ตอนที่ 20 เรียนปริญญาโทแล้วเก่งนักเหรอ
ถ้าถามว่าข้อดีของไป๋เยี่ยคืออะไร
แน่นอนว่าต้องเป็นความมุ่งมั่น!
ไม่ว่ากับเรื่องใดก็ตาม ถ้าเขาจะไม่ทำก็คือไม่ทำ หรือไม่ถ้าจะทำก็จะทำออกมาให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน ความรัก หรือเกม
เช่นเกม League of Legends ถ้าไป๋เยี่ยไม่เล่นก็จะไม่เล่นเลย แต่ถ้าเล่นเขาก็จะเล่นให้ดีที่สุดเท่าที่ตัวเองจะทำได้
ขีดจำกัดของเขาถือเป็นพรสวรรค์ที่เขาเปลี่ยนแปลงไม่ได้ แต่เขาทำออกมาให้ดีที่สุดได้
ก่อนหน้านี้ ไป๋เยี่ยใช้สกิลอ่านเร็วกับการศึกษาทฤษฎีพื้นฐานการแพทย์แผนจีน เขาอ่านหนังสือเกี่ยวกับ ‘หวงตี้เน่ยจิง’ กว่าหกสิบเล่มจบแล้ว แม้ว่าหนังสือหลายเล่มจะค่อนข้างบาง และอัดแน่นไปด้วยสาระยากจะเข้าใจ แต่แค่วันเดียวไป๋เยี่ยก็อ่านจบไปสิบกว่าเล่มแล้ว
จำได้มากน้อยไม่สำคัญ แต่ต้องพอมีความรู้ติดสมองไว้บ้าง
ครั้งนี้ต่างจากสองวันก่อนตรงที่ไป๋เยี่ยกินแคปซูลเพิ่มความจำระดับกลางไปเม็ดหนึ่ง ทันใดนั้นสมองของเขาก็รู้สึกเย็นสบายสดชื่น มาเริ่มอ่านกัน!
ไป๋เยี่ยอ่านหนังสือทีละเล่มโดยไม่สนว่าตนจะเหนื่อยจะล้าไหม อ่านไม่เข้าใจไม่ใช่ประเด็น จำไม่ได้ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ เขาได้แต่เปิดหนังสือไปเรื่อยๆ
ด้วยแคปซูลเพิ่มความจำนี้ แม้ว่าไป๋เยี่ยจะอ่านเร็วมาก แต่เนื้อหาหลายอย่างก็ติดอยู่ในสมองเขาแล้วเหมือนกัน ซึ่งก็มีบางเนื้อหาที่เขาจำด้วยตนเอง
หนึ่งเล่ม สองเล่ม สามเล่ม…จนกระทั่งเป็นเวลาห้าทุ่ม ไป๋เยี่ยก็อ่านหนังสือจบไปสิบกว่าเล่มแล้ว
การที่วิชายาจีนของเขาถึงเลเวลสองนั้น ทำให้เขาเข้าใจศาสตร์ยาจีนได้ลึกซึ้งมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นสถานที่ผลิตและฤดูกาล เขาจึงมีความรู้มากมาย
ตอนนี้เขารู้แล้วว่าวิชายาจีนไม่ได้เป็นแค่วิชาพื้นฐาน แต่เป็นวิชาภาคปฏิบัติ และเป็นการทดลองทางการแพทย์ ต้องผ่านการทดลองหลายครั้งกว่าจะได้สภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดสำหรับการเพาะปลูก ฤดูเก็บเกี่ยว ขั้นตอนการต้ม และตำแหน่งที่ใช้ยา
ยกตัวอย่างเช่นสมุนไพรที่พบได้บ่อยอย่าง ‘จื่อซู’ ซึ่งมีสรรพคุณและคุณค่าสูง ทั้งใบ ลำต้น และเมล็ดของมันล้วนเป็นยา ใบจื่อซูช่วยดับความเย็น ทำให้โพรงจมูกโล่ง ทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า เป็นตัวยาสำคัญสำหรับการรักษาอาการหวัด ลำต้นจื่อซูช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของพลังงาน บรรเทาความเจ็บปวด มักใช้ในการรักษาโรคทางเดินอาหาร ส่วนเมล็ดต้นจื่อซูช่วยขับลม ลดเสมหะ บรรเทาอาการไอและทำให้ปอดชุ่มชื้น ใช้ในการรักษาโรคปอดและอาการไอ
ทั้งส่วนที่เก็บเกี่ยวและสภาพแวดล้อมในการเติบโตที่แตกต่าง จะทำให้สมุนไพรธรรมดาๆ ชนิดหนึ่งมีสรรพคุณและคุณค่าที่ต่างกัน
ไป๋เยี่ยหยุดอ่านไม่ได้แล้ว เหมือนกับตอนที่เขาเล่นเกม League of Legends ไม่หลับไม่นอนทั้งวันทั้งคืนเพื่อขึ้นแรงก์แกรนด์มาสเตอร์
เขารู้สึกว่าตนเองกำลังถูกพยุงไว้โดยใจที่ไม่ยอมแพ้
จนค่ำเขาก็ไม่กลับหอพัก แต่กลับนอนจมอยู่ท่ามกลางกองหนังสือ เขาตื่นตั้งแต่เช้าตรู่และเริ่มอ่านหนังสือต่อโดยไม่กินไม่ดื่มอะไรเลย
วันที่สามสิบเอ็ด ธันวาคม เป็นวันหยุด พ่างจื่อไม่ได้มาที่โรงพยาบาล แต่นั่นก็ไม่ส่งผลอะไรกับไป๋เยี่ยอยู่แล้ว เขาเอาแต่ขลุกอยู่ในศูนย์ค้นคว้าชั้นยี่สิบสี่ทั้งวัน
จนกระทั่งวันที่หนึ่ง มกราคม ซึ่งเป็นวันที่ต้องแยกไปตามสนามสอบมาถึง ไป๋เยี่ยจึงค่อยเดินออกมาจากชั้นยี่สิบสี่ พ่างจื่อมองดูผมเผ้าของไป๋เยี่ยที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นทรง เสื้อผ้ายับยู่ยี่ และใบหน้าซีดเผือดไม่มีชีวิตชีวา
“เยี่ยจื่อ นายไปทำอะไรมาเนี่ย” พ่างจื่อร้องตกใจ
ไป๋เยี่ยหัวเราะพลางส่ายหัวไปมา “ไปเถอะ พาไปกินอะไรอร่อยๆ หน่อย หิวจะตายอยู่แล้ว”
พ่างจื่อพยักหน้าพลางมองแววตาเปล่งกระกายของไป๋เยี่ย เจ้าหมอนี่! เหนื่อยจนหมดสภาพแล้วยังจะตื่นเต้นอีกนะ!
อันที่จริงจะบอกว่าไป๋เยี่ยตื่นเต้นก็ไม่ได้ เพราะสองวันที่ผ่านมานี้ประสิทธิภาพเขาสูงมากจริงๆ
เมื่อไป๋เยี่ยมองไปที่เลเวลวิชายาจีนของเขาที่ตอนนี้เป็นเลเวลสาม: 111/1000 เขาก็รู้สึกว่ามันคุ้มค่ามากแล้ว
ทว่ามันน่าเสียดายนิดหน่อยที่เขาขาดหนังสืออีกเพียงสิบเล่มก็จะทำภารกิจอ่านหนังสือหนึ่งร้อยเล่มสำเร็จแล้ว ถ้าไม่ได้สอบวันนี้ล่ะก็ เขาคงอ่านให้จบหนึ่งร้อยเล่มก่อนค่อยออกมา
แต่แค่มีวิชายาจีนและวิชาทฤษฎีพื้นฐานการแพทย์แผนจีนเลเวลสามก็เพียงพอแล้ว จุ๊ๆ ถึงระดับวิชาชีพตั้งสองวิชา คงไม่มีปัญหากับการสอบรอบแรกหรอกน่า!
คิดได้ดังนั้น ไป๋เยี่ยก็ตรงไปที่ร้านอาหารแถวโรงพยาบาล
ทั้งสองคนสั่งอาหารมาสี่ห้าอย่าง ตอนนี้ไป๋เยี่ยกระหายเนื้อมากกว่าพ่างจื่อเสียอีก ระหว่างที่ทั้งคู่กำลังดื่มกินกันอย่างเอร็ดอร่อยนั้น พ่างจื่อก็ถามขึ้นทั้งที่ยังมีเนื้อคาอยู่ในปาก “นายนี่นะ จะค้างคืนก็ไม่บอกฉันสักคำ อยู่หอคนเดียวมันน่าเบื่อนะ”
ไป๋เยี่ยกลอกตาแต่ไม่พูดอะไร
พ่างจื่อจึงพูดต่อ “แต่ว่านะ ฉันได้ยินมาว่าที่อินเทอร์เน็ตคาเฟ่แถวนี้มีสาวๆ ค้างอยู่ด้วยแหละ จุ๊ๆ…นายได้ไปเต๊าะบ้างไหม”
ไป๋เยี่ยตัดบท “บ่ายก็สอบแล้วลูกพี่ ขอกินข้าวก่อนได้ไหม โคตรหิวเลย”
ข้างๆ ไป๋เยี่ยมีวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเดินผ่านไป
“สอบเหรอ หมายถึงการแข่งความรู้เรื่องยาจีนเหรอ แล้วนี่พวกนายอยู่ป.โทใช่ไหม” ชายหนุ่มถามทั้งรอยยิ้ม
ไป๋เยี่ยและพ่างจื่อสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อมีคนแปลกหน้าเดินเข้ามาถาม “เปล่าครับ พวกเรามาฝึกงานที่โรง’บาลเฉยๆ”
ชายหนุ่มสามคนและหญิงสาวอีกสองคนนั่งลงที่โต๊ะข้างๆ เมื่อได้ยินว่าทั้งคู่เป็นเด็กฝึกงานก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ และไม่พูดอะไร
คนพวกนั้นสั่งอาหารและพูดคุยสัพเพเหระ “ฉันได้ยินมาว่าการแข่งครั้งนี้ก็เอาเรื่องอยู่นะ ถ้าผลสอบออกมาดีก็ช่วยเรื่องหางานหลังเรียนจบปีหน้าได้เยอะมาก”
“อืม ก็ว่างั้นแหละ แต่การแข่งครั้งนี้มันดูมั่วๆ นะ มีคนทุกประเภทเลย ใครจะสมัครก็ได้” ชายคนหนึ่งพูดทั้งรอยยิ้ม
ชายที่ถามไป๋เยี่ยกับพ่างจื่อเมื่อครู่ก็เอ่ยขึ้น “แบบนี้ก็ดีสิ ไม่แน่พวกเราอาจจะได้อันดับดีๆ ในรอบระดับมณฑลก็ได้ มีทั้งเด็กปวส. เด็กป.ตรี มีพวกเขาอยู่ฐานล่างๆ พวกเราก็ยังพอมีโอกาสอยู่หรอก”
หญิงสาวคนหนึ่งพูดขึ้นบ้าง “พี่หมิง ฉันจำได้ว่าตอนพี่สอบเข้าป.โท พี่ได้วิชาแพทย์แผนจีนสองร้อยเจ็ดสิบคะแนนใช่ไหม ตอนนั้นพี่เป็นคนสร้างประวัติศาสตร์ใหม่เลยนะ ขนาดผอ.เซียวยังชมเลย ตลอดสองปีที่เรียนมานี้ ฉันว่าพี่ต้องได้อันดับดีๆ แน่เลย”
หญิงสาวอีกคนเสริม “ใช่ๆ สองวันก่อนผอ.เซียวยังชมพี่ว่าทำธีสิสจบดีอยู่เลย แถมยังบอกด้วยว่าวิเคราะห์สถิติที่พี่ทำน่ะทั้งถูกต้อง ทั้งละเอียด ดูเป็นผู้เชี่ยวชาญ เก่งมากเลยพี่”
คนรอบข้างพากันพยักหน้าเห็นด้วย
เหยียนหมิงได้ฟังคำพูดจากรอบข้างก็พอใจ บางครั้งผลสอบก็ไม่ได้แสดงให้เห็นสิ่งใด แต่สำหรับเขาแล้วมันเป็นการแสดงออกถึงศักยภาพที่แท้จริงอย่างหนึ่ง
พ่างจื่อฟังคนพวกนี้โม้จนรำคาญ พวกนายคิดว่าเรียนป.โทเท่ากับเก่งก็คิดไป พวกฉันรู้สึกสะทกสะท้านด้วยเหรอ
เขาแทรกขึ้นมา “เฮ้ย เยี่ยจื่อ เมื่อกี้ฉันดูรายชื่อคนในโรง’ บาลเราที่เงื่อนไขตรงมาละ อ่านปุ๊บตกใจปั๊บเลย มีคนจอบด็อกเตอร์ตั้งสี่สิบกว่าคน แล้วยังมีหมอมากประสบการณ์อีกหกสิบกว่าคนด้วย นายว่าขนาดโรง’ บาลเรายังมีคนเก่งเยอะขนาดนี้ แล้วโรง’บาลอื่นจะมีสักกี่คนกันนะ
มีคนจากมหา’ ลัยแพทย์แผนจีนด้วยแฮะ บ้าน่า คนเก่งๆ สมัครเยอะขนาดนี้ อย่าว่าแต่เด็กป.ตรีแบบพวกเราเลย ขนาดพวกเรียนป.โทยังดูเป็นลูกเจี๊ยบเลย มากสุดก็คงเป็นได้แค่ไก่ละมั้ง!”
ชัดเจนว่าพ่างจื่อกำลังแซะโต๊ะข้างๆ สมแล้วที่อีกฝั่งมีวุฒิการศึกษาสูง แค่ฟังก็รู้แล้วว่าแซะ ทำเอาเหยียนหมิงหน้าตึง “เหอะๆ ก็จริงอยู่ว่าเรียนป.โทไม่ได้แปลว่าเก่ง แต่เทียบกับเด็กป.ตรีอย่างพวกนายแล้วเรามันคนละชั้นกันน่ะ ระดับความรู้ของพวกนายน่ะ พูดตรงๆ นะ ก็เป็นได้แค่ฐานล่างๆ ของการแข่งครั้งนี้เท่านั้นแหละ! นี่ไม่ได้พูดเกินจริงเลยนะ”