ตอนที่ 426 ถุงแพรใบที่สอง
บนถนนหลวง คณะเดินทางของเผิงโย่วไจ้ควบม้าห้อทะยาน หลังจากมาถึงจุดพักม้าแห่งหนึ่ง ทั้งหมดก็แวะเข้าไปพักผ่อนครู่หนึ่ง
ศิษย์สำนักหยกสวรรค์บ้างก็รีบเข้าไปตรวจสอบด้านใน บ้างก็เตรียมการเฝ้าระวังทั้งด้านในและด้านนอก เกิดเสียงเอะอะจากคนและม้าแว่วดังอยู่สักพัก เกิดฝุ่นฟุ้งตลบไปทั่วด้านในจุดพักม้า
เผิงโย่วไจ้ที่ลงจากม้าหันไปมองซางเฉาจงเล็กน้อย
เขาสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่าตลอดทางมานี้ ดูเหมือนซางเฉาจงจะมีเรื่องราวในใจ
เขายิ้มน้อยๆ เดินเข้าไปหา เอ่ยถามออกไป “ท่านอ๋องพะวงถึงแม่ทัพเหมิงกระมัง? ไม่จำเป็นต้องกังวลเลยพ่ะย่ะค่ะ เพียงให้แม่ทัพเหมิงรั้งอยู่ช่วยเฟิ่งหลิงปอชั่วคราวเท่านั้น เอาไว้สถานการณ์ของมณฑลหนานโจวมั่นคงแล้ว แม่ทัพเหมิงย่อมจะกลับมาพ่ะย่ะค่ะ”
ก่อนที่สถานการณ์ของมณฑลหนานโจวจะมั่นคงอย่างสมบูรณ์ และก่อนที่จะกวาดล้างและผนวกรวมกองกำลังของซางเฉาจงได้อย่างสมบูรณ์ เขาไม่อาจบุ่มบ่ามลงมือกับซางเฉาจงได้ เขายังคงพยายามคิดหาทางให้ซางเฉาจงอยู่อย่างสงบ หากสามารถจัดการปัญหาได้โดยไม่เกิดความวุ่นวายใดๆ ขึ้น นั่นย่อมต้องเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด
กล่าวจบก็หันหลังเดินออกไป พาเหล่าผู้อาวุโสที่ติดตามมาด้วยเข้าไปพักผ่อนในจุดพักม้า เขาไม่มีความจำเป็นต้องรั้งอยู่เพื่อเอาใจซางเฉาจงเลย พูดจาดีๆ สักสองสามประโยคก็พอแล้ว
แต่เขาไม่ได้รู้เลยว่าเหมิงซานหมิงได้ปกปิดเรื่องที่รั้งอยู่กับทางเฟิ่งหลิงปอเอาไว้ ไม่ได้บอกให้พวกซางเฉาจงทราบ เขานึกว่าพวกซางเฉาจงต่างรู้เรื่องแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่เอ่ยออกไปเช่นนี้
พวกซางเฉาจงผงะไปเล็กน้อย ตอบสนองไม่ทันไปชั่วขณะว่ามันความหมายว่าอย่างไร กระทั่งเข้าใจคำพูดของเผิงโย่วไจ้ขึ้นมา สีหน้าของแต่ละคนพลันแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง
พวกเขารู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าตนมีภัยคุกคามถึงชีวิตอยู่ รู้แต่แรกแล้วว่าสำนักหยกสวรรค์อาจจะต้องการลงมือกับทางนี้ แต่ก็ทำได้เพียงคอยระมัดระวัง ไม่กล้าพูดอะไรออกไป พอรู้ว่าเหมิงซานหมิงถูกแยกตัวออกไป พวกเขาก็เข้าใจได้ทันที อีกฝ่ายต้องการลงมือกับเหมิงซานหมิงแล้ว!
ซางเฉาจงคิดจะเดินตามไปในทันใด อยากจะตามไปสอบถามเผิงโย่วไจ้ให้รู้เรื่อง
หลานรั่วถิงคว้าแขนเขาไว้ทันที ซางเฉาจงหันขวับกลับมา ขบกรามจนแก้มตึง สีหน้าโกรธเกรี้ยว
“ท่านอ๋อง อย่าวู่วามพ่ะย่ะค่ะ!” ดวงตาของหลานรั่วถิงเองก็ฉายแววโศกเศร้าระคนโกรธเคือง แต่กลับพยายามสะกดอารมณ์เอาไว้ ส่ายหน้าให้ซางเฉาจงเล็กน้อย สื่อว่าไม่ควรตามไปซักถาม
ซางซูชิงกัดริมฝีปากแน่น สีหน้าอึมครึม ขอบตาแดงเรื่อขึ้นมา
ไป๋เหยาเดินออกมาจากห้องพักของจุดพักม้า มองเห็นว่าสีหน้าของทั้งสามค่อนข้างผิดปกติ จึงนึกสงสัยเล็กน้อย แต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเอ่ยไปว่า “ท่านอ๋อง เตรียมห้องพักเรียบร้อยแล้ว พักดื่มน้ำล้างหน้าล้างตาหน่อยเถอะพ่ะย่ะค่ะ แต่ก็เร็วหน่อยนะพ่ะย่ะค่ะ หยุกพักได้เพียงครู่เดียวเท่านั้น ประเดี๋ยวต้องเร่งเดินทางต่อ”
หลานรั่วถิงกลัวว่าซางเฉาจงจะหุนหันพลันแล่น จึงรีบยิ้มแล้วเอ่ยตอบว่า “ได้!”
ทั้งสามเข้าไปในห้องพักของจุดพักม้า เข้าไปในห้องพักห้องหนึ่งที่จัดเตรียมไว้สำหรับทั้งสาม
หลานรั่วถิงส่งสัญญาณให้องครักษ์ติดตามสองนายเฝ้าประตูไว้ หลังจากนั้นรีบปิดประตูอย่างรวดเร็ว
พอประตูปิดลง ซางซูชิงก็ควบคุมอารมณ์ของตนไม่อยู่อีกต่อไป น้ำตาอุ่นร้อนไหลเอ่อล้นออกมา นางปิดปากตัวเองไว้ สะอื้นไห้เบาๆ ไม่กล้าให้คนด้านนอกได้ยินเสียงร้องไห้ของตัวเอง
กระทั่งจะร้องไห้ก็ยังไม่กล้าร้องอย่างเต็มที่ อารมณ์และความกดดันในเวลานี้ไม่ใช่สิ่งที่คนนอกจะเข้าใจได้ สถานการณ์ของพวกเขายากลำบากมากจริงๆ
ซางเฉาจงชกหมัดเข้ากับฝ่ามือของตนเสียงดังพลั่ก! ชกฝ่ามือตนเพื่อระบายความเศร้าหมองและความขุ่นข้องภายในใจ
“ท่านอ๋อง ท่านหญิง ยิ่งในเวลาแบบนี้ยิ่งต้องใจเย็นเอาไว้นะพ่ะย่ะค่ะ พวกเราไม่อาจวู่วามได้” หลานรั่วถิงเอ่ยปลอบทั้งสองเบาๆ ไม่กล้าส่งเสียงดัง
ซางซูชิงส่ายหน้าไปมา สีหน้าย่ำแย่ เอ่ยสะอื้นเบาๆ “หลังจบศึกท่านลุงเหมิงเอาแต่จ้ำจี้จ้ำไชตลอด เขาไม่ใช่คนที่ชอบบ่นจู้จี้เลย แต่เมื่อวานกลับเอาแต่จ้ำจี้จ้ำไชเรื่องวิวาห์ของข้า ข้าน่าจะมองออกแต่แรกแล้วถึงจะถูก เป็นความผิดของข้าเอง ล้วนเป็นความผิดของข้าเอง เขายอมสละตัวเองเพื่อพวกเรา…แต่ข้ากลับไม่สังเกตเห็นความผิดปกติของเขาเลย ไม่เคยเฉลียวใจเลยสักนิด ข้าผิดต่อท่านลุงเหมิง”
หลานรั่วถิงเอ่ยปลอบอีกครั้ง “ท่านหญิง ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพูดเรื่องนี้นะพ่ะย่ะค่ะ”
ซางเฉาจงหายใจฟืดฟาด ทรวงอกสะท้อนขึ้นลง เอ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว “ไอ้พวกชาติสุนัข ข้าจะไปคุยกับพวกเขา หากพวกเขากล้าลงมือกับท่านลุงเหมิงก็ลองดู อย่างมากข้าก็แค่ทำให้พวกเขาล่มจมไปด้วยกันเท่านั้น!”
“ท่านอ๋อง!” หลานรั่วถิงรัดแขนข้างหนึ่งของซางเฉาจงเอาไว้ รัดเอาไว้แน่นไม่ยอมปล่อย รีบเอ่ยด้วยความร้อนใจว่า “อย่าวู่วามเป็นอันขาดพ่ะย่ะค่ะ!”
“ปล่อย!” ซางเฉาจงกล้ำกลืนความโกรธเอาไว้ไม่ไหว “พวกเขากำลังจะลงมือกับแม่ทัพเหมิงแล้ว ท่านจะทนมองแม่ทัพเหมิงตายไปเฉยๆ อย่างนั้นหรือ?”
แต่หลานรั่วถิงกลับไม่ยอมปล่อยมือ พยายามเอ่ยเว้าวอนด้วยความหวังดี “ท่านอ๋อง กระหม่อมไหนเลยจะไม่ทราบว่าชีวิตแม่ทัพเหมิงตกอยู่ในอันตราย แต่ท่านอ๋องลองตรองดูสิพ่ะย่ะค่ะ เหตุใดท่านแม่ทัพเหมิงต้องปิดปังพวกเราเช่นนี้? ก็เพราะเขากลัวท่านอ๋องจะวู่วามอย่างไรล่ะพ่ะย่ะค่ะ! อีกฝ่ายแยกตัวแม่ทัพเหมิงออกไปเพื่อลงมือ ก็แปลว่าอีกฝ่ายยังไม่คิดจะลงมือกับท่านอ๋อง เพียงจะตัดปีกที่คอยช่วยพยุงท่านอ๋องทิ้งเท่านั้น เห็นได้ชัดว่าแม่ทัพเหมิงทราบเรื่องนี้ดี แม่ทัพเหมิงจงใจปิดบังพวกเรา ก็เพราะต้องการสละชีวิตตนเพื่อปกป้องท่านอ๋องนะพ่ะย่ะค่ะ!”
“หากท่านอ๋องไปหาเรื่องพวกเขาแล้วทั้งสองฝ่ายแตกหักกันขึ้นมา เมื่อนั้นไม่เพียงแต่จะช่วยแม่ทัพเหมิงไว้ไม่ได้ แต่พวกเขาก็จะเผยธาตุแท้ออกมาอย่างเต็มที่เช่นกัน ไม่ว่าทางไหนก็ล้วนแต่กลายเป็นแบบนี้ ไม่ว่าทางไหนก็ล้วนแต่ต้องแตกหัก เช่นนั้นพวกเขาจะจัดการท่านอ๋องทิ้งไปพร้อมกันนะพ่ะย่ะค่ะ จุดพักม้าแห่งนี้อาจจะกลายเป็นหลุมฝังศพของพระองค์ได้นะพ่ะย่ะค่ะ! แม่ทัพเหมิงยอมสละชีวิตตนเช่นนี้ก็เพื่อยื้อเวลาให้ท่านอ๋องได้มีโอกาสพลิกสถานการณ์ หากว่าท่านอ๋องก็มอดม้วยไปด้วยเช่นกัน พวกเราจะหมดโอกาสพลิกสถานการณ์อย่างสิ้นเชิงนะพ่ะย่ะค่ะ แม่ทัพเหมิงสละชีวิตเพื่อยื้อโอกาสให้ท่านอ๋อง ท่านอ๋องจะไม่ไยดีได้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
ซางเฉาจงถามด้วยน้ำเสียงเศร้าหมอง “ข้าจะรับโอกาสแบบนี้ไว้ได้อย่างไร?
หลานรั่วถิงตาแดงขึ้นมา ออกแรงเขย่าแขนของเขา “ถึงรับไม่ไหวก็ต้องรับเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ แม้จะต้องรับไว้ด้วยความอับอายอดสูก็ตาม ถึงอย่างไรก็ต้องมีคนอยู่ล้างแค้นให้แม่ทัพเหมิงมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ? ท่านอ๋องอยากให้การเสียสละของแม่ทัพเหมิงไร้ความหมายหรือพ่ะย่ะค่ะ? ท่านอ๋องอยากให้แม่ทัพเหมิงตายตาไม่หลับหรือพ่ะย่ะค่ะ?” ในดวงตามีน้ำตาคลออยู่เช่นกัน มีสีหน้าเศร้าเสียใจอย่างที่ยากจะอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้ เห็นได้ชัดว่าสะเทือนใจอย่างมากเช่นกัน
ซางเฉาจงกำมือแน่น สองมือสั่นระริก เงยหน้าขึ้นน้ำตาไหลอาบหน้า
เมื่อเข้ามาอยู่ในใต้หล้าที่เต็มไปด้วยคลื่นมรสุมเช่นนี้ ลูกผู้ชายจะเสียน้ำตามากแค่ไหนก็ไม่มีค่าให้กล่าวถึง มีวีรบุรุษห้าวหาญและยอดขุนพล ตลอดจนแม่ทัพราชันมากน้อยเท่าไรที่ถูกมรสุมนี้กลืนกิน มีเรื่องราวฝังใจที่ยากจะลืมเลือนมากน้อยเท่าไรที่ต้องถูกฝังกลบ อีกทั้งมียอดคนมากน้อยเท่าไรที่ต้องเผชิญความอับจนหนทางครั้งแล้วครั้งเล่า!
“ไม่! ท่านลุงเหมิงจะไม่เป็นอะไร!” ไม่รู้ว่าจู่ๆ ซางซูชิงนึกอะไรขึ้นมาได้ นางยื่นมือล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ ปากก็เอ่ยไปด้วยความตระหนกและร้อนรน “ยังมีโอกาสอยู่ ต้องมีหนทางอยู่แน่นอน ท่านลุงเหมิงต้องไม่เป็นอะไรแน่ อยู่นี่ หาเจอแล้ว อันนี้ ในนี้น่าจะมีวิธีอยู่”
นางล้วงถุงแพรอีกใบหนึ่งออกมาจากแขนเสื้อ ประคองยื่นให้ทั้งสองด้วยสองมือ
ซางเฉาจงที่มีน้ำตาไหลอาบหน้าและหลานรั่วถิงที่เช็ดน้ำตาไปแล้วต่างจ้องมองถุงแพรในมือนางอย่างพร้อมเพรียง เป็นถุงแพรใบหนึ่งที่มีเส้นไหมสีขาวผูกไว้
หลานรั่วถิงเอ่ยถาม “ท่านหญิง นี่คือ?”
ซางซูชิงยกแขนเสื้อซับน้ำตา เอ่ยเสียงสะอื้นว่า “เต้าเหยี่ย เป็นถุงแพรที่เต้าเหยี่ยมอบให้ข้าก่อนหน้านี้ ตอนนั้นเต้าเหยี่ยมอบไว้ให้ข้าสองใบ ใบหนึ่งผูกปากถุงด้วยไหมดำ ใบหนึ่งผูกปากถุงด้วยไหมขาว ใบที่ผูกด้วยไหมดำมอบให้เสด็จพี่ไปแล้ว ส่วนใบที่ผูกไหมขาวเต้าเหยี่ยกำชับไว้ว่าให้เปิดออกเวลาที่ตกอยู่ในสถานการณ์ที่มีภัยถึงชีวิต!”
สีหน้าหลานรั่วถิงพลันตื่นตัวขึ้นมอง มองถุงแพรใบนั้นด้วยสายตาที่เปี่ยมด้วยประกายแห่งความหวัง
ซางเฉาจงกระทืบเท้า คว้าถุงแพรไว้พลางเอ่ยด้วยความโมโหว่า “ชิงเอ๋อร์ เจ้าเล่นอะไรอยู่? เรื่องสำคัญขนาดนี้เจ้าลืมไปได้อย่างไร เหตุใดถึงเพิ่งนำออกมาในเวลานี้? เลอะเลือนแล้วเหรอ!”
ซางซูชิงก็โมโหตัวเองเช่นกัน ทนไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมาอีกครั้ง “เสด็จพี่ ข้าขอโทษ! เป็นข้าที่ทำผิดต่อท่านลุงเหมิงไป แต่เต้าเหยี่ยเคยกำชับไว้หลายครั้งว่าเรื่องราวพัวพันถึงอนาคตของมณฑลหนานโจว เกี่ยวพันถึงความพยายามในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาของทุกคน ถุงแพรใบนี้ไม่อาจนำออกมาเปิดได้ง่ายๆ เปิดใช้ได้แค่ในยามที่มีภัยคุกคามถึงชีวิตเท่านั้น! ข้าเองก็ไม่รู้เช่นกันว่าท่านลุงเหมิงจะยอมสละชีวิตตนโดยปกปิดพวกเราไว้…”
“เอาเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” หลานรั่วถิงยกมือปรามสองพี่น้อง “ท่านอ๋อง เต้าเหยี่ยเอ่ยกำชับไว้เช่นนี้ย่อมต้องมีเหตุผลแน่นอน ไม่อาจกล่าวโทษท่านหญิงได้พ่ะย่ะค่ะ ท่านหญิงไม่ผิดเลยที่เลือกทำตามคำสั่งของเต้าเหยี่ย แต่ด้วยสถานการณ์ของแม่ทัพเหมิงในยามนี้ นับว่าเผชิญหน้ากับภัยคุกคามถึงชีวิตแล้ว น่าจะเปิดใช้ได้แล้ว ท่านอ๋อง เรื่องราวไม่อาจล่าช้าได้ หากช้าไปอาจจะไม่ทันการ รีบเปิดถุงแพรดูเถิดพ่ะย่ะค่ะ ดูว่าเต้าเหยี่ยทิ้งแผนรับมือภัยคุกคามชีวิตอันใดไว้ในถุงแพร”
ซางเฉาจงรีบแกะไหมขาวที่มัดถุงแพรออกทันที จากนั้นก็เปิดออกแล้วหยิบจดหมายสองฉบับที่พับทบไว้ด้วยกันออกมา
พอเปิดจดหมายออก หลานรั่วถิงและซางซูชิงก็ไม่สนใจกฎระเบียบอันใด ยื่นหัวเข้ามาอ่านเนื้อความในจดหมายไปพร้อมกัน
ฉบับแรกเขียนเอาไว้เพียงไม่กี่แถว ‘หากมีภัยคุกคามถึงชีวิต ให้นำจดหมายแนบอีกฉบับไปส่งมอบต่อสำนักหยกสวรรค์ จะสามารถคลี่คลายวิกฤตได้!’艾琳小說
พอเห็นเช่นนี้ทั้งสามก็มองกันไปมองกันมา
ซางเฉาจงรีบดึงจดหมายแผ่นแรกออกไปโดยเร็ว อ่านจดหมายที่แนบอยู่ด้านล่างต่อ
บนจดหมายเขียนไว้เพียงว่า รายงานด่วน! มณฑลจินโจวระดมกำลังทหารสามแสนนาย เตรียมบุกโจมตีมณฑลหนานโจว! หนิวโหย่วเต้า!
เนื้อความในจดหมายแนบก็สั้นกระชับอย่างมาก ทั้งสามมองหน้ากัน
ซางเฉาจงลังเล “จะให้อาศัยข่าวเท็จนี้คลี่คลายวิกฤติอย่างนั้นหรือ? อีกทั้งสำนักหยกสวรรค์ก็มิใช่คนโง่ ไม่ว่าจะเป็นทางมณฑลจินโจวหรือว่าทางวังสวรรค์หมื่นวิมานก็ไม่มีทางส่งกำลังทหารมาเพื่อพวกเรา หากจินโจวและหนานโจวปะทะกัน มันก็มีแต่จะทำให้แคว้นเยี่ยนและแคว้นจ้าวได้ประโยชน์ ไห่อู๋จี๋ฮ่องเต้แคว้นจ้าวจะต้องฉวยโอกาสเข้าโจมตีจินโจวแน่นอน แล้วทางจินโจวจะระดมกำลังเข้าโจมตีหนานโจวได้อย่างไร? เช่นนี้…เช่นนี้…สำนักหยกสวรรค์จะเชื่อหรือ?”
หลานรั่วถิงก็มีสีหน้าจืดเจื่อนเช่นกัน รู้สึกว่าเนื้อหาในจดหมายดูไม่คล้ายฝีมือของเต้าเหยี่ยเลย อาศัยเพียงข้อความนี้ อย่างมากก็ตบตาได้แค่พักหนึ่งเท่านั้น ให้ไปหลอกลวงสำนักหยกสวรรค์เช่นนี้ ดูคล้ายเป็นการดิ้นรนเฮือกสุดท้ายในช่วงเข้าตาจนมากกว่า หากสำนักหยกสวรรค์ไปตรวจสอบข่าวทีหลังแล้วพบว่าเป็นข่าวเท็จ เช่นนั้นก็เท่ากับว่าเราได้ข้ามเส้นไปแล้ว นั่นจะทำให้สำนักหยกสวรรค์รู้ว่าทางนี้ไม่ยินดีจะอยู่เฉย เกรงว่าจะเป็นการทำให้สำนักหยกสวรรค์ลงมือกำจัดเราทั้งหมด
ตอนนี้สำนักหยกสวรรค์ต้องการเข้ายึดครองมณฑลหนานโจวอย่างสงบราบรื่น ไม่อยากทำอะไรรุนแรงเกินไปจนอาจจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นมาได้ ทางนี้ก็อยากจะเก็บตัวอยู่เงียบๆ เช่นกัน อย่างน้อยก็พอจะรักษาสมดุลอันเปราะบางเอาไว้ได้
ซางซูชิงเองก็ลังเลใจกับเนื้อความในจดหมายอยู่เล็กน้อยเช่นกัน แต่สุดท้ายก็ยังคงเอ่ยโน้มน้าวว่า “ในเมื่อเต้าเหยี่ยสั่งการมาเช่นนี้ ไม่มีทางที่เขาจะทำอะไรโดยไร้สาเหตุ เขาจะต้องมีเหตุผลอยู่แน่นอน มิสู้ลองทำตามความคิดของเต้าเหยี่ยดู!”
หลานรั่วถิงลูบเคราพลางเอ่ยด้วยความลังเล “ความสามารถของเต้าเหยี่ยพวกเราก็ได้ประจักษ์มาหลายครั้งแล้ว ใช่ว่ากระหม่อมจะไม่เชื่อใจในฝีมือของเขา แต่เรื่องนี้…หลอกไม่ได้แม้แต่พวกเราด้วยซ้ำ แล้วจะไปหลอกสำนักหยกสวรรค์ได้อย่างไรพ่ะย่ะค่ะ!”
ดวงตาซางซูชิงกลับฉายฉายแววมุ่งมั่น “เสด็จพี่ อาจารย์หลาน ข้าอยู่ร่วมกับเต้าหยี่ยมานานหลายปี ข้ารู้จักนิสัยของเต้าเหยี่ยดี ข้าเชื่อมั่นในตัวเต้าเหยี่ย อย่างน้อยที่สุด หากคิดจะช่วยท่านลุงเหมิง เวลานี้พวกเรายังเหลือวิธีการอื่นอีกหรือ? ในเมื่อมีโอกาสให้ลองดู พวกเราจะทนมองท่านลุงเหมิงก้าวสู่ความตายโดยไม่ทำอะไรได้หรือ? เสด็จพี่ อาจารย์หลาน จัดการตามวิธีของเต้าเหยี่ยเถิด!”
พอเอ่ยเรื่องช่วยเหลือเหมิงซานหมิงขึ้นมา มันก็ทำให้ซางเฉาจงตัดสินใจได้ในทันที เขาพยักหน้าอย่างหนักแน่น “ตกลง!”
“เฮ้อ!” หลานรั่วถิงรู้ดีว่าพูดอะไรไปก็ไม่มีประโยชน์แล้ว อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเอ่ยไปว่า “เต้าเหยี่ยคนนี้มักจะทำอะไรที่คาดเดาไม่ได้อยู่เสมอ อีกทั้งมักจะทำให้คนอื่นต้องหวั่นใจอยู่ร่ำไป”
…………………………………………………