บทที่ 4 วังหลวง (รีไรท์)
บทที่ 4 วังหลวง (รีไรท์)
“คุณหนูไม่ต้องคืนเงินเล็กน้อยนี้หรอกขอรับ”
หลินเจิ้งชิงไม่สามารถเปิดเผยตัวตนของซูเสี่ยวเป่าต่อคนนอกได้ เขาจึงพูดกับนางเหมือนคุณหนูผู้หนึ่ง
ซูเสี่ยวเป่าคิดก่อนจะพูดว่า “งั้น…ข้าจะปลูกของอร่อย ๆ ให้ท่านลุงกิน”
หลินเจิ้งชิงไม่ปฏิเสธ ทว่าเขาก็ไม่ได้จริงจังกับคำพูดของนางมากนัก
สุดท้ายแล้ว เด็กอายุสามขวบจะปลูกผักได้อย่างไร ยิ่งกับสถานที่เช่น ‘วังหลวง’
หลังจากซื้อของที่ต้องการแล้ว ซูเสี่ยวเป่าก็ไม่ขออะไรอีก
รถม้าชั้นดีมุ่งหน้าสู่เมืองหลวงภายใต้การคุ้มกันของหลินเจิ้งชิงและคนอื่น ๆ
ซูเสี่ยวเป่ารู้สึกตื่นเต้นมากเมื่อได้นั่งรถม้าเป็นครั้งแรก แววตาที่เป็นประกายมองทิวทัศน์ผ่านหน้าต่างรถม้าอย่างรู้สึกตื่นเต้น
แต่ในไม่ช้า…นางก็ไม่สามารถหัวเราะได้อีกต่อไป
รถม้าในสมัยโบราณไม่มีระบบการดูดซับแรงกระแทก และถนนก็ไม่ได้ราบเรียบเสียทีเดียว เด็กน้อยรู้สึกว่าร่างเล็ก ๆ กำลังจะแหลกสลายไป
ชวนให้คิดถึงวันที่บินได้ แม้จะไม่มีร่างกายจริง ๆ…
ซูเสี่ยวเป่าเปลี่ยนจากนั่งตัวตรงเป็นนอนแผ่ราบแทน เด็กหญิงพยายามทำให้ตัวเองสบายขึ้น แต่เพียงไม่ถึงครึ่งวัน นางก็รู้สึกปวดเมื่อยเนื้อตัวอีกครั้ง
แม้รถม้าจะถูกปูด้วยหนังสัตว์อ่อนนุ่ม นางก็ยังทนไม่ไหวอยู่ดี
แต่เพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับทุกคนและเพื่อตามหาบิดา เสี่ยวเป่าจึงพยายามอดทนให้ได้มากที่สุด
สองวันหลังจากนั้น หลินเจิ้งชิงก็พบว่าเด็กน้อยได้สูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมดไปแล้ว
เด็กเล็กมองเขาด้วยแววตาน่าสงสาร ปากเอ่ยถามว่า “เมื่อไรจะถึงเจ้าคะ”
เมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ หลินเจิ้งชิงก็พยายามปลอบโยนนาง “ไม่นานหรอก อีกเพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น”
ครึ่งชั่วยาม!
ซูเสี่ยวเป่ารู้สึกกระฉับกระเฉงขึ้นมาในทันที
ในที่สุดก็จะถึงแล้ว! ฟู่ว…ข้าจะไม่คิดถึงรถม้าอีกต่อไปแล้ว
หลังจากเดินทางไปได้ระยะหนึ่ง เด็กหญิงก็พบว่าถนนเริ่มราบเรียบขึ้น
หัวทุย ๆ โผล่ออกมาพร้อมกับมองไปด้านนอกหน้าต่างด้วยความอยากรู้อยากเห็น แล้วนางก็เห็นว่าถนนในตอนนี้เรียบกว่าถนนสายก่อนหน้านี้มาก และเมื่อมองไปสุดปลายถนน นางก็เห็นกำแพงเมืองสูงตระหง่านอยู่รำไร
นัยน์ตาของเสี่ยวเป่าสว่างวาบขึ้นมาในบัดดล
“ถึงแล้ว…ถึงแล้วใช่หรือไม่!?”
เด็กหญิงถามหลินเจิ้งชิงที่อยู่บนหลังม้าอย่างกระตือรือร้น นางไม่อยากนั่งรถม้าอีกแล้วตลอดชีวิตนี้
“พวกเรามาถึงแล้ว” หลินเจิ้งชิงตอบตามนางที่คาดไว้ เด็กหญิงตัวน้อยที่เอนตัวอยู่พลันตอบรับอย่างกระตือรือร้นด้วยรอยยิ้มกว้าง
ในที่สุด พวกเขาก็มาถึงประตูเมืองตามความคาดหวังของซูเสี่ยวเป่า
หลินเจิ้งชิงหยิบป้ายประจำตัวออกมา แล้วผู้พิทักษ์ประตูเมืองก็ปล่อยให้เขาเข้าไปทันที
เมืองหลวงมักพลุ่งพล่านไปด้วยผู้คน มันเป็นสถานที่สำหรับชนชั้นสูงและคนร่ำรวยอาศัยอยู่ ในอดีต ทุกคนเชื่อว่าองค์จักรพรรดิคือโอรสมังกรสวรรค์ และทุกคนต้องการที่จะใกล้ชิดกับโอรสมังกรสวรรค์กันทั้งสิ้น
ด้วยเหตุนี้ เมืองหลวงจึงมีขนาดใหญ่และมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก ถนนหนทางเองก็ราบเรียบและกว้างขวาง ต่อให้รถม้าหรูหราสองคันขับผ่านกันและมีคนเดินไปมาอยู่ มันก็ไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด แตกต่างจากเมืองเล็ก ๆ ที่ซูเสี่ยวเป่าอาศัยอยู่โดยสิ้นเชิง
องค์หญิงน้อยจ้องมองทุกสิ่งด้วยแววตาสงสัยตลอดทาง พอเห็นอาหารขายอยู่ตามสองข้างทาง น้ำลายก็สอออกมา และเมื่อเห็นการแสดงกายกรรม ร่างน้อย ๆ ก็ยืดออกไปนอกหน้าต่าง นางตื่นเต้นมากจนอยากจะรับชมใกล้ ๆ ซ้ำยังปรบมือให้ตลอดเวลาอีกด้วย
หลินเจิ้งชิงเห็นเด็กน้อยชอบก็บอกให้รถม้าเคลื่อนตัวช้าลง ท้ายที่สุด… เมื่อนางเข้าไปในวัง การจะได้ออกมาอีกนั้นก็นับเป็นเรื่องยากยิ่งแล้ว
แต่ไม่ว่าจะช้าเพียงใด รถม้าของซูเสี่ยวเป่าก็ยังคงมาถึงประตูวังในที่สุด
องค์หญิงน้อยมองไปที่ประตูพระราชวังซึ่งงดงามและยิ่งใหญ่กว่าประตูทุกบานที่นางเคยเห็นมาก่อน ดวงตากลมโตเบิกกว้าง แววตาเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น นี่คือสถานที่ที่นางจะอาศัยอยู่ในอนาคตใช่หรือไม่? ใหญ่โตมาก!
องค์หญิงเพียงหนึ่งเดียวแห่งราชวงศ์ต้าเซี่ยถูกพาตัวกลับมาแล้ว!
ตอนที่ได้รับข่าวนี้ จักรพรรดิแห่งราชวงศ์ต้าเซี่ยกำลังฝึกฝนศิลปะการต่อสู้
บุรุษผู้หล่อเหลาและอหังการถือกระบี่ยาวเปื้อนเลือดและสวมชุดสีดำ ดวงตาที่หรี่ลงไม่มีอารมณ์อื่นใดนอกจากจิตสังหารเข้มข้น แม้เขาจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับลูกสาว ทว่านัยน์ตาสีเข้มกลับปราศจากอารมณ์ใด ๆ
เบื้องหน้ามีร่างของชายฉกรรจ์นอนจมกองเลือด แขนขาของเขากระตุก ด้านข้างรายล้อมไปด้วยขันที นางกำนัล และราชองครักษ์ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น
หลินเจิ้งชิงอยู่ในชุดหัวหน้าองครักษ์ส่วนพระองค์ทำความเคารพฝ่าบาท เมื่อรายงานเรื่ององค์หญิงน้อยเรียบร้อยแล้ว เขาก็หันไปมองชายที่นอนชักกระตุกอยู่บนพื้นด้วยความคุ้นชิน
น้ำเสียงของหนานกงสือเยวียนไร้ซึ่งความแยแส หลังจากฟังจบ เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า “รู้แล้ว หาคนไปดูแลนางซะ”
วาจานั้นราวกับว่าไม่ใช่ลูกสาวของตนเอง แต่เป็นเพียงสัตว์เลี้ยงตัวน้อยที่ไม่สลักสำคัญ
หลินเจิ้งชิงตัวหยุดชะงักไปชั่วครู่ แม้เขาจะคาดเดาได้อยู่แล้ว แต่ในใจยังคงรู้สึกผิดหวังอยู่บ้าง ถึงกระนั้น เขาก็ไม่กล้าที่จะแสดงมันออกมา เพียงรับคำในลำคอด้วยความเคารพเท่านั้น
“พาตัวมันออกไป” ตรัสจบ หนานกงสือเยวียนก็โยนกระบี่ยาวเปื้อนเลือดทิ้งอย่างไม่ไยดี หัวหน้าขันทีก้าวขึ้นมาหาองค์เหนือหัวพร้อมกับยื่นผ้าเช็ดหน้าที่สะอาดให้
ฮ่องเต้เดินออกจากลานต่อสู้ไปอย่างไม่เร่งรีบ พลางเช็ดโลหิตสีแดงบนมืออย่างระมัดระวัง
ใต้ดวงตามีรอยดำคล้ำเล็กน้อย ริมฝีปากบางเม้มแน่นและคิ้วก็ปรากฏเป็นรอยย่นเล็ก ๆ นัยน์ตาสีเข้มฉายชัดถึงความบ้าคลั่งราวกับห้วงน้ำลึกบรรพกาลอันสะพรึงกลัว ยามนี้ผู้คนรอบตัวบุรุษสูงศักดิ์ต่างตัวสั่นงกงันไม่กล้าส่งเสียงออกมาแม้แต่คำเดียว
จนกระทั่งคนขึ้นนั่งบนเกี้ยวแล้วจากไป
หลินเจิ้งชิงกวักมือเรียกคนให้มาเอาตัวผู้ที่นอนอยู่บนพื้นไป “เอาตัวไป เค้นคำตอบมาให้ได้ว่าเป็นผู้ใด”
ฝ่าบาทชื่นชอบในการทำสงครามและเป็นผู้แย่งชิงบัลลังก์มาจากมือพระราชบิดาของตนเอง การผลัดเปลี่ยนแผ่นดินครานี้ย้อมเมืองหลวงจนทั้งเมืองนองไปด้วยโลหิตสีแดงฉาน
ตั้งแต่มีพระชนมายุได้สิบสองพรรษามาจนถึงปัจจุบัน ฝ่าบาทยังคงดำรงตนเฉกเช่นทหารทั่วไป อาหารการกิน กระทั่งการแต่งกายหาได้เหมือนกับองค์ชายองค์อื่นไม่ พระองค์กลับเลือกออกรบไปกับทุกคน เข่นฆ่าข้าศึกสังหารศัตรู นับว่าปรีชากล้าหาญยิ่งกว่าผู้ใด
ด้วยเหตุนี้ หลังจากขึ้นเป็นผู้ปกครองแผ่นดินที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า พระองค์ก็ยังคงชอบประลองฝีมือกับคนอื่น ๆ ลานประลองยุทธ์จึงถูกสร้างขึ้นเพื่อการนี้ บางครั้งผู้อื่นก็มาที่นี่เพื่อประลองฝีมือกับเขา และส่วนใหญ่มักประลองกับพระองค์แบบหนึ่งต่อหนึ่ง
แล้วนักฆ่าบางคนก็ใช้ประโยชน์จากช่องโหว่นี้ทำการลอบสังหารองค์จักรพรรดิ
การเคลื่อนไหวอย่างชำนิชำนาญของหลินเจิ้งชิงบ่งบอกว่าได้นี่ไม่ใช่ครั้งแรก
และแน่นอนว่า…มันคงไม่ใช่ครั้งสุดท้าย
มีคู่ประลองมากมายที่ตายตกภายใต้กระบี่ของหนานกงสือเยวียน และตัวพระองค์เองก็ไม่ได้สอบสวนอย่างละเอียด กลับเป็นหน่วยองครักษ์อวี่หลินเสียเองที่ต้องทำการสอบสวนอย่างละเอียดถี่ถ้วน ราวกับว่าพระองค์จงใจให้เป็นเช่นนั้น
หลินเจิ้งชิงไม่รู้ว่าฝ่าบาทกำลังคิดอะไรอยู่ และแน่นอนว่าเขาไม่กล้าคาดเดา
หลังจัดการทุกอย่างจนเรียบร้อยดีแล้ว เขาก็ฉุกคิดถึงเรื่องขององค์หญิงน้อยขึ้นมา นี่ก็เป็นวันที่ห้าแล้ว ในใจพลันอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเล็กน้อย หลินเจิ้งชิงสงสัยว่าองค์หญิงกำลังทำอะไรอยู่ในตอนนี้
ในช่วงห้าวันที่ผ่านมา หนานกงสือเยวียนในฐานะพระบิดา ไม่เคยไปเยี่ยมนางเลยแม้แต่ครั้งเดียว อันที่จริง พระองค์อาจลืมเรื่องของบุตรสาวคนนี้ที่ถูกพากลับมาจากข้างนอกแล้วด้วยซ้ำ