ตอนที่ 1022 ภูมิใจ
“นายคนนั้นคงคิดว่าเมื่อไม่มีแม่ทัพจ้าวและไช่เซียนเซิงเดินทางมาด้วย เขาจะล้างสมองข้าอย่างไรก็ได้กระมัง การกระทำของเขาไร้ความยำเกรงมากขึ้นเรื่อยๆ เขาอวดอ้างบารมีของข้ากระทำการโดยพละการหลายครั้ง ข้าแทบอยากฆ่าเขาทิ้งหลายรอบแล้วเจ้าค่ะ!” กล่าวถึงตรงนี้ไป๋จิ่นจื้อโมโหจนแทบทนไม่ไหว
“แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด ทว่า ข้ามองออกว่าเขากำลังทดสอบขีดจำกัดของข้า เขาเข้ามาก้าวก่ายเรื่องของข้าด้วยเจ้าค่ะ คงอยากรู้ว่าข้าจะตามใจเขามากเพียงใดเจ้าค่ะ”
“ต่อมาข้าคิดได้ว่าก็แค่การแสดง เหยียนอ๋องแสดงละครเก่งถึงเพียงนั้น ข้าก็ควรเรียนรู้จากเขาบ้าง ข้าจึงไม่ได้ห้ามปรามเขา แสร้งทำเป็นพึงพอใจในตัวเขา ปล่อยให้เขาทำตามอำเภอใจจนกว่าจะถึงขีดจำกัดของข้า ข้าจะดูสิว่าเขาต้องการทำสิ่งใดกันแน่เจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นจื้อยกยิ้มมุมปาก “ข้าคิดว่าคนผู้นี้อาจเป็นสายลับของแคว้นอื่น ขอเพียงสืบได้ว่าคนคือคนแคว้นใด บางทีพวกเราอาจใช้ประโยชน์จากเขาได้เจ้าค่ะ!”
การปล่อยให้ไป๋จิ่นจื้ออยู่ตามลำพังด้านนอกคนเดียวทำให้ไป๋จิ่นจื้อเติบโตเป็นผู้ใหญ่จนเหนือความคาดหมายของไป๋ชิงเหยียน
ไป๋จิ่นจื้อไม่เลยลืมคำสอนที่พี่หญิงใหญ่เคยสอนนางตอนที่นางอาละวาดฟาดแส้ใส่ชาวบ้านที่มาก่อเรื่องหน้าจวนไป๋ พี่หญิงใหญ่กล่าวว่าภายนอกที่แสดงออกไม่เหมือนภายใน ให้คนภายนอกเห็นว่านางยังคงเป็นคนใจร้อนวู่วามเหมือนเดิม ทว่า ให้นางรู้ขอบเขตของตัวเองในใจ
ดังนั้นไป๋จิ่นจื้อจึงคิดทบทวนคำสอนของพี่หญิงใหญ่อย่างจริงจัง พี่หญิงสามเคยกล่าวว่าหากนางทำได้ วันหน้าจะมีประโยชน์เป็นอย่างมาก
“บัดนี้เจ้ากลับมาแล้ว เจ้าก็พักอยู่ในวังหลวงนี่แหล่ะ พี่จะให้คนจับตาดูซุนเหวินเหยาผู้นั้นเอง เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง” ไป๋ชิงเหยียนนึกถึงท่านอาสะใภ้สามขึ้นมาจึงเอ่ยกำชับไป๋จิ่นจื้อ “อยู่เป็นเพื่อนท่านอาสะใภ้สามให้มาก”
“เจ้าค่ะ จริงสิ ซุนเหวินเหยารอข้าอยู่ที่ประตูอู่เต๋อเจ้าค่ะ เขากล่าวว่าชื่นชมบารมีของพี่หญิงใหญ่ ทว่า ไม่เคยมีโอกาสร่วมรบกับพี่หญิงใหญ่ ข้าฟังออกว่าเขาต้องการสื่อความหมายว่าเขาอยากพบพี่หญิงใหญ่เจ้าค่ะ ข้าจึงบอกเขาว่าจะเรียนให้พี่หญิงใหญ่ทราบ ให้พี่หญิงใหญ่ออกไปพบเขาเจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อกล่าวยิ้มๆ “ข้าว่าพี่หญิงใหญ่ปล่อยให้เขายืนตากแดดรออยู่ที่นอกวังต่อไปเถิดเจ้าค่ะ ข้าจะบอกเขาว่าข้าถูกท่านแม่ทำโทษ ปล่อยให้เขายืนตากแดดทั้งวันทั้งคืนจนตัวไหม้แล้วค่อยส่งคนไปบอกให้เขากลับไป ถือเป็นการแก้แค้นที่เขาเห็นข้าเป็นคนโง่ตลอดทางที่ผ่านมาเจ้าค่ะ!”
ไป๋ชิงเหยียนปล่อยให้ไป๋จิ่นจื้อทำเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ตามใจนาง หญิงสาวพยักหน้า แววตาเต็มไปด้วยความเอ็นดู “ได้ พี่จะให้เสี่ยวซื่อได้ระบายความโกรธ”
“ฝ่าบาท…” เว่ยจงเอ่ยเรียกเสียงเบา “บ่าวเห็นฮูหยินสามเดินมาแต่ไกลพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋จิ่นจื้อได้ยินว่ามารดาของตัวเองเดินมาจึงตกใจจนตัวสั่น สาวน้อยรีบหันไปถามไป๋ชิงเหยียน
“พี่หญิงใหญ่ ข้าคล้ำขึ้นกว่าเดิมมากหรือไม่เจ้าคะ”
“ไม่เลย เสี่ยวซื่อของเรายังงดงามเหมือนเดิม!” ไป๋ชิงเหยียนไม่ได้โกหก หญิงสาวหันไปสั่งให้เว่ยจงพาฮูหยินสามเข้ามาในตำหนักหากนางเดินมาถึง
บัดนี้ไป๋จิ่นจื้อกลายเป็นสาวแล้ว ร่างของนางสูงโปร่งกว่าเดิมมาก ใบหน้างามสะพรั่งเหมือนสาววัยพร้อมออกเรือน ประกอบกับได้พักผ่อนที่เมืองหานอยู่ระยะหนึ่ง ร่างกายของสาวน้อยจึงฟื้นฟูเกือบเป็นปกติ บัดนี้หากนั่งนิ่งไม่กล่าวสิ่งใด ไป๋จิ่นจื้อคือสาวน้อยงดงามร่าเริงคนหนึ่ง
“เมื่อท่านอาสะใภ้สามมาถึง เจ้าทำความเคารพนางอย่างนอบน้อม ท่านอาสะใภ้สามต้องภูมิใจในตัวเจ้ามากแน่…” ไป๋ชิงเหยียนกล่าวยิ้มๆ
แม้แต่ไป๋ชิงเหยียนเอง เมื่อได้ยินคำกล่าวเมื่อครู่ของไป๋จิ่นจื้อนางยังรู้สึกภูมิใจเลย สาวน้อยที่เคยมีนิสัยวู่วามรู้จักใช้นิสัยของตัวเองให้เป็นประโยชน์แล้ว
ไป๋จิ่นจื้อรีบกระชากหมอนรองนั่งมานั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่หน้าโต๊ะที่มีฎีกากองสูงของไป๋ชิงเหยียน
ฮูหยินสามหลี่ซื่อเดินประคองมือของหมัวมัวขึ้นบันไดมา เว่ยจงรีบถลาเข้าไปต้อนรับ หลี่ซื่อรีบกล่าวขึ้น “เจ้าไม่ต้องไปรายงาน ข้าจะรออยู่ด้านนอก เมื่อเสี่ยวซื่อคุยงานกับอาเป่าเสร็จ ข้าค่อยเข้าไปด้านใน…”
“ฝ่าบาททรงกำชับไว้ว่าหากฮูหยินสามมาถึงให้บ่าวเชิญฮูหยินสามเข้าไปในตำหนักขอรับ ฝ่าบาทคุยเรื่องสำคัญจบแล้วขอรับ” เว่ยจงกล่าว
หลี่ซื่อพยักหน้า “ได้ๆ ขอเพียงไม่รบกวนเวลางานของเด็กทั้งสองก็พอ”
เมื่อได้ยินข่าวการกลับมาของไป๋จิ่นจื้อ ฮูหยินสามหลี่ซื่อกระวนกระวายจนนั่งไม่ติดที่ ข่าวแรกที่ได้ยินคือเรื่องที่ไป๋จิ่นจื้อฟาดแส้ใส่ชาวบ้านในเมืองหลวง หลี่ซื่อโมโหจนแทบลมจับ นางจึงตัดสินใจมารอพบบุตรสาวที่นอกตำหนัก
แม้จะโมโห ทว่า นางรีบร้อนมาที่นี่เพราะคิดถึงบุตรสาวมาก…
ไป๋จิ่นจื้อจากไปนานแล้ว ไม่รู้ว่าบุตรสาวของนางจะคล้ำขึ้นหรือไม่
บัดนี้ไป๋จิ่นจื้ออายุมากแล้ว หลี่ซื่อกำลังเป็นห่วงเรื่องการแต่งงานของบุตรสาว
ตระกูลฝั่งมารดาของหลี่ซื่อเดินทางมาถึงวังหลวงแล้ว พวกเขาพาญาติผู้พี่ของไป๋จิ่นจื้อมาด้วย หวังจะให้เด็กทั้งสองได้พบหน้ากันสักครั้ง หากเป็นไปได้ พวกนางจะได้จัดการเรื่องการแต่งงานของเด็กทั้งสองคนให้เรียบร้อย
ผู้ใดจะคิดว่าเด็กนี่จะฟาดแส้ใส่ชาวบ้านทันทีที่กลับมาถึงเมืองหลวง ถึงแม้มารดาของหลีซื่อจะรักและเอ็นดูหลานสาวคนนี้มากเพียงใด ทว่า นางย่อมรักหลานชายของตัวเองมากกว่า เมื่อรู้ว่าไป๋จิ่นจื้อยังแก้นิสัยใจร้อนวู่วามของตัวเองไม่ได้ ตระกูลฝั่งมารดาย่อมเป็นห่วงหลานชายของตัวเองเป็นธรรมดา
หลี่ซื่อถอนหายใจ…
ช่างเถิด หากไม่สำเร็จก็ไม่สำเร็จ อย่างน้อยแต่งเขยเข้าตระกูลก็ได้
ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้พี่หญิงใหญ่ของไป๋จิ่นจื้อก็คือจักรพรรดินีแห่งต้าโจว ไม่รู้มีบุรุษมากมายเท่าใดอยากแต่งงานเข้ามาเป็นเขยในตระกูลไป๋ หลี่ซื่อปลอบใจตัวเองเช่นนี้
หลี่ซื่อประคองมือหูหมัวมัวเข้าไปด้านใน นางเห็นบุตรสาวของตัวเองนั่งอย่างสงบเสงี่ยมอยู่ข้างกายไป๋ชิงเหยียน เมื่อเห็นนางเข้ามาในตำหนัก ไป๋จิ่นจื้อรีบลุกขึ้นยืนต้อนรับ จากนั้นโค้งกายคำนับหลี่ซื่อ “คารวะมารดาเจ้าค่ะ ข้าอกตัญญู เดิมทีกลับมาจากเมืองหานข้าควรไปคารวะท่านแม่ก่อน ทว่า มีเรื่องเร่งด่วนไม่อาจรอช้าได้ ข้าจึงต้องรีบมาปรึกษาพี่หญิงใหญ่ก่อน ลำบากท่านแม่เดินมาที่นี่แล้ว ข้ารู้สึกผิดจริงๆ เจ้าค่ะ”
ไป๋จิ่นจื้อกล่าวพลางคุกเข่าก้มศีรษะคำนับหลี่ซื่อ
หลี่ซื่อตะลึง นางรีบจับมือหูหมัวมัวเดินไปด้านหน้าสองสามก้าว จากนั้นหันไปสบตาหูหมัวมัว วันนี้เสี่ยวซื่อกินยาอันใดเข้าไปถึงได้เรียกนางว่า…มารดาเช่นนี้!
หลี่ซื่อหันไปมองไป๋ชิงเหยียน ไป๋ชิงเหยียนลุกขึ้นทำความเคารพหลี่ซื่อยิ้มๆ “ท่านอาสะใภ้สาม…”
เมื่อเห็นบุตรสาวเป็นเช่นนี้ หลี่ซื่อรู้สึกไม่คุ้นชิน นางรีบกล่าวขึ้น “เจ้าลุกขึ้นเถิด!”
“หากมารดาไม่ยกโทษให้ข้า ข้าจะคุกเข่าอยู่เช่นนี้เจ้าค่ะ” ไป๋จิ่นจื้อก้มศีรษะคำนับอีกครั้ง
“เอาเถิดๆ เจ้ารีบลุกขึ้นเถิด” หลี่ซื่อกล่าว
ไป๋จิ่นจื้อได้ยินมารดากล่าวเช่นนี้จึงเงยหน้าขึ้นมองมารดายิ้มๆ “เช่นนี้แสดงว่าท่านแม่จะไม่ใช้ไม้ลงโทษข้าแล้วใช่หรือไม่เจ้าคะ”
หูหมัวมัวปิดปากหัวเราะกับท่าทีของไป๋จิ่นจื้อ “ฮูหยิน คุณหนูสี่ไม่ได้เปลี่ยนไปเจ้าค่ะ นางยังเป็นคุณหนูสี่คนเดิมเจ้าค่ะ!”
หลี่ซื่อถลึงตาใส่ไป๋จิ่นจื้อ “รีบลุกขึ้นเดี๋ยวนี้!”
“เจ้าค่ะ!” ไป๋จิ่นจื้อลุกขึ้นยืนยิ้มๆ
เมื่อเห็นบุตรสาวสูงขึ้นกว่าเดิมมาก สูงกว่านางในตอนนี้อีก ขอบตาของหลี่ซื่อร้อนผ่าวขึ้นทันที