางส่วนรื่นเริงสุขสันต์ ทว่าทางฝั่งซางเฉาย่อมไม่มีความสุข
ตอนนี้แม้แต่คนตาบอดก็ยังมองออกว่า สำนักหยกสวรรค์ได้เป็นแกนนำร่วมมือกับคนกลุ่มนี้ขุดหลุมพรางดักทางนี้ไว้แต่แรกแล้ว
ทางฝั่งซางเฉาจงได้ม้าศึกมาสองหมื่นแปดพันตัว ขายให้ทางมณฑลจินโจวที่อยู่ติดกันไปห้าพันตัว เมื่อวานก็แบ่งออกไปอีกสามพันตัว วันนี้แบ่งออกไปอีกห้าพันตัว หลังจากค่อยๆ ถูกแทะเล็มไป จึงเหลืออยู่เพียงหนึ่งหมื่นห้าพันตัว อีกทั้งยังต้องออกค่าใช้จ่ายในกองทัพให้ไพร่พลในสังกัดของเฟิ่งหลิงปออีก สถานการณ์นี้ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็เหมือนสำนักหยกสวรรค์กำลังจำกัดอำนาจในมือซางเฉาจงอยู่ ไม่อยากให้ซางเฉาจงมีอำนาจเหนือไปกว่านี้อยู่ฝ่ายเดียว
เมื่องานเลี้ยงส่งสิ้นสุดลง ทุกคนย่อมแยกย้ายกลับบ้านของตน ตามมารยาทแล้วพวกซางเฉาจงสองสามีภรรยายังมีธรรมเนียมต้องปฏิบัติต่ออยู่ พวกเขาต้องไปกล่าวอำลาพวกเฟิ่งหลิงปอคู่สามีภรรยา
พวกหนิวโหย่วเต้าจึงมารวมตัวกันรอคอยอยู่นอกประตูสำนัก
รถเข็นเคลื่อนมาหยุดอยู่ข้างกายหนิวโหย่วเต้า เหมิงซานหมิงเอ่ยถามเหมือนถามไปเรื่อยว่า “พวกเราไม่อยากให้เกิดความขัดแย้งภายใน ทว่าคนอื่นกลับชิงลงมือเสียก่อน”
หนิวโหย่วเต้าตอบด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้นำมาเทียบกันไม่ได้ ข้างกายท่านอ๋องเต็มไปด้วยคนของสำนักหยกสวรรค์ ชีวิตอยู่ในกำมือของอีกฝ่าย จำเป็นต้องตอบรับคล้อยตามไปก่อน ก็เหมือนที่กล่าวไปก่อนหน้านี้ ก่อนที่งานจะสำเร็จ ความสามัคคีระหว่างห้าจังหวัดคือสิ่งสำคัญอันดับแรก”
อันที่จริงเหมิงซานหมิงอยากลองหยั่งเชิงสักหน่อยว่าสรุปแล้วเขาเตรียมกลยุทธ์ใดไว้รับมือ หาไม่แล้วทางนี้ก็ไม่มีความมั่นใจเลยจริงๆ ทว่าหนิวโหย่วเต้ากลับปิดปากเงียบสนิท ไม่ยอมอะไรออกมา เขาจึงทำได้เพียงต้องล้มเลิกความพยายามที่จะถามไป
หลานรั่วถิงกลับถือโอกาสนี้เอ่ยเตือนขึ้นมา “เต้าเหยี่ย พระชายาเองก็มีความลำบากใจของตัวเองอยู่ อย่างน้อยก็น่าจะเอาใจเขามาใส่ใจเราหน่อย”
หนิวโหย่วเต้าเข้าใจความหมายของเขา อีกฝ่ายกำลังหมายถึงเรื่องที่ตนกล่าวเสียดสีเฟิ่งรั่วหนาน เขาตอบไปว่า “ก็เพราะเข้าใจถึงความลำบากใจของนาง ข้าถึงได้สร้างปัญหาให้นาง”
หลานรั่วถิงถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
หนิวโหย่วเต้าตอบอย่างใจเย็นว่า “อีกหน่อยหากท่านอ๋องหักหน้าพ่อตา ยามที่สร้างความลำบากใจให้พ่อตา พระชายาก็ไม่อาจพูดอันใดได้แล้วกระมัง? ที่ข้าทำไปเช่นนี้ก็เพราะคิดเผื่อท่านอ๋องเช่นกัน”
——