เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช – บทที่ 151 ข่าวลือจากจวนเซวียนผิงโหว

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

ตอนที่ 151 ข่าวลือจากจวนเซวียนผิงโหว

ตอนที่ 151 ข่าวลือจากจวนเซวียนผิงโหว

หลังจากได้รับเลือดของเสี่ยวเป่ามาแล้ว เจี่ยเจินก็รีบนำไปใช้สำหรับศึกษาการทำยา และแน่นอนว่าเขาต้องขอความช่วยเหลือจากใครบางคนด้วย

เซียวเหยาอ๋องไม่มีงานการใดต้องทำอยู่แล้ว ด้วยเหตุนี้เขาจึงได้ถูกขอให้ไปช่วยเตรียมยา!

เจี่ยเจินมีแผนการในใจอยู่แล้ว จึงตรงไปที่สำนักหมอหลวงเพื่อขอส่วนผสมยาที่ตนต้องการ เขาเดินวางท่าราวกับว่านี่เป็นห้องยาส่วนตัวของตนเอง

“ข้าสงสัยเหลือเกินว่า คนที่สำนักหมอหลวงของท่านเป็นอะไรกัน มีหมอหลวงผู้หนึ่งมองข้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ อย่างกับว่าข้าจะมาทำเรื่องไม่ดี ทั้งที่ไม่รู้จักกันด้วยซ้ำ บ้าหรือเปล่า”

เจี่ยเจินอดไม่ได้ที่จะบ่นขึ้นระหว่างปรุงยา หากสายตาทิ่มแทงนั้นไม่รุนแรงพอ ก็คงไม่มีทางทำให้คนผิวหนาเช่นเขารู้สึกตัวได้

หนานกงหลีที่ถูกลากมาช่วยปรุงยาก็ตอบกลับไปอย่างยียวน

“ผู้ใดกันล่ะ หรือว่าเจ้ามีคนรักเก่าอยู่ในสำนักหมอหลวงนี่ด้วย น่าสนุกแฮะ”

ที่สำนักหมอหลวงนี้มีเพียงผู้ชายเท่านั้น ฮ่า ๆ!

เจี่ยเจิน “…ไม่รู้สิ”

“หมอเจี่ย ข้านำส่วนผสมยาที่ท่านต้องการมาให้แล้ว”

เสียงหนึ่งดังขึ้น เจี่ยเจินเงยหน้ามองก็พบว่า เมื่อพูดถึงโจโฉโจโฉก็มา*[1] อะไรจะเหมาะเจาะถึงเพียงนี้!

เจี่ยเจินชี้ไปทางผู้มาใหม่ “เขา…เขา..เขานี่แหละ!”

หมอจาง “???”

“ทำไมเป็นเขาได้”

หนานกงหลีโพล่งขึ้นมา “ที่บอกว่าเป็นคู่กรณีของเจ้าคือเขางั้นหรือ คนที่เจ้าบอกว่าเอาแต่จ้องมาคือหมอจางงั้นหรือ!”

เสี่ยวเป่าทักทายหมอจางอย่างสุภาพ

หมอจางมองไปทางเด็กน้อยอย่างขุ่นข้องหมองใจ และถอนหายใจออกมา “ฝ่าบาทไม่ได้ทรงเรียกหาข้าในช่วงนี้ และองค์หญิงเก้าก็ไม่ได้เรียกหาข้าเช่นกัน”

พอว่าจบก็วางส่วนผสมยาลงด้วยใบหน้าเศร้าหมอง

ทุกคน “…”

เจี่ยเจินหัวเราะออกมาเสียงดัง “ที่แท้ก็เป็นฮ่องเต้และเสี่ยวเป่าที่เป็นผู้หักอกท่านหมอสินะ”

ดวงตาของเสี่ยวเป่าเต็มไปด้วยความสงสัย ไยนางกับท่านพ่อถึงหักอกคนอื่นได้เล่า

ช่วงเวลาของการเตรียมยาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และระหว่างนั้นพวกเขาก็ได้ยินเรื่องราวบางอย่างด้วย

ข่าวลือเกี่ยวกับคุณชายตัวอ้วนจากตระกูลหลี่

คนขับรถม้ารู้เรื่องราวต่าง ๆ แล้วจึงได้มารายงานให้ทราบ

“ทางการไม่ได้สอบสวนพวกเขาขอรับ คุณชายตระกูลหลี่และตระกูลจี้ไกล่เกลี่ยกันเองแล้วก็ถูกพาตัวกลับไป”

พอได้ยินว่าเรื่องราวออกมาเป็นเช่นนั้น ทั้งหนานกงหลีและเจี่ยเจินก็ดูจะผิดหวัง

เจี่ยเจิน “หากตอนนั้นข้าทำอะไรบางอย่างเพื่อหยุดความขัดแย้ง บางทีเรื่องตอนนี้อาจจะสนุกขึ้นกว่านี้ก็เป็นได้”

หนานกงหลีพยักหน้าตามอย่างเสียไม่ได้

เสี่ยวเป่ายกมือขึ้นบ้าง “ใช้พิษหรือเจ้าคะ”

หนานกงหลี “แค่ก ๆ ไม่ ๆ เด็ก ๆ ไม่ควรเรียนรู้เรื่องเหล่านี้”

“แม้จะไม่ได้มีการสอบสวนคนทั้งคู่ แต่ข้าก็พอจะรู้สาเหตุของความขัดแย้งระหว่างทั้งสองแล้ว”

หนานกงหลีและเจี่ยเจินต่างหูผึ่ง ตั้งใจฟังทันที

ปรากฏว่าก่อนจะเกิดเรื่องดังที่พวกเขาเห็น ทั้งสองต่อสู้กันเพราะแย่งนางคณิกา หรือให้ละเอียดกว่านั้นก็คือ หลี่ฮ่าวฉุนสนใจในตัวคณิกานางนั้น และจี้ไหวก็ตั้งใจเข้ามาหาเรื่อง คนที่เขาพามานั้นแน่นอนว่าเตรียมมาเพื่อต่อสู้โดยเฉพาะ

ต้นเหตุของเรื่องทั้งหมดเกิดจากหลี่หนานจู

แม้ว่าตระกูลของเซวียนผิงโหวจะล่มสลายไปเพราะฮ่องเต้พระองค์ก่อน แต่ต่อมาเซวียนผิงโหวและองค์หญิงเหอซั่ว*[2]ได้ส่งบุตรีของพวกเขาเข้าวัง กลายเป็นกุ้ยเฟยผู้สูงศักดิ์ให้กำเนิดองค์ชายรองที่มีแนวโน้มจะเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์มากที่สุด

ไม่ว่าพระสนมจะมีที่มาอย่างไร แต่การเป็นพระมารดาขององค์ชายรองก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้ผู้คนยำเกรงในอำนาจของคนจวนเซวียนผิงโหว

ดังนั้น คืนวันแห่งความรุ่งโรจน์ของตระกูลหลี่จึงได้หวนกลับมาอีกครั้ง

คนตระกูลหลี่มักหยิ่งยโสชอบแสดงอำนาจบาตรใหญ่เสมอ หลี่หนานจูอายุยังไม่ถึงวัยออกเรือน นางก็ไปพึงใจจี้อวิ่นอันคนของตระกูลจี้ตั้งแต่แรกเห็นเสียแล้ว นางขอร้องให้ผู้ใหญ่ไปคุยกับตระกูลจี้

ผู้ใหญ่ในจวนเซวียนผิงโหวไตร่ตรองดูแล้วก็พบว่า แม้ครอบครัวของจี้อวิ่นอันจะไม่ได้มีตำแหน่งทางราชสำนักใหญ่โตอะไรนัก แต่เขาก็เป็นคนหนุ่มที่มีความสามารถ หลังจากผ่านการสอบคัดเลือกแล้วก็มีแนวโน้มที่มั่นคงในหน้าที่การงาน ทุกคนจึงได้เห็นดีเห็นงามกับความต้องการของนางในครั้งนั้น ทว่ากลับกลายเป็นว่า ตระกูลจี้ได้หมั้นหมายสตรีอื่นให้เขาอยู่แล้วหลังจากไปทาบทาม

หลี่หนานจูไม่สนใจเรื่องนั้น อย่างไรตอนนี้จี้อวิ่นอันก็ยังไม่ได้แต่งงาน หากนางร้องไห้ฟูมฟาย ก่อปัญหา และขู่จะแขวนคอตัวเอง ครอบครัวก็ต้องยอมไปเจรจาเรื่องนี้ให้ เพราะการหมั้นนั้นเป็นเพียงการหมั้นหมายด้วยวาจา จะมีการแต่งงานขึ้นจริงหรือไม่ก็ยังไม่อาจทราบได้ เพียงแค่ขัดขวางไม่ให้เขาแต่งงานได้ทุกอย่างก็เรียบร้อย

บิดาของจี้อวิ่นอันเป็นเพียงรองเสนาบดีกรมกลาโหม จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาไม่อาจต่อกรกับคนจากจวนเซวียนผิงโหวได้ง่ายดายปานนั้น ทว่าสองสามีภรรยาตระกูลจี้ต่างก็เป็นคนมีเหตุผลและมองการณ์ไกล พวกเขาเคยเห็นหลี่หนานจูแล้วและทราบดีว่านางเป็นคนอย่างไร

หากแต่งนางเข้าตระกูลจริง ๆ มีหวังได้ทำให้อนาคตของบุตรชายต้องย่ำแย่เป็นแน่

การแต่งงานกับภรรยาที่เพียบพร้อมสำหรับผู้ชายในยุคนี้ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องเล่น ๆ หากได้แต่งงานกับภรรยาที่มีเหตุผล ใจกว้าง มีความสามารถก็จะยิ่งสนับสนุนสามี แต่หากได้ภรรยาหยิ่งยโสชอบใช้อำนาจสร้างปัญหาไปทั่ว แม้จะมาจากตระกูลใหญ่โตก็คงจะรักษาบารมีไว้ได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ในภายภาคหน้า คงมีแต่เรื่องเสียหายมากกว่าคุณความดี และยังอาจจะเสื่อมเสียไปชั่วลูกชั่วหลาน

นอกจากนี้ บุตรชายของพวกเขายังได้หมั้นหมายกับสตรีที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเยาว์วัย ตระกูลจี้เห็นว่าทั้งสองเหมาะสมมากที่จะแต่งงานกัน

ดังนั้น เมื่อคนจากจวนเซวียนผิงโหวทนต่อความหลงใหลที่หลี่หนานจูมีไม่ไหว จนต้องเดินทางมาเพื่อทาบทาม ตระกูลจี้จึงปฏิเสธกลับไปอย่างสุภาพ

แม้ว่าหลี่หนานจูจะไม่พอใจที่ตระกูลจี้ปฏิเสธนาง แต่ก็ไม่ได้ยอมแพ้เพียงเท่านั้น นางไปหน้าจวนตระกูลจี้ด้วยท่าทีนอบน้อมและกล่าวว่า นางไม่สนใจว่าจี้อวิ่นอันจะหมั้นหมายมาก่อนแล้ว ตราบใดที่ยกเลิกการหมั้นของเขา นางก็จะแต่งงานกับเขา

คุณหนูหลี่คิดว่า ในใต้หล้านี้ไม่มีผู้ใดกล้าปฏิเสธจวนเซวียนผิงโหวที่เป็นถึงตระกูลพระสนมของฮ่องเต้ได้

ในตอนนั้น ฮูหยินตระกูลจี้ถึงกับเป็นลมหมดสติไปเพราะความโกรธ จี้ไหวเองก็โมโหอย่างมาก ตำหนิหลี่หนานจูว่าเป็นสตรีไร้ยางอายและขับไล่นางออกไป ทั้งสองตระกูลจึงบาดหมางกันด้วยเรื่องเช่นนี้

เดิมที ความแค้นเคืองระหว่างทั้งสองตระกูล อย่างไรตระกูลจี้ก็ต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

แต่จี้อวิ่นอันเองก็เป็นบัณฑิตจอหงวนที่ใคร ๆ ต่างยอมรับ ผู้คนอาจจะมองว่าจวนเซวียนผิงโหวหวนคืนสู่ความรุ่งโรจน์ดั่งวันวานอีกครั้งแล้ว แต่จี้อวิ่นอันกลับมองว่าอำนาจของพวกเขาไม่ต่างอะไรจากเสือกระดาษที่มีเพียงเพื่อใช้ข่มขู่เท่านั้น

หลังจากไตร่ตรองเรื่องที่เกิดขึ้นกับครอบครัวของตนเองทั้งหมดแล้ว เขาก็บอกให้บิดาทำทุกอย่างไปตามปกติ หากมีคนจากจวนเซวียวผิงโหวมาสร้างปัญหา เขาก็จะต่อกรกับอีกฝ่ายอย่างเปิดเผย ยื่นฎีกาให้ฮ่องเต้ทรงตัดสินพระทัยในเรื่องนี้

หากรูปการณ์ออกมาเป็นเช่นนี้ จวนเซวียนผิงโหวจะมีหน้าไปสร้างปัญหาต่อหน้าพระพักตร์ได้อย่างไร คนอื่น ๆ อาจไม่ทราบ แต่พวกเขานั้นทราบดีกว่าใคร ฮ่องเต้ไม่ได้ทรงโปรดปรานพระสนมแม้แต่น้อย ฐานะของพระนางก็ไม่ได้มั่นคงถึงขนาดนั้น

ยิ่งไม่ต้องพูดถึงจวนเซวียนผิงโหวเลยว่า พวกเขาเคยเป็นขุนนางใกล้ชิดของฮ่องเต้พระองค์ก่อน และฮ่องเต้องค์ปัจจุบันก็เกลียดชังฮ่องเต้องค์ก่อนเป็นอย่างมาก ที่ตอนนี้พวกเขายังอยู่รอดได้ ล้วนเป็นเพราะความสัมพันธ์ของพระสนมกับองค์ชายรองเท่านั้น

อีกอย่าง เรื่องนี้ยังเป็นเรื่องที่พวกเขาทำไม่ถูกต้องอีกด้วย

และที่สำคัญ ไม่เพียงฮ่องเต้เท่านั้น แม้แต่องค์ชายรองเองก็ไม่ได้โปรดตระกูลหลี่ของเขาด้วยเช่นกัน

ดังนั้น จี้อวิ่นอันจึงเชื่อมั่นมากว่า จวนเซวียนผิงโหวจะไม่กล้ามีเรื่องกับตระกูลจี้ต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้แน่นอน

[1] เมื่อพูดถึงโจโฉ โจโฉก็มา (好家伙说曹操曹操到) หมายถึง พูดถึงใครแล้วคนที่ถูกพูดถึงก็มาพอดี

[2] องค์หญิงเหอซั่ว (和硕公主) เป็นตำแหน่งของพระธิดาที่เกิดกับพระสนม

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

เมื่อข้าเป็นองค์หญิงน้อยของฮ่องเต้ทรราช

Status: Ongoing
จากลูกเป็ดขี้เหร่สู่การเป็นองค์หญิงคนสุดท้องแห่งราชวงศ์ ความน่ารักของซูเสี่ยวเป่าพร้อมจะพิชิตใจทุกคนแล้ว!หลังจากภูตพฤกษาตัวน้อยตายลง นางก็มาเกิดในยุคสมัยโบราณ และหลงคิดไปว่าตนเองเป็นเพียงเด็กลูกชาวบ้านแถบชนบทธรรมดา ๆ แต่คาดไม่ถึงเลยว่าท่านพ่อที่นางไม่เคยพบหน้ามาก่อนจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่ปานนี้เขา…ถึงกับเป็นราชาของแผ่นดิน!เสี่ยวเป่าที่อายุเพียงสามขวบถูกพาตัวไปยังพระราชวังทันทีหลังจากที่แม่ของนางสิ้นชีพลง แล้วนางก็กลายเป็นองค์หญิงน้อย สตรีเพียงหนึ่งเดียวท่ามกลางพี่ชายแปดคน!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน