บทที่ 108 ท่านอ๋องกวนโมโห
บทที่ 108 ท่านอ๋องกวนโมโห
“ยังไม่ใช่เรื่องนี้หรือ? ถ้าเช่นนั้นเป็นเรื่องที่ข้าไปหลอกเอาภาพวาดของหลีรุ่นใช่หรือไม่? หรือว่า… ท่านรู้เรื่องที่ข้าสั่งให้คนปล่อยสุนัขขู่หวังอวี้สื่อจนตกใจกลัวแล้ว? หรือเป็นเรื่องที่บุตรชายคนโตและคนรองของข้าไปดื่มสุราที่หอจุ้ยเซียงแล้วไม่ระวัง จนเกือบจะทำให้หอจุ้ยเซียงไฟไหม้? หากเป็นเรื่องนั้นข้าชดใช้ค่าเสียหายไปแล้วนี่…”
หนานกงสือเยวียนยังไม่ทันได้เอ่ยสิ่งใด หนานกงหลีก็ร้อนตัวจนตั้งหน้าตั้งตาสารภาพผิดถึงสิ่งที่ตนและบุตรชายได้ทำลงไป
แต่ยิ่งเขาสารภาพ เสด็จพี่ก็ยิ่งหน้าดำคร่ำเครียดมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาจึงค่อย ๆ หรี่เสียงเบาลงจนในที่สุดก็เงียบสนิท จากนั้นทรุดตัวคุกเข่าบนพื้นพลางใช้มือทั้งสองข้างจับหูตนไว้
ใบหน้าของฝูไห่กงกงกระตุกไม่หยุดเหมือนเป็นลางบอกเหตุ
เซียวเหยาอ๋องหายไปที่ใดเสียแล้ว เหมือนว่าที่นี่จะมีเพียงท่านอ๋องกวนโมโห!
หนานกงสือเยวียนจ้องหนานกงหลีที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าพลางกระตุกยิ้มมุมปาก
“ดูเหมือนว่าทุกวันนี้เจ้าจะใช้ชีวิตได้ถึงพริกถึงขิงดีนะ”
หนานกงหลีได้แต่นิ่งเงียบไม่กล้าเอ่ยสิ่งใด
หนานกงสือเยวียนถอนหายใจ ไม่แปลกใจเลยที่เหล่าขุนนางจำนวนไม่น้อยจะนำเรื่องที่เซียวเหยาอ๋องก่อไว้มาฟ้องเขาทุกครั้งที่มีการประชุมขุนนาง คนผู้เดียวสร้างศัตรูได้มากมายขนาดนี้ จะว่าไปแล้วน้องชายของเขาก็เก่งกาจไม่น้อยเลย!
หนานกงสือเยวียนปรายตามองอีกฝ่ายด้วยสายตาเย็นเยียบ หนานกงหลีพลันคิดในใจว่า วันนี้เขาคงจะไม่รอดจากการถูกลงทัณฑ์เป็นแน่ แต่จู่ ๆ ก็ได้ยินน้ำเสียงเย็นชาเอ่ยถามเขา
“กุ้งก้ามแดงที่ส่งมาเมื่อวานนี้ผู้ใดเป็นคนทำ”
หนานกงหลีได้สติกลับมาทันที ที่แท้เสด็จพี่ก็เรียกเขาเข้าวังกะทันหันเพราะเรื่องนี้นี่เอง!
เขานึกเสียดายสุด ๆ หากรู้เร็วกว่านี้… หากเขารู้เร็วกว่านี้คงไม่ต้องพรั่งพรูเรื่องพวกนั้นออกไปเป็นแน่!
ตอนนี้เซียวเหยาอ๋องไม่สบอารมณ์มาก
“เสี่ยวเป่าไม่ได้บอกท่านหรือ? กุ้งก้ามแดงพวกนั้นเสี่ยวเป่าเป็นคนสั่งให้พ่อครัวในจวนอ๋องทำ”
หนานกงสือเยวียนได้ยินเช่นนั้น ในใจพลันรู้สึกว่าเรื่องนั้นเป็นความจริง
“เจ้าเองก็รู้ว่ากุ้งก้ามแดงมีมากจนเป็นปัญหา ข้าวางแผนจะจัดงานเลี้ยงในวังหลวง เพื่อให้ผู้คนได้ลิ้มลองกุ้งก้ามแดงแบบที่ข้าได้กินไปเมื่อวาน”
หนานกงหลีฮึกเหิมขึ้นมาทันที “ความคิดของท่านยอดเยี่ยมมาก ผู้ใดจะคาดคิดว่าเพียงใส่เครื่องเทศพวกนั้นลงไป ก็ทำให้กุ้งก้ามแดงอร่อยถึงเพียงนี้แล้ว คนพวกนั้นจะต้องประหลาดใจมากแน่!”
“เจ้ารีบบอกชื่อเครื่องเทศทั้งหมดที่จำเป็นต้องใช้ปรุงกุ้งก้ามแดงให้ข้าฟังที”
หนานกงหลีเกาหัวแกรก ๆ เขาจำไม่ได้ทั้งหมด จึงบอกอีกฝ่ายไปเพียงส่วนสำคัญ ๆ ที่เขาพอจะจำได้
เพียงเท่านั้นก็คงพอใช้ได้แล้วกระมัง
เมื่อหนานกงสือเยวียนได้ยินว่า จำเป็นต้องใช้เครื่องเทศราคาแพงหลายชนิด ซ้ำยังต้องใช้น้ำมันจำนวนมาก
เขาจึงคิดว่าหากเป็นเช่นนี้ แม้ราษฎรจะจับกุ้งก้ามแดงเองได้ แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่สามารถจ่ายเงินซื้อเครื่องเทศพวกนั้นได้
“พอแล้ว ที่เราเรียกเจ้าเข้าพบเพราะมีเรื่องให้เจ้าไปจัดการ ไปจัดหาภัตตาคารในเมืองหลวงเพื่อเปิดจำหน่ายกุ้งก้ามแดงในชื่อของเสี่ยวเป่า”
หนานกงสือเยวียนเล็งเห็นว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์ จึงวางแผนเปิดกิจการค้าขายให้ธิดาตัวน้อยด้วย
หนานกงหลีได้ยินเช่นนั้น นัยน์ตาดอกท้อ*[1]คู่นั้นก็สว่างวาบทันที
“ดีจริง! แม้พวกเขาจะรู้สูตรการทำกุ้งก้ามแดง แต่กว่าจะได้กินก็ต้องใช้เงินจำนวนมาก คนธรรมดาคงไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อของเหล่านั้นมาปรุงอาหารเองได้ แต่เราสามารถเปิดรับซื้อกุ้งก้ามแดงได้ แม้แต่ขอทานที่ยากจนที่สุดก็สามารถจับพวกมันมาขายให้เรา แล้วเราก็นำกุ้งก้ามแดงพวกนั้นมาทำเป็นอาหารขายในราคาที่สูงขึ้น”
งานเลี้ยงในครานี้ แม้คนทั่วไปจะไม่สามารถซื้อกุ้งก้ามแดงพวกนี้ได้ แต่เจ้าหน้าที่ระดับสูงและเหล่าขุนนางทั้งหลายย่อมต้องติดใจและอยากซื้อมัน สิ่งนี้จะไม่เพียงทำให้คนยากจนมีงานทำ แต่ยังแก้ปัญหากุ้งก้ามแดงที่มีมากเกินไปด้วย ที่สำคัญคือยังทำเงินได้ด้วย ฉะนั้นดีกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว!
หนานกงสือเยวียนพยักหน้า คิดได้ขนาดนี้ก็ถือว่าไม่โง่
น้องชายผู้นี้เพียงขี้เกียจเกินไป
หนานกงสือเยวียนนั่งหน้านิ่งเหมือนกำลังครุ่นคิดบางสิ่งอยู่ในใจ หรือไม่ก็กำลังคิดว่าจะหาเรื่องใดให้อีกฝ่ายทำ
ส่วนหนานกงหลีที่กำลังคิดว่าจะหาเงินจากขุนนางเหล่านั้นได้อย่างไรบ้าง จู่ ๆ ก็รู้สึกขนลุกซู่ จึงเงยหน้ามองไปรอบ ๆ อย่างหวาดระแวง แต่ก็ไม่เห็นมีสิ่งใด?
“ข้าจะให้เจ้าเป็นผู้ดูแลเรื่องนี้และต้องหารือกับเสี่ยวเป่าด้วยตนเอง” ราชโองการจากฝ่าบาทดึงความสนใจเขากลับมาทันที
“ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าได้เลย ท่านวางใจเถอะ!”
หนานกงสือเยวียนเห็นเขาเอ่ยรับคำเป็นมั่นเป็นเหมาะด้วยความมั่นใจ จู่ ๆ ก็รู้สึกเป็นกังวล
หนานกงหลีแทบรอไม่ไหวที่จะไปพบเสี่ยวเป่า แต่ก็ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงที่ดังขึ้นตามหลัง
หนานกงสือเยวียน “กลับไปคัดคัมภีร์เต้าเต๋อจิง*[2] สองรอบแล้วนำมาให้ข้าตรวจด้วย”
หนานกงหลี “!!!”
รอยยิ้มบนใบหน้าเขาค่อย ๆ แข็งทื่อพลางมองเสด็จพี่ของตนเหมือนไม่อยากเชื่อสายตา
ท่านมีจิตสำนึกหรือไม่? เหตุใดถึงเอาน้ำเย็นราดเขาในยามที่เขากำลังอารมณ์ดี ปากท่านไยจึงเย็นเยียบถึงเพียงนี้!
“เพราะเหตุใด!!!”
หนานกงสือเยวียนกระตุกมุมปาก “เจ้าก่อเรื่องไว้ไม่น้อย ข้าจึงอยากเตือนสติเจ้า”
หนานกงหลี “…”
แล้วเหตุใดท่านต้องใช้วิธีการที่ใจร้ายถึงเพียงนี้!
เซียวเหยาอ๋องเดินโซซัดโซเซออกไปตามหาเสี่ยวเป่าราวกับมะเขือม่วงที่ถูกแช่แข็งจนบอบซ้ำ
ด้านเสี่ยวเป่าก็กำลังยุ่งกับการจัดสวนเล็ก ๆ ของนาง
ดอกเฉียงเวย*[3] ริมรั้วเริ่มเลื้อยขึ้นกำแพงแล้ว แต่น่าจะบานประมาณปีหน้า
นางยังวางแผนว่าจะปลูกดอกไม้ตามมุมอื่น ๆ ของกำแพง และทำราวไม้ล้อมรอบไว้ด้วย
ตอนนี้พวกมันยังเล็กมาก เสี่ยวเป่าพยายามมาส่งพลังวิญญาณให้ทุกวัน พวกมันจึงเติบโตได้ดีมาก และคาดว่าจะบานสะพรั่งในปีหน้า ถึงตอนนั้นสวนนี้คงดูมีชีวิตชีวาและสวยงามมากเป็นแน่
ทั้งแตงโมที่นางปลูกก็ด้วย ตอนนี้มันโตจนมีขนาดเท่ากำปั้นผู้ใหญ่ และมันก็ใหญ่ขึ้นทุกวัน ๆ
“เสี่ยวเป่า”
เสียงเรียกจากเซียวเหยาอ๋องที่กำลังก้าวข้ามธรณีประตูฟังดูอ่อนแรง
เจ้าก้อนแป้งที่กำลังรดน้ำแตงโมด้วยบัวรดน้ำอันจิ๋วประจำตัว รีบหันไปส่งยิ้มนุ่มนวลจนตาปิดให้ผู้มาเยือน
ดวงตากลมโตคู่นั้นปิดลงจนกลายเป็นเหมือนพระจันทร์เสี้ยวดูน่ารักสดใสไร้เดียงสา
“ท่านอาเจ็ด~”
เสียงเล็ก ๆ ของเจ้าเด็กน้อยขานตอบทันที พอคนตัวเล็กเห็นว่าท่านอาเจ็ดดูเหมือนจะอารมณ์ไม่ดี จึงถามไถ่เขาว่าเกิดอันใดขึ้น
“ฮื่อ!!! ท่านพ่อของเจ้าใจร้ายเกินไปแล้ว ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าข้าเรียนไม่เก่งลายมือไม่ได้เรื่องอย่างกับสุนัขข่วน แล้วข้าก็รู้สึกมึนหัวทุกคราที่อ่านตำรา แต่เขาก็ยังสั่งให้ข้าคัดคัมภีร์ แล้วที่นี้ข้าจะทำอย่างไร!”
ยิ่งพูดหนานกงหลีก็ยิ่งขุ่นเคือง
เสี่ยวเป่าได้แต่กะพริบตาปริบ ๆ
ที่แท้ก็มาบ่นท่านพ่อให้ฟัง มิหนำซ้ำสีหน้าก็ยังดูไม่สู้ดีนัก
“ฮึก ฮึก เสี่ยวเป่า~ เจ้าไม่คิดจะปลอบใจอาเจ็ดสักนิดเลย เจ้าไม่รักไม่ห่วงใยอาเจ็ดแล้วใช่หรือไม่…”
เสี่ยวเป่า “…”
“ท่านอาเจ็ด ไม่เอาไม่ร้อง เสี่ยวเป่าโอ๋ ๆ ท่านนะ”
เสี่ยวเป่าเขย่งเท้าขึ้นลูบผมอีกฝ่ายทำราวกับกำลังกล่อมเด็กน้อยให้หยุดร้องไห้
ก็คำที่นางเอื้อยเอ่ยนั้นมันฟังเป็นอย่างอื่นได้ด้วยหรือ?
เหล่าข้ารับใช้ที่อยู่ใกล้ ๆ มองภาพนั้นก็แอบก้มหน้ากลั้นขำจนไหล่สั่น
หนานกงหลีรู้สึกละอายที่จะแสร้งทำเป็นร้องไห้ หลังได้ยินคำที่หลานสาวตัวน้อยใช้ปลอบประโลมเขา
“ไม่ได้ให้ปลอบเช่นนั้น เจ้าเพียงจุ๊บ ๆ อาเจ็ดก็พอแล้ว”
เสี่ยวเป่าร้องอ๋อก่อนจะโน้มตัวเข้าไปจุ๊บที่ข้างแก้มเขา
“ดีขึ้นแล้วนะเพคะ”
“ดีแล้ว ๆ”
พอถูกหลานสาวตัวน้อยเนื้อตัวนุ่มนิ่มและหอมละมุนจุ๊บปลอบแล้ว ความขุ่นมัวในใจของหนานกงหลีก็ลดลงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็เริ่มเล่าเรื่องกิจการในอนาคตอันใกล้ให้นางฟัง
ทันทีที่เสี่ยวเป่าได้ยินว่าท่านพ่อจะเปิดภัตตาคารค้าขายกุ้งมังกรให้ตนเอง เด็กน้อยก็ฉีกยิ้มกว้างสว่างไสว
“จริงหรือ! จากนี้ไปเสี่ยวเป่าจะกลายเป็นเถ้าแก่น้อยแล้ว!”
[1] นัยน์ตาดอกท้อ หมายถึง นัยน์ตากลมโต หางตาเรียวยาว หนังตาสองชั้น ให้ความรู้สึกเจ้าชู้เย้ายวน
[2] เต้าเต๋อจิง หมายถึง คัมภีร์ลัทธิเต๋าหรือคัมภีร์จีนโบราณที่มีเนื้อหากล่าวถึงธรรมชาติและปรัชญา
[3] ดอกเฉียงเวย หมายถึง กุหลาบเลื้อยสายพันธุ์เฉียงเวย