ตอนที่ 41 ยังมาทำตัวตุ้งติ้งอีก
เวลาสามชั่วโมงสิ้นสุดลงแล้ว คนกลุ่มหนึ่งเดินออกไปจากห้องสอบด้วยท่าทีสลดหลังจากที่ส่งข้อสอบไป
เมื่อออกมาก็พบกับชายชราห้าคนและเด็กหนุ่มคนหนึ่งกำลังก้มหน้าก้มตากินข้าวกล่องด้วยกันอยู่ อากาศบริเวณนั้นอบอวลไปด้วยกลิ่นของหมูผัดซอส
ทุกคนนิ่งไป จนกระทั่งจู่ๆ ก็มีคนเริ่มสะอื้นและร้องไห้ออกมา
เพื่อนที่อยู่ข้างๆ ถึงกับตกใจ จึงรีบเข้าไปตบหลังคนคนนั้น “ร้องไห้ทำไมเพื่อน”
คนนั้นตอบเสียงสั่น “ม…แม่ฉันชอบทำหมูผัดซอสมาก ก่อนมาสอบแม่ก็ตั้งใจทำหมูผัดซอสให้ฉัน ม…ไม่คิดเลยว่าสุดท้ายฉันจะสอบได้ศูนย์คะแนน…ผ…ผมขอโทษนะหมูผัดซอส ผมขอโทษค้าบแม่!”
คนรอบข้างต่างพากันนิ่งไม่พูดอะไรกัน
ไม่ใช่เพราะว่าแม่ของทุกคนชอบทำหมูผัดซอส
แต่เพราะว่า…ทุกคนอาจจะได้ศูนย์ก็เป็นได้…
ไอ้ข้อสอบเวรนี่!
คนที่มาสอบแต่ละคนอย่างน้อยๆ ก็น่าจะมีวุฒิด็อกเตอร์กันไม่ใช่หรือ คุณคิดว่าคนเราเรียนจบด็อกเตอร์มาเพื่อล้างผักล้างหม้อหรือ
ตอนนี้ทั้งโถงใหญ่มีแต่ลมเย็นๆ ที่พัดโชยมาพร้อมกับกลิ่นของหมูผัดซอสที่ผสมกับกลิ่นจางๆ ของซุปสาหร่าย มันทำให้ภาพตรงหน้าดูน่าสลดใจกว่าเดิมเสียอีก
สวี่จงเหล่ย จางจี๋เซียน และคนอื่นๆ ออกมาจากห้องสอบพร้อมกันแล้วก็พบว่าไป๋เยี่ยกำลังนั่งกินข้าวอยู่ตรงนั้น
พวกเขานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเริ่มเบะปากคล้ายกับกำลังจะร้องไห้
“ผม…ผมมันตัวถ่วง…หัวหน้าจาง ผม…ผมเป็นเพื่อนร่วมทีมที่แย่ใช่ไหม” สวี่จงเหล่ยเอ่ยถามจางจี๋เซียนด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจ
จางจี๋เซียนถอนหายใจ “ผมทำได้แค่สองข้อเอง อย่างมากคงได้สักสามสิบคะแนน เพราะงั้นอย่ามองผมเลย…”
คนอื่นๆ นิ่ง
“ยี่สิบ…”
“ยี่สิบห้า…”
“สิบเก้า…”
ทุกคนพูดจบ ไป๋เยี่ยก็แทบสำลักข้าว อุตส่าห์สอนไปตั้งเยอะยังทำกันได้แค่นี้…ทีมเฮงซวย!
ชายชราทั้งห้าได้ยินดังนั้นก็พากันถอนหายใจด้วยความโล่งอก ให้ตายเถอะ เมื่อกี้กังวลแทบตายแน่ะ
จางเสวียเวิ่นค่อยหายกังวลใจหน่อย ก็ดีๆ ทำไม่ได้ก็ดีแล้ว นึกว่าข้อสอบจะง่ายเกินไปซะอีก! ข้อสอบของพวกเราออกจะยาก ใครจะไปทำได้ว่าไหม
แน่นอนว่าไม่นับไป๋เยี่ย
เมื่อเห็นท่าทีสลดของแต่ละคน ไป๋เยี่ยก็อดส่ายหัวพลางชี้ไปทางกองกล่องข้าวหมูผัดซอสแล้วเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ “กินข้าวก่อนค่อยกลับ ผมสั่งมาให้น่ะ เพิ่งมาส่งเลย กำลังร้อนๆ”
ทุกคนชะงักไป ไม่คิดว่าไป๋เยี่ยจะสั่งอาหารมาเผื่อ จางจี๋เซียนได้แต่ส่ายหัวไปมา “เลี้ยงส่งเหรอ”
ไป๋เยี่ยยิ้ม “เปล่า! เลี้ยงฉลองต่างหาก! พวกเราติดท็อปสิบแล้ว”
ทุกคนงง ไป๋เยี่ยเป็นบ้าไปแล้วเหรอ
สวี่จงเหล่ยมองไป๋เยี่ยด้วยแววตาที่แฝงด้วยความเครียด “ไป๋เยี่ย อย่าทำให้ผมตกใจสิ มีอะไรก็โทษผมได้เลย! ผมทำไม่ได้ ผมมันตัวถ่วงของทีม จริงๆ นะ…โทษผมเถอะ อย่าทำแบบนี้เลย ผมมันทีมเมทเฮงซวย”
ไป๋เยี่ยกลอกตา “เอาเถอะ นี่ผมจริงจังนะ ผมคิดว่าเรายังพอมีโอกาส”
พูดจบไป๋เยี่ยก็หันไปทางชายชราทั้งห้าก่อนจะเอ่ยถามขึ้น “ผมได้กี่คะแนนเหรอครับ”
ชายชราทั้งหน้าพยักหน้าพร้อมกัน ก่อนที่พวกเขาจะกลับไปก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ
“อาหารใช้ได้เลย”
“อืม หวานไปนิด…คนเป็นเบาหวานอย่างฉันจะกินได้ไหมน่อ”
“โอ้ เดี๋ยวพรุ่งนี้สั่งยาให้”
“ขอไม้จิ้มฟันหน่อย จะแคะฟัน”
“ไม้จิ้มฟงจิ้มฟันอะไรเล่า…ใส่ฟันปลอมอยู่ไม่ใช่เหรอ ก็ถอดฟันปลอมออกมาสิ”
ทั้งสี่คนเอาแต่พูดคุยกัน
มีเพียงจางเสวียเวิ่นที่ได้แต่ยิ้มแห้ง
“นี่…คุณคิดว่าได้เท่าไหร่ถึงจะเหมาะสมล่ะ”
สวี่จงเหล่ยและอีกเก้าคนได้ฟังดังนั้นก็ได้แต่คิด น…นี่มันอะไรกัน คิดว่าได้คะแนนเท่าไหร่ถึงจะเหมาะเนี่ยนะ คิดว่าที่บ้านนายเป็นคนออกข้อสอบหรือไง!
หรือว่า…ไป๋เยี่ยจะบ้าไปแล้วจริงๆ
สีหน้าของจางเสวียเวิ่นดูเคร่งขรึมขึ้นกว่าเก่า “ผมคิดว่าคำตอบนี้ดูมีเหตุผลมาก ผมให้ร้อยคะแนน! พวกคุณล่ะ”
จางเสวียเวิ่นตบโต๊ะ ทำให้ชายชราอีกสี่คนถึงกับสะดุ้งโหยง “ใช่! พูดมีเหตุผล!”
จางจี๋เซียนตกตะลึงกับสถานการณ์ตรงหน้าจนเผลอสำลักหมูผัดซอสและซุปไข่ใส่สาหร่ายออกมาเต็มใบหน้าของสวี่จงเหล่ย
ทว่าสวี่จงเหล่ยกลับไม่ทันได้รู้สึกตัว เขาเบิกตาโพลงพร้อมกับหันไปที่จางจี๋เซียน “แย่แล้ว…ไป๋เยี่ยไม่ได้ป่วยซะหน่อย เหล่าจางต่างหากล่ะ อาเจียนออกมาแบบนี้ ต้องเกิดจากอุณหภูมิในตับสูงขึ้นแน่ๆ ทำให้ความดันบริเวณกะโหลกศีรษะสูงตามไปด้วย เหล่าจาง คุณเป็นคนความดันเลือดสูงไหม! ไป๋เยี่ยรีบต่อสายหา 120 เดี๋ยวนี้เลย! บอกทีว่าเหล่าจางไม่ได้เส้นเลือดในสมองแตกน่ะ”
ช่วงบ่าย ไป๋เยี่ยกำลังพักผ่อนอยู่ แต่กลับถูกอีกเก้าคนชวนไปเดินช้อปปิ้ง ไป๋เยี่ยไม่ได้ชอบการช้อปปิ้งขนาดนั้น เขาคิดว่านั่งเล่นเกมยังสนุกกว่าอีก
พวกสวี่จงเหล่ยไม่อยากให้ไป๋เยี่ยโกรธ อยากให้ผ่อนคลายกัน และเป็นการคลายเครียดไปด้วย ห้ามปล่อยให้สมบัติแห่งมณฑลจิ้นซีเป็นอะไรขึ้นมาเด็ดขาด
สวี่จงเหล่ยคุ้นเคยกับเส้นทางเป็นอย่างดี “มาเมืองหลวงทั้งที ผมก็พอเป็นไกด์ให้ได้ครึ่งหนึ่งนะ ผมมาที่นี่ตั้งแต่ตอนขึ้นมหา’ลัยและอยู่มาสิบเอ็ดปี จะว่าเป็นบ้านเกิดผมสักครึ่งหนึ่งก็ได้”
“อืม จริง ไปช้อปปิ้งกันเถอะ ที่นี่ไม่ได้มาง่ายๆ นะ ไม่แน่พรุ่งนี้พอผลสอบออกเราอาจจะได้กลับบ้านเลยก็ได้”
จางจี๋เซียนไม่ได้พูดอะไร เขาไม่ชอบช้อปปิ้งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว แต่ก็ไม่อยากขัดอารมณ์คนอื่นๆ จึงยอมมาด้วย
สวี่จงเหล่ยเอ่ยทั้งรอยยิ้ม “ยังพอมีเวลา ผมจะพาพวกคุณไปที่ที่หนึ่ง”
ทุกคนเคยมาปักกิ่ง แต่ไม่มีใครคุ้นเคยกับมันเท่าสวี่จงเหล่ยแล้ว เขาพาทุกคนไปนั่งรถสามล้อ “ไปหวังฝูจิ่ง[1]ครับ” เขาบอกคนขับรถ
สวี่จงเหล่ยและไป๋เยี่ยนั่งรถคันเดียวกัน เขาหันไปพูดกับไป๋เยี่ยว่า “วันนี้พวกเรามาช้อปปิ้งกันเถอะ ไหนๆ ที่นี่ก็ไม่ได้มาง่ายๆ ซื้อของขวัญกลับไปหน่อยก็ได้”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า เขาก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน เขาไม่ได้กลับบ้านนานแล้ว เพราะฉะนั้นเขาจึงคิดจะซื้อของกลับไปฝากพ่อแม่สักหน่อย
หวังฝูจิ่งใหญ่มาก สวี่จงเหล่ยพาพวกไป๋เยี่ยเดินเข้าแต่ร้านดีๆ แม้ว่าจะไม่ใช่ร้านใหญ่โตอะไร แต่ของที่อยู่ในร้านนั้นถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว
ไป๋เยี่ยเดินเข้าร้านเก่าๆ ร้านหนึ่ง เขาซื้อปิ่นปักผมเงินและกล่องเครื่องประดับจากไม้มะฮอกกานีให้แม่ ราคาก็ไม่ได้ถูกนัก แต่ก็ไม่ได้แพงจนเกินไป แค่เกือบๆ สามพันหยวนเท่านั้น
ไป๋เยี่ยกำลังจะจ่ายเงิน ทว่าสวี่จงเหล่ยกลับเข้ามาหยุดเขาไว้
สวี่จงเหล่ยเอ่ยยิ้มๆ “เสี่ยวเยี่ย ถือว่านี่เป็นของขวัญแทนคำขอโทษจากผมแล้วกันนะ อย่าถือสาเรื่องที่ผ่านมาเลย โอเคไหม แล้วก็ระวังหลิวเจิ้นซีไว้ดีๆ ล่ะ หมอนั่นไม่ใช่คนดีอะไรหรอก”
ไป๋เยี่ยพยายามบอกปัดทุกวิถีทางแต่ก็ไม่เป็นผล ทำได้เพียงรับมันไว้ เขาไม่ใช่คนใจแคบแบบนั้นเสียหน่อย
ทุกคนเดินช้อปปิ้งอยู่สามสี่ชั่วโมง จนกระทั่งเป็นเวลาทุ่มสองทุ่มแล้ว จึงพากันไปกินข้าวเย็นก่อนกลับ
ไป๋เยี่ยไม่ได้เสียเงินสักหยวน ในบรรดาสิบคน ไป๋เยี่ยมีอายุน้อยที่สุดและยังเป็นนักศึกษาอยู่ด้วย คนอื่นๆ ล้วนมีการมีงานทำหมดแล้ว แถมรายได้ก็ไม่ได้น้อยเลย
พวกเขามากินข้าวเย็นที่ร้าน ‘เฉวียนจวี้เต๋อ’[2] จนถึงเวลาสี่ทุ่มกว่าๆ พรุ่งนี้ก็เป็นวันประกาศผลสอบแล้ว
ทุกคนตัดสินใจไปร้องเพลงกัน จึงไปเปิดห้องที่ร้านคาราโอเกะแถวๆ นั้น
ทว่าไป๋เยี่ยกลับสังเกตว่ามีรถบิวอิกค์คันหนึ่งสะกดรอยตามพวกเขามาสักระยะหนึ่งแล้ว!
[1] หวังฝูจิ่ง เป็นถนนช้อปปิ้งในกรุงปักกิ่ง ประเทศจีน ตั้งอยู่ในเขตตงเฉิง
[2] เฉวียนจวี้เต๋อ เป็นภัตตาคารอาหารจีนเก่าแก่ ที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 150 ปีตั้งแต่สมัยราชวงศ์ชิง