สืออีเหนียงไม่ได้เจอปินจวี๋มาสักพักแล้ว นางเลยให้ปินจวี๋อยู่ทานอาหารด้วยกัน ทันทีที่นั่งลงว่านต้าเสี่ยนก็มาพอดี
ปินจวี๋รู้สึกกังวลใจ
ว่านต้าเสี่ยนเป็นคนรอบคอบและใจเย็น ทั้งๆ ที่รู้ว่าตนมาหาสืออีเหนียง ถึงแม้จะมีเรื่องสำคัญอะไร เขาก็ไม่มีทางมาหาสืออีเหนียงบุ่มบ่ามเช่นนี้…หรือว่าเกิดเรื่องใหญ่อะไรขึ้น
สืออีเหนียงเองก็แปลกใจ รีบหันไปบอกสาวใช้ “เชิญผู้ดูแลว่านเข้ามาเร็วเข้า”
สาวใช้ขานรับแล้วเดินออกไป
ปินจวี๋มีสีหน้าไม่สบายใจ
“ไม่ต้องห่วง” สืออีเหนียงปลอบใจนาง “หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น เราก็ค่อยช่วยกันคิดหาวิธี”
ปินจวี๋ค่อยๆ สงบสติอารมณ์ลง
มีสืออีเหนียง ไม่ว่าเรื่องใหญ่แค่ไหนย่อมหาทางแก้ไขได้
เมื่อว่านต้าเสี่ยนเข้ามา สีหน้าของเขาดูเคร่งขรึม เขาโค้งคำนับสืออีเหนียงด้วยความเคารพ ยิ้มแล้วเอ่ยเรียก “ฮูหยินสี่ขอรับ” ด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ
สืออีเหนียงไล่สาวใช้ในห้องออกไปจนหมด
ว่านต้าเสี่ยนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เขาหยิบถุงกำมะหยี่สีแดงใบเล็กๆ ออกมาจากด้านในเสื้อตรงแผ่นอก “ฮูหยิน ท่านดูสิขอรับ!”
ปินจวี๋รับมาเปิดให้สืออีเหนียงดู
พวกนางสองคนต่างก็ตกตะลึง
ไข่มุกขนาดเท่าเม็ดลำไยเต็มถุง เป็นประกายแวววาวเสียจนทำให้ผู้คนลืมตามองไม่ไหว
ไข่มุกชนิดนี้ ไม่ต้องพูดถึงถุงเล็กๆ หากแยกขายเป็นเม็ด เม็ดหนึ่งก็คงขายได้ถึงสี่สิบห้าสิบตำลึงแล้ว
หรือเป็นของสกุลหวัง?
ความคิดนี้ผุดขึ้นมาในหัว
พวกเขาทำเหมืองไข่มุกหลังจากไปตั้งหลักปักฐานที่เขตเหลียวตงไม่ใช่หรือ
ปินจวี๋ตกอกตกใจ “ท่านพี่ไปเอามาจากไหนกัน”
“ฉังซุ่นไม่อยู่แล้ว ท่านพ่อท่านแม่เลยตั้งหลุมศพเขาไว้ที่สวนผลไม้” ว่านต้าเสี่ยนยิ้มอย่างขมขื่น “พวกเขาเหนื่อยจึงนั่งดื่มน้ำที่หน้าหลุมศพของฉังซุ่น มีชายคนหนึ่งอ้างว่าตัวเองเป็นพ่อค้า บอกว่าหลงทาง ถามพ่อข้าว่าต้องไปทางไหน พ่อข้าชี้ทางให้เขา เขาขอน้ำชาของพ่อข้าดื่ม ตอนนั้นพ่อข้าไม่ได้คิดอะไร วันต่อมากำลังจะไปบนเขา ถือตะกร้าขึ้นมาก็เห็นถุงผ้าใบนี้ รอคนมาถามอยู่หน้าหลุมศพของฉังซุ่นสี่ห้าวันก็ไม่มีใครมา จะให้รออยู่เช่นนั้นก็ไม่ได้ จึงเรียกข้าไปปรึกษา” พูดจบก็มองไปที่สืออีเหนียง “บ่าวจึงนำมาให้ฮูหยินจัดการขอรับ”
“ในเมื่อไม่มีเจ้าของ มาอยู่ที่ครอบครัวของเจ้า เช่นนั้นก็ถือเป็นประสงค์ของสวรรค์” สืออีเหนียงพูดต่อไปว่า “พวกเจ้าเก็บเอาไว้เถิด หากถึงตอนนั้นเจ้าของถุงผ้าใบนี้กลับมาถามพวกเจ้า พวกเจ้าก็บอกให้เขามาหาข้า”
ว่านต้าเสี่ยนและปินจวี๋หันมามองหน้ากัน ว่านต้าเสี่ยนไม่สบายใจ ปินจวี๋เองก็ท่าทางลังเล
พวกเขาเป็นคนซื่อสัตย์ ถึงแม้จะเป็นของที่เก็บได้ แต่พวกเขาก็ไม่อยากเก็บเอาไว้เป็นของตัวเอง
“ไม่ต้องห่วง!” สืออีเหนียงเตือนพวกเขา “เจ้าดูแลฉังซุ่นมาตั้งหลายปี ใช่ว่าคนในครอบครัวของเขาจะไม่รู้ บางทีต่อไปพวกเจ้าอาจได้รับของแปลกๆ อีกก็ได้”
พวกเขาทั้งสองคนต่างก็ตกใจ
ปินจวี๋พูดขึ้นว่า “เช่นนั้นข้ายิ่งเก็บเอาไว้ไม่ได้เจ้าค่ะ” พูดพลางน้ำตาคลอเบ้า “ตอนนั้นข้าไม่ได้อยากให้เขากลับไป”
สีหน้าของว่านต้าเสี่ยนหม่นหมองลง
“ข้าก็คิดไม่ถึงเช่นกัน” สืออีเหนียงถอนหายใจ “คิดเสียว่ามันคือของที่ระลึกเถิด!”
พวกเขาทั้งสองคนพยักหน้าเบาๆ
ในเมื่อว่านต้าเสี่ยนมาแล้ว นางจะให้ปินจวี๋อยู่ทานอาหารกับตัวเองไม่ได้แล้ว แต่จะทำให้ปินจวี๋เสียหน้าไม่ได้
สืออีเหนียงเลยมอบอาหารให้พวกเขานำกลับไปทาน
เมื่อสวีลิ่งอี๋กลับมาตอนเย็น สืออีเหนียงก็เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง
“สกุลหวังยังมีหัวใจ” สวีลิ่งอี๋พยักหน้า เขาไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก จากนั้นก็พูดถึงเรื่องวันเฉลิมพระชนมพรรษาเดือนสิบเอ็ด “…ฮ่องเต้มีพระชนมพรรษาครบห้าสิบพรรษา ซุ่นอ๋องบอกว่าจะจัดงานเลี้ยงยิ่งใหญ่ ใต้เท้าหันแห่งสำนักศึกษาฮั่นหลินจึงเขียนฎีกาเสนอ ผู้รับผิดชอบในการประกอบพิธีกรรมในราชสำนักบอกว่าฮ่องเต้ทรงอ่านสองสามรอบ สุดท้ายถึงแม้ว่าจะไม่ได้ป่าวประกาศอะไร แต่เมื่อเรียกเก๋อเหล่าสองสามท่านเข้าไปปรึกษาแล้วยังวางฎีกาเล่มนั้นไว้บนโต๊ะ ข้าคิดว่าเรารีบเตรียมของขวัญเถิด ประเดี๋ยวถึงตอนนั้นมีเงินแต่กลับหาของดีๆ ไม่ได้!”
“แต่ฮ่องเต้ไม่ได้ขาดแคลนอะไร” สืออีเหนียงพูดพลางครุ่นคิด “เกรงว่าคงต้องให้ความสำคัญกับความหมายของสิ่งของมากกว่ากระมัง”
“ข้าเองก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน” สวีลิ่งอี๋พูดต่ออีกว่า “พรุ่งนี้เรียกคนของฝ่ายรายงานและอาจารย์จ้าวมาปรึกษาว่าจะมอบอะไรดี” สุดท้ายก็มอบม่านกันลมไม้จื่อถานงาช้างแกะสลักของตระกูลให้ฮ่องเต้เป็นของขวัญ ถึงแม้จะไม่โดดเด่นและไม่แปลกใหม่ แต่กลับมีความเหมาะสม สอดคล้องกับความเป็นหย่งผิงโหว
เมื่อถึงวันที่ต้องเข้าไปแสดงความยินดีในพระราชวัง ฮองเฮาดูแลไท่ฮูหยินอย่างเป็นห่วงเป็นใย ทั้งยังกำชับว่าหลังจากส่งไปคารวะในราชสำนักแล้ว ให้พาไท่ฮูหยินไปพักผ่อนที่เรือนหน่วนเก๋อในห้องโถงข้างพระตำหนัก
“น้องสะใภ้ห้าพักผ่อนกับไท่ฮูหยินที่นี่เถิด!” สืออีเหนียงปรึกษากับฮูหยินห้า “ส่วนข้าจะไปรองานเลี้ยงเริ่มที่ห้องโถงข้างพระตำหนัก” ถึงตอนนั้นค่อยเชิญไท่ฮูหยินและฮูหยินห้าไปนั่งด้วยกัน
ถึงแม้จะเป็นความเมตตาของฮ่องเต้แต่ก็จะเย่อหยิ่งไม่ได้ นางไม่ออกหน้าเลยคงไม่ดี
ฮูหยินห้าพยักหน้า “ข้าจะดูแลท่านแม่เป็นอย่างดี!”
จู่ๆ ก็มีเสียงดังมาจากข้างนอก
“หย่งผิงโหวฮูหยิน หย่งผิงโหวฮูหยิน!” มีคนตะโกนเรียกสืออีเหนียงอยู่หน้าห้องโถงข้างพระตำหนัก
คนในห้องมองออกไปก็เห็นองค์หญิงใหญ่ที่สวมชุดสีแดงพุ่งตัวเข้ามา “จิ่นเกออยู่ไหนหรือ”
พวกนางทั้งสามคนรีบลุกขึ้นคำนับองค์หญิงใหญ่
องค์หญิงใหญ่รีบพยุงไท่ฮูหยินขึ้นมาทันที “ท่านรีบนั่งลงเถิด ประเดี๋ยวจะถูกคนหามไปห้องโถงหลังพระตำหนักเหมือนเจิ้งไท่จวินเอาได้”
ไท่ฮูหยินได้ยินดังนั้นก็ตื่นตระหนก “เจิ้งไท่จวินเป็นอะไรเพคะ”
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน!” องค์หญิงใหญ่พูด “คงจะไม่เป็นอะไรมาก! ไม่เช่นนั้นคนของสำนักหมอหลวงคงจะมารายงานเสด็จแม่แล้ว” จากนั้นก็ถามสืออีเหนียง “จิ่นเกอไปไหนหรือ เหตุใดข้าถึงไม่เห็นเขา เขาไม่ได้อยู่ที่พระตำหนักเจียวไท่”
สืออีเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เขาออกไปท่องเที่ยวแล้วเพคะ”
“ทำไมข้าถึงไม่รู้เล่า” องค์หญิงใหญ่ตะลึงงัน “เขาไปตั้งแต่เมื่อไร ไปที่ใด แล้วจะกลับมาตอนไหน”
“ไปที่ซีเป่ยเพคะ” สืออีเหนียงพูดอย่างคลุมเครือ “จะกลับมาเมื่อไรนั้นคงต้องขึ้นอยู่กับการเดินทาง”
องค์หญิงใหญ่ทำหน้ามุ่ย “เทศกาลไหว้บ๊ะจ่าง เทศกาลไหว้พระจันทร์ ข้าก็ไม่เห็นเขาจะเข้ามาคารวะในพระราชวัง ข้ายังอยากให้เขามาเตะลูกหนังกับข้าช่วงปีใหม่นี่นา!”
“องค์หญิงใหญ่อยากเตะลูกหนังกับเขาถือว่าเป็นวาสนาของเขา” สืออีเหนียงพูดด้วยรอยยิ้ม “หม่อมฉันจะลองเขียนจดหมายไปให้เขา หากติดต่อเขาได้ หม่อมฉันจะมารายงานให้องค์หญิงได้ทราบ”
องค์หญิงใหญ่กระทืบเท้าก่อนจะเดินออกไปด้วยความไม่พอใจ
ไท่ฮูหยินรีบพูด “พวกเจ้ารีบไปสืบดูว่าเจิ้งไท่จวินเป็นอย่างไรบ้างแล้ว”
สืออีเหนียงขานรับแล้วเดินออกไป
มีเสียงดังออกมาจากห้องโถงข้างพระตำหนัก ล้วนแต่กำลังพูดเรื่องของเจิ้งไท่จวิน
สืออีเหนียงแอบไปหาหวงเสียนอิง ยังไม่ได้พูดอะไรก็มีนางกำนัลเดินเข้ามารายงาน “ไม่เป็นไร เจิ้งไท่จวินแค่แน่นหน้าอกหายใจไม่ออกเจ้าค่ะ ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว”
หวงเสียนอิงถอนหายใจด้วยความโล่งอก
หากเกิดอะไรขึ้นวันนี้…ไม่ใช่เรื่องมงคลสักเท่าไร
สืออีเหนียงรีบกลับไปรายงานไท่ฮูหยิน
ไท่ฮูหยินจับมือฮูหยินห้า “ต่อไปอย่ามางานเลี้ยงเช่นนี้บ่อยนัก”
“ถ้าอย่างนั้นข้าไปบอกฮองเฮาดีหรือไม่เจ้าคะ” ฮูหยินห้ายิ้มพร้อมกับพูดต่อไปว่า “ท่านจะได้พักผ่อนอยู่ที่จวนอย่างสบายใจ”
ไท่ฮูหยินนิ่งเงียบ
มีเสียงหัวเราะดังออกมาจากห้องโถงข้างพระตำหนัก ก่อนจะมีคนตะโกนถามเสียงดัง “เหตุใดถึงไม่เห็นหย่งผิงโหวฮูหยิน นางไปแอบอยู่ที่ไหนกัน”
สืออีเหนียงตกใจ หันไปมองหน้าฮูหยินห้า จากนั้นก็รีบเดินเข้าไป
คนที่พูดคือคุณนายสี่สกุลถัง
สืออีเหนียงเดินเข้าไปตบไหล่นางเบาๆ “เสียงดังแบบนี้ ข้าตกใจหมดเจ้าค่ะ!”
คุณนายสี่สกุลถังหัวเราะอย่างขบขัน
คนที่อยู่ข้างๆ พูดขึ้น “ขอแสดงความยินดีกับหย่งผิงโหวฮูหยินด้วย ฮ่องเต้ทรงตรัสแต่งตั้งคุณชายน้อยหกของเจ้าเข้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการฝ่ายดูแลสุสานของเชื้อพระวงศ์ ขึ้นเป็นขุนนางสืบทอดตำแหน่งระดับสี่”
สืออีเหนียงใจเต้นระรัว
ฝ่ายดูแลสุสานของเชื้อพระวงศ์คือฝ่ายที่ดูแลหลุมศพของโอรสสวรรค์ รวมไปถึงเหล่าพระสวามีขององค์หญิง บอกว่าดูแลสุสานของเชื้อพระวงศ์ แต่ความจริงแล้วคนที่ดูแลล้วนแต่เป็นผู้บังคับกองพันและผู้บัญชากองร้อย ขุนนางสืบทอดตำแหน่งอย่างพวกเขาก็แค่สวมชุดเครื่องแบบเดินตามฮ่องเต้เมื่อฮ่องเต้ไปคารวะบรรพชน แล้วยังมีตำหนักบำเพ็ญศีล หอฟ้าเทียนถาน หอดินตี้ถาน ฮ่องเต้สิบปีไปตำหนักสุสานเพียงแค่ครั้งเดียว พวกเขาก็แค่นอนรอรับเงินเดือนอยู่ที่จวน สบายกว่าค่ายใหญ่ซีซานเสียอีก เพราะอย่างน้อยค่ายใหญ่ซีซานก็ยังต้องไปอยู่ที่ค่าย ยังต้องออกไปฝึกฝน แต่คนของฝ่ายดูแลสุสานของเชื้อพระวงศ์ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น
“พวกท่านไปฟังมาจากใคร” หัวใจของนางเต้นแรง นางไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ยิ่งไม่รู้ว่าคำพูดพวกนี้มาจากไหน “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน!”
“ได้ยินมาจากห้องหนังสือ” คุณนายสี่สกุลถังยิ้มแล้วพูดว่า “เฮ่อกงกงบอกให้คนไปเขียนพระราชโองการให้กระทรวงขุนนางแล้ว อีกสองวันฎีกาของกระทรวงขุนนางก็คงจะมาถึง” นางพูดเคล้าเสียงหัวเราะ “ถึงตอนนั้นเจ้าอย่าลืมจัดโต๊ะเลี้ยงอาหารพวกเราล่ะ”
“หากเป็นเรื่องจริงจะเลี้ยงพี่หญิงสักกี่มื้อก็ได้เจ้าค่ะ” สืออีเหนียงพูด “แต่ไม่รู้ว่าข่าวนี้แพร่ออกมาได้เช่นไร”
“มันคือเรื่องจริง!” พี่สะใภ้ของไท่ฮูหยินสกุลกานพูดด้วยรอยยิ้ม “ฮ่องเต้กำลังอยู่กับขุนนางสองสามคนที่ห้องหนังสือ องค์หญิงใหญ่ได้ส่งคนไปบอกหย่งผิงโหวให้พาบุตรชายกลับมา ฮ่องเต้เลยรู้ว่าหย่งผิงโหวพาคุณชายน้อยหกไปด่านหุบเขาจยาอวี้จึงแต่งตั้งให้คุณชายน้อยหกของเจ้ารับตำแหน่งผู้บัญชาการ…”
นางยังพูดไม่ทันจบ องค์หญิงใหญ่ก็บุกเข้ามา
“หย่งผิงโหวฮูหยิน ท่านรีบให้คนพาจิ่นเกอกลับมาเร็วเข้า” นางพูดด้วยท่าทีที่ภาคภูมิใจ “เสด็จพ่อทรงแต่งตั้งให้เขาเป็นผู้บัญชาการฝ่ายดูแลสุสานของเชื้อพระวงศ์ ให้เขารีบกลับมารับพระราชโองการเถิด”
สืออีเหนียงพลันสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าฮ่องเต้หมายความเช่นไร เขาคิดอย่างไรกับการที่จิ่นเกอไปด่านหุบเขาจยาอวี้ แล้วสวีลิ่งอี๋คิดเห็นเช่นไร จะจัดการเรื่องนี้แบบไหน
นางย่อเข่าขอบพระทัยองค์หญิงใหญ่
องค์หญิงใหญ่จับมือนาง “ให้เขากลับมาเร็วๆ เถิด ข้าเชิญน้องๆ ไปเตะลูกหนังที่ลานทิศตะวันออกในวันที่สี่ เขาต้องมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นข้าต้องพ่ายแพ้แน่นอน”
สืออีเหนียงขานรับ “เพคะ” อย่างนอบน้อม แต่ในใจกลับรู้สึกขมขื่น
องค์หญิงใหญ่เดินออกไปด้วยความปิติยินดี จากนั้นหวงเสียนอิงก็มาเชิญสืออีเหนียงไปพบฮองเฮา
“…ฮ่องเต้คือพระบิดาของราษฎร มีคุณธรรมและเกรียงไกร เขาจะแต่งตั้งตำแหน่งให้ใครเพียงเพราะคำพูดขององค์หญิงใหญ่ได้อย่างไรกัน” ฮองเฮาเอ่ยอย่างคลุมเครือ “หย่งผิงโหวเป็นคนแบบใด ฮ่องเต้ย่อมรู้ดีที่สุด เขาก็แค่ถือโอกาสเข็นเรือตามน้ำในวันเฉลิมพระชนมพรรษา เจ้ากลับไปบอกหย่งผิงโหวว่าให้เขารอรับพระราชโองการก็พอแล้ว เรื่องในพระราชวังยังมีข้าคอยจัดการอยู่!”
สืออีเหนียงมองดูใบหน้าที่อ่อนโยนของฮองเฮา ลอบพึมพำในใจว่า ไม่รู้ว่าท่านจะทำอะไรได้…แต่นางกลับคุกเข่าแล้วเอ่ยขอบพระทัยฮองเฮาอย่างรวดเร็ว
ฮองเฮาใบหน้าเปื้อนยิ้มด้วยความพึงพอใจ
นางจับมือสืออีเหนียง “ไปกันเถิด เราไปพระตำหนักใหญ่ด้วยกัน ใกล้จะเริ่มงานแล้ว!”