บทที่ 225 เสี่ยวเป่าต้องหาเงินเยอะ ๆ
บทที่ 225 เสี่ยวเป่าต้องหาเงินเยอะ ๆ
หนานกงจ้านเกิดมามีรูปร่างสูงใหญ่ เสี่ยวเป่าจึงยิ่งดูตัวเล็กลงถนัดตาเมื่อยืนอยู่ข้างเขา
ตอนนี้ทั้งคู่กำลังป้อนหญ้างอกงามให้เฉาเฟิง เสี่ยวเป่าก็เล่าหลายเรื่องที่ตนคิดว่าน่าสนใจด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน เขาเองก็ตั้งใจฟังไม่ต่างกัน และมิได้แสดงท่าทีรำคาญเลยแม้แต่น้อย
หนานกงหลีโบกพัดไปพลาง เดินไปพลาง ทันใดนั้นเขาก็ถูกอกถูกใจม้าของพี่สี่ในทันที
“อาชาชั้นเลิศ พี่สี่ ข้าขอม้าตัวนี้ได้หรือไม่”
ขึ้นชื่อว่าบุรุษ ไม่ว่าผู้ใดล้วนหลงใหลในอาชา
หนานกงจ้าน “เฉาเฟิงเป็นสหายข้า”
สำหรับนักรบเช่นพวกเขา อาชาศึกไม่ได้เป็นเพียงสัตว์พาหนะ แต่เป็นยิ่งกว่าสหายรู้ใจ
เสี่ยวเป่าลูบหัวเฉาเฟิงเบา ๆ “เฉาเฟิงเป็นสหายร่วมรบของท่านอาสี่”
หนานกงจ้านทวนคำว่า ‘สหายร่วมรบ’ และพบว่าเป็นคำเรียกที่ไม่เลวทีเดียว
“ก็ได้ ๆ เช่นนั้นพี่สี่จะหาม้าแบบนี้ให้ข้าเมื่อใดเล่า”
“ยาก”
โดยปกติแล้ว ม้าป่าตามธรรมชาติจะใช้ชีวิตอยู่ในทุ่งหญ้าอันไกลโพ้น อีกทั้งเป็นเรื่องยากที่จะฝึกให้เชื่อง
มีสถานที่เพียงไม่กี่แห่งที่ราชวงศ์ต้าเซี่ยสามารถเลี้ยงม้าได้ คนฝึกม้าก็มีจำนวนไม่มาก โอกาสที่จะได้ม้าพันธ์ุดีมาครอบครองจึงน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย
ฉะนั้นแล้ว หากอยากได้ม้าดี ๆ เช่นนี้ ใช่ว่ามีเงินอย่างเดียวแล้วจะหามาได้ แต่ต้องมีลู่ทางด้วย
หนานกงจ้านนับว่าโชคดียิ่งนักที่ชิงม้าสีดำขลับตัวนี้มาจากกองทัพของศัตรูในระหว่างการสู้รบได้
ในตอนนั้นเฉาเฟิงมีนิสัยดื้อรั้นและยังหยิ่งผยอง แม่ทัพฝ่ายศัตรูเองก็เพิ่งได้มันมายังไม่ทันจะฝึกให้เชื่อง หลังจากชิงมาได้ไม่ถึงสองวัน หนานกงจ้านก็ปราบพยศมันได้สำเร็จ บัดนี้มันจึงกลายเป็นสหายร่วมรบที่พร้อมจะร่วมเป็นร่วมตายไปกับเขา
หนานกงหลีทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ “ข้าไปหาเองก็ได้!”
เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะหาอาชาชั้นเลิศบ้างไม่ได้
แต่เมื่อมองเจ้าเฉาเฟิงเขาก็รู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา หนานกงหลีเลยเอื้อมเข้าไปหวังจะสัมผัสมัน
“อย่า!”
หนานกงจ้านเตือนช้าไป หนานกงหลียังไม่ทันจะลูบเฉาเฟิง ก็ถูกลมหายใจโชยเข้าปะทะ น้ำลายกระเซ็นไปทั่วใบหน้า หากไม่ใช่เพราะความรวดเร็วของเขาก็คงจะถูกเจ้านี่กัดมือไปแล้ว…
หนานกงหลีลูบมือของตัวเองอย่างหวาดหวั่น เมื่อเห็นเฉาเฟิงจ้องแต่จะยกกีบเท้าเข้าใส่ ก็พลันรู้สึกโมโหทันที
“เจ้าม้าสองมาตรฐาน! พวกเขาจับเจ้าได้ แล้วเหตุใดพอเป็นข้าถึงพ่นน้ำลายใส่ ซ้ำยังคิดจะกัดข้าอีก มันน่าเจ็บใจนัก! ”
เขาเรียนคำว่า ‘สองมาตรฐาน’ มาจากเสี่ยวเป่า ยามนี้เขารู้สึกว่าไม่มีผู้ใดเหมาะกับคำนี้มากไปกว่าเจ้าเฉาเฟิงอีกแล้ว
เฉาเฟิงพ่นลมฟึดฟัดทางจมูก จ้องมองหนานกงหลีด้วยสายตาเหยียดหยาม
หนานกงหลีถกแขนเสื้อขึ้น “อย่าห้ามข้า ไม่ว่าใครก็อย่ามาห้ามข้า วันนี้ข้าจะต้องสั่งสอนมันให้ได้”
เสี่ยวเป่ารีบเข้าไปกอดขาเรียวยาวของเขาเอาไว้ “ท่านอาเจ็ดอย่าโกรธเลยนะ เฉาเฟิงไม่ได้ตั้งใจ”
เฉาเฟิงพ่นลมใส่หนานกงหลีเป็นครั้งที่สอง
หนานกงหลีชี้หน้ามันอย่างไม่อยากจะเชื่อ “นี่น่ะหรือ นี่น่ะหรือที่บอกว่าไม่ได้ตั้งใจ?!”
เสี่ยวเป่า “…”
เอาเถอะ นางคงโกหกต่อไม่ได้แล้ว
“อย่าห้ามข้า!”
หนานกงจ้านยืนกอดอกอยู่ด้านข้าง ไร้ซึ่งความคิดที่จะเข้าไปขวาง
มีเพียงเจ้าก้อนแป้งตัวกระจ้อยร่อยที่ห้อยต่องแต่ง ทว่าหนานกงหลีที่ปากพูดอย่างห้าวหาญ แต่เท้ากลับไม่ขยับเขยื้อนเลยสักนิด
หนานกงจ้าน: …นึกอยู่แล้วเชียว
หากว่าเสี่ยวเป่าไม่ได้กำลังเกาะอยู่ ละครฉากนี้คงเงอะงะน่าดู
หนานกงหลีแค่นเสียงในลำคอ “หากไม่ใช่เพราะเสี่ยวเป่า เจ้าโดนดีไปนานแล้ว”
เด็กเล็กกะพริบตาปริบ ๆ นางตัวหนักขนาดนั้นตั้งแต่เมื่อใดกัน
หลังออกมาจากคอกม้า หนานกงหลีก็ยังก่นด่าไม่หยุดพลางจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่
หน้าเลอะน้ำลายม้าเต็มไปหมด เขาต้องรีบไปล้างออก แล้วก็เปลี่ยนเสื้อผ้าด้วย
เสี่ยวเป่าจึงใช้โอกาสนี้จูงมือท่านอาสี่เดินเล่นไปทั่วจวนเจิ้นหนานอ๋องจนแทบจะวนครบหนึ่งรอบ
หลังจากนี้ นางมีสถานที่ให้เที่ยวเล่นและพักผ่อนยามที่ออกจากวังเพิ่มมาอีกหนึ่งแล้ว ฮิ ๆ…
“พวกพี่ ๆ เล่าเพคะ?”
ที่แห่งนี้ไม่คึกคักเหมือนกับจวนเซียวเหยาอ๋อง จวนเจิ้นหนานอ๋องค่อนข้างสงบและอ้างว้าง จนถึงตอนนี้นางก็ยังไม่เห็นญาติผู้พี่เลยสักคนเดียว!
หนานกงจ้าน “อยู่เมืองที่ข้าประจำการ”
เขาประจำการอยู่ที่หนานเจียง*[1]มาเป็นเวลาหลายปี โดยพื้นฐานแล้ว พวกบุตรชายก็จะถูกโยนเข้าค่ายทหารเพื่อฝึกฝนเช่นกัน
“แล้วญาติผู้พี่ไม่กลับมาด้วยหรือ”
“กลับ ญาติผู้พี่ทั้งห้าคนของเจ้ากำลังอยู่ระหว่างเดินทาง”
เสี่ยวเป่ารับคำด้วยเสียงนุ่มนวล มีญาติผู้พี่ตั้งห้าคน จะให้อะไรพวกเขาเป็นของขวัญดีนะ
เฉ่าเหมยในเรือนเพาะชำใกล้จะสุกแล้ว ให้พวกพี่ ๆ กินเฉ่าเหมยลูกโต ๆ ดีกว่า!
เสี่ยวเป่านั่งเล่นที่บ้านของท่านอาสี่อยู่นาน เมื่อใกล้เวลาปิดประตูวังก็ถึงเวลาที่เสี่ยวเป่าจะต้องกลับไป
หนานกงจ้านไม่อยากแยกจากหลานสาว ทว่ามีคนของเสด็จพี่มารับนาง เขาจึงได้แต่จำใจมิอาจรั้งให้เสี่ยวเป่าอยู่ต่อได้
เหตุใดเสี่ยวเป่าถึงไม่ใช่ลูกสาวของเขานะ
หนานกงจ้านที่รั้งหลานสาวตัวน้อยไว้ไม่ได้ ทำได้เพียงยัดข้าวของกองโตใส่รถม้าของเสี่ยวเป่าไปด้วย
ไข่มุกเกลี้ยงเกลาหีบใหญ่ เมืองที่เขาประจำการตั้งอยู่ติดชายทะเล ไข่มุกจึงเป็นของท้องถิ่นของที่นั่น ก่อนที่เขาจะกลับมา ได้สั่งให้คนที่สามารถหายใจใต้น้ำได้ลงไปงมจากก้นทะเลมาให้นางโดยเฉพาะ จากนั้นก็คัดเลือกแต่ไข่มุกเม็ดกลมโตและนำกลับมา
นอกจากนี้ ยังมีลูกจิ้งจอกตัวน้อยที่มีขนสีแดงดุจเปลวเพลิงถูกขังอยู่ในกรงอีกหนึ่งตัว
เจ้าจิ้งจอกมีขนปุย ๆ ปกคลุมไปทั้งตัว ไม่มีขนส่วนเกินที่ชี้ตั้งขึ้นมาให้เห็น ตัวอ้วนกลมคล้ายกับลูกไฟ
ดูงดงามและน่ารักในคราเดียว
“ข้าเจอมันในป่าระหว่างทาง แม่จิ้งจอกตายแล้ว ลูก ๆ ของมันก็เหลือแค่เจ้าตัวนี้ตัวเดียว ข้าเอาเนื้อสับให้มันกิน จากนั้นก็พากลับมาด้วย”
เขาได้ยินมาว่าเด็กเล็ก โดยเฉพาะเด็กผู้หญิงชื่นชอบสัตว์ขนปุยมากที่สุด หลานสาวตัวน้อยของเขาบอกว่าชอบเจ้าสัตว์ร้ายกินเหล็กที่เขานำมาให้ก่อนหน้านี้มาก ดังนั้นของขวัญชิ้นนี้ต้องถูกใจนางอย่างแน่นอน!
เสี่ยวเป่าเบิกตากว้าง นัยน์ตาคู่งามฉายประกายตื่นเต้น “ขอบคุณท่านอาสี่เพคะ!”
“งี้ด ๆ”
เจ้าลูกจิ้งจอกขนฟูในกรงใช้อุ้งเท้าเล็ก ๆ ของมันตะกุยลูกกรง ดวงตาที่กินพื้นที่เกือบครึ่งบนใบหน้าดูกลมโตน่าเอ็นดู บัดนี้มันกำลังมองเสี่ยวเป่าด้วยดวงตาที่ชื้นแฉะพร้อมกับส่งเสียงร้องน่าสงสาร
เสี่ยวเป่าเปิดกรงออก
หนานกงจ้านรีบห้าม “ระวังมันหนี”
ทว่าลูกจิ้งจอกสีแดงเพลิงที่หวาดกลัวจนแทบจะวิ่งหนีทันทีที่เห็นเขา บัดนี้กลับกระโดดออกจากกรงแล้วพุ่งเข้าสู่อ้อมอกของเสี่ยวเป่า ก่อนจะส่งเสียงน่าสงสารขณะซุกอยู่ในอ้อมแขน ราวกับเป็นเด็กน้อยขนฟูถูกรังแกและได้พบกับที่พึ่งพิงของตนในที่สุด
เสี่ยวเป่าลูบหัวมันอย่างอ่อนโยน “เด็กดี ๆ”
หนานกงจ้าน “…”
เหตุใดเมื่ออยู่กับเสี่ยวเป่าสัตว์เหล่านี้ถึงได้เชื่องนัก เจ้าเฉาเฟิงผู้เย่อหยิ่งที่ไม่เคยสนใจผู้ใดนอกจากเขา ยังเป็นฝ่ายเริ่มเข้าหาเสี่ยวเป่าทั้งที่ได้เจอเป็นครั้งแรก
ตอนนั้นเขายังกลัวว่าเฉาเฟิงจะยกกีบเท้าใส่เสี่ยวเป่าด้วยซ้ำ
เจ้าจิ้งจอกขี้ขลาดตัวนี้ก็เป็นกับเขาไปด้วย ทันทีที่เห็นหลานสาวตัวน้อยของเขา มันก็ทำเสียงงี้ด ๆ และมุดเข้าไปในอ้อมกอดของนาง
“ผลไม้พวกนี้เจ้านำกลับไปกินด้วย ยังมีของอีกบางส่วนที่กำลังเดินทางมา รอญาติผู้พี่ของเจ้ากลับมาแล้วข้าจะส่งไปให้ทีหลัง”
เสี่ยวเป่ามองข้าวของบนรถม้า ท่านอาสี่คงไม่ได้ขนของในคลังตนเองออกมาจนหมดหรอกนะ เพราะนางได้ยินมาจากท่านอาเจ็ดว่า ท่านอาสี่ยากจนมาก!
“บ๊ายบายท่านอาสี่”
เสี่ยวเป่าตั้งใจว่าจะกลับไปจัดระเบียบท้องพระคลังน้อยของตน นางจะได้นำตั๋วเงินมาให้ท่านอาสี่ตอนที่เขาออกจากเมืองหลวง!
เสี่ยวเป่านั่งอยู่บนรถม้าพลางนับนิ้วคำนวณ
“ต้องเลี้ยงท่านพ่อ พี่รอง พี่สาม ตอนนี้ก็มีท่านอาสี่…”
เงินในท้องพระคลังน้อยมีไม่พอ!
“เสี่ยวเป่าต้องหาเงินเยอะ ๆ มาเลี้ยงท่านพ่อ ท่านพี่ แล้วก็ท่านอาสี่!” เจ้าตัวน้อยกำหมัดอย่างฮึกเหิม
“งี้ด ๆ!”
ลูกจิ้งจอกกำลังใช้ร่างน้อย ๆ คลอเคลียเสี่ยวเป่าไปมา
[1] หนานเจียง (南疆) อยู่ทางตอนใต้ของซินเจียง