ตอนที่ 51 ที่ปรึกษาของฉันก็เก่งอยู่พอตัว
การแข่งขันความรู้แพทย์แผนจีนจบลงแล้ว เหลือเพียงพิธีปฏิญาณตนและลงนามฝากตัวเป็นศิษย์
ทว่าพิธีนี้ไม่ได้ถูกถ่ายทอดทางทีวีแต่อย่างใด
นี่เป็นช่วงเวลาอันศักดิ์สิทธิ์และเคร่งขรึม อาจารย์ทั้งสิบท่านนั่งอยู่ด้านหน้าโดยที่มีผู้เข้าแข่งขันสิบคนยืนอยู่ข้างๆ
อาจารย์แต่ละท่านจะเลือกลูกศิษย์ที่เหมาะสมตามจุดเด่นของตนเอง นอกจากไป๋เยี่ยแล้ว ทั้งสิบอันดับแรกนี้ก็ล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ พวกเขาล้วนต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายกว่าจะได้เข้ามายืนบนเวทีแห่งนี้
การคัดเลือกผ่านไปอย่างราบรื่น หลังจากที่ปรึกษากันเรียบร้อยแล้ว อาจารย์ทั้งเก้าท่านก็ได้เลือกลูกศิษย์ของตนเอง เว้นแต่ผู้เฒ่าสวี่ที่ยังเลือกไม่ได้
ไป๋เยี่ยคิดว่าเขาควรจะฝากตัวเป็นศิษย์กับสวี่โฮ่วเต้า
เขาจึงเดินไปเซ็นชื่อบนเอกสารตรงหน้าผู้เฒ่าสวี่ ทว่าขณะที่เขากำลังจรดปลายปากกาลงบนกระดาษนั้น ก็มีเสียงทักท้วงดังขึ้นมา!
“อย่า!”
“หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“อย่าเซ็น!”
ไป๋เยี่ยชะงักก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองอาจารย์ทั้งสิบท่านที่กำลังมองมาทางเข้าด้วยสายตากดดัน เพราะกลัวว่าไป๋เยี่ยจะเผลอเซ็นชื่อ!
ไป๋เยี่ยเงยหน้าพร้อมกับมองทุกคนอย่างกล้าๆ กลัวๆ “ทำไมห้ามเซ็นหรอครับ…อย่าแกล้งผมสิ…”
ผู้เข้าสอบคนอื่นๆ ที่เซ็นชื่อเสร็จแล้วก็มองไป๋เยี่ยด้วยความสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
จางเสวียเวิ่นเดินเข้ามาช้าๆ พร้อมกับเอกสารในมือ “นี่เป็นเอกสารที่พวกผมทำขึ้นมาใหม่ คุณลองอ่านดูดีๆ สิ”
ไป๋เยี่ยลองกวาดตาอ่านครู่หนึ่งแล้วก็ต้องตะลึง
มีลายเซ็นของอาจารย์เขียนอยู่ด้านหลัง หนึ่ง สอง สาม สี่…เจ็ด แปด เก้า สิบชื่อ!
จางเสวียเวิ่น จางอี้หมิน…สวี่โฮ่วเต้า!
ถ้าอย่างนั้นอาจารย์ของไป๋เยี่ยก็คือยอดปรมาจารย์ผู้อยู่บนจุดสูงสุดของวงการแพทย์ทั้งสิบท่านหรือ
คิดได้ดังนั้น ไป๋เยี่ยก็อดรู้สึกตื่นเต้นและดีใจไม่ได้ เรื่องดีๆ แบบนี้นานๆ ทีจะมีครั้ง!
รู้สึกดีสุดๆ เลย!
ไป๋เยี่ยคิดพลางเซ็นชื่อ ‘ไป๋เยี่ย’ ตัวโตๆ ลงบนนั้น!
อาจารย์ทั้งสิบท่านเองก็มองไป๋เยี่ยแล้วเผยรอยยิ้มโล่งใจ
ส่วนผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ก็ได้แต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเห็นแววตาอันเปล่งประกายของไป๋เยี่ย ก็พอเดาได้ว่าน่าจะเป็นเรื่องดี ทุกคนจึงค่อยสบายใจหน่อย
และแน่นอนว่า สายตาของหยางเจ๋อที่มองไปยังไป๋เยี่ยนั้นแฝงไปด้วยความเคียดแค้น ถ้าไม่มีไป๋เยี่ย ทั้งหมดนั้นคงจะเป็นของเขา!
ทั้งเกียรติยศ ทั้งความรุ่งโรจน์ ทั้งผลประโยชน์จากการเป็นที่หนึ่ง ทั้งหมดนั้นก็จะเป็นของเขา!
ไอ้เด็กเวรไป๋เยี่ย พอคิดเช่นนั้น หยางเจ๋อก็ยิ่งเกลียดไป๋เยี่ยเข้าไปใหญ่
ต่อไปเป็นพิธีไหว้ครูและคำนับเหล้าอาจารย์
คนอื่นๆ ทั้งเก้าคนคุกเข่าและคำนับเหล้าให้อาจารย์ ซึ่งอาจารย์แต่ละท่านก็ดูมีความสุขและพอใจมาก
การรับศิษย์เช่นนี้เป็นเรื่องที่น่ายินดี อาจกล่าวได้ว่าพวกเขานั้นคือเสาหลักของประเทศชาติ!
ทว่าทุกคนกลับประหลาดใจเมื่อถึงตาของไป๋เยี่ย พวกเขาเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าใครจะเป็นอาจารย์ของไป๋เยี่ย
ไป๋เยี่ยรินเหล้าและเดินถือเหล้าไปวางไว้บนโต๊ะต่อหน้าอาจารย์ทุกท่าน จากนั้นจึงคุกเข่าและก้มคำนับ เขาไม่รู้ว่าควรจะคำนับใครดี เพราะเขาก็คงไล่คำนับทีละคนไม่ได้เช่นกัน ไป๋เยี่ยหมุนไปรอบๆ และโค้งศีรษะให้ทุกคนอย่างเกร็งๆ แล้วจะต้องวางเหล้าแก้วนี้ให้ใครล่ะเนี่ย
ไป๋เยี่ยจึงกล่าวขึ้นอย่างเงอะๆ งะๆ “ผมขอคำนับเหล้าแก้วนี้ให้กับอาจารย์ทุกท่าน!”
พูดจบเขาก็กระดกเหล้าแก้วนั้นจนเกลี้ยง!
ทุกคนอึ้งก่อนจะหัวเราะออกมายกใหญ่
“ไม่ได้! ต้องคำนับทีละคน แล้วก็ต้องดื่มทีละแก้วด้วย!”
“ใช่แล้ว ขี้เกียจจังนะไอ้หนุ่ม ห้ามขาดแม้แต่แก้วเดียวล่ะ!”
ผู้เข้าสอบอีกเก้าคนเหม่อ
ศิษย์เพียงคนเดียวฝากตัวกับอาจารย์สิบท่านเนี่ยนะ
อะไรวะนั่น!
เคยได้ยินแต่ศิษย์หนึ่งคนมีอาจารย์สองสามคน แต่การที่ศิษย์หนึ่งคนมีอาจารย์เป็นยอดปรมาจารย์ด้านการแพทย์ถึงสิบคนนี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน!
ใช้ตรรกะอะไรเนี่ย!
ช่วยทำให้มันปกติหน่อยไม่ได้เหรอ
ทุกคนกำลังตกตะลึง ในขณะที่ไป๋เยี่ยนั้นงง
เขาได้แต่เดินไปคำนับอาจารย์ทีละท่าน คำนับเหล้าทีละแก้วจนครบทั้งสิบท่าน
หลังจากพิธีไหว้ครู ไป๋เยี่ยรู้สึกมึนหัวสุดๆ ที่แท้ก็ไม่ได้มีแค่การดื่มเหล้าเท่านั้นที่ทำให้คนเวียนหัวได้ การก้มคำนับนานๆ ก็เช่นกัน
หลังสิ้นสุดพิธี คนเฒ่าคนแก่ก็ต้องกลับไปพักผ่อนแล้ว อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นคนอายุเจ็ดแปดสิบ สภาพร่างกายของพวกเขาก็แข็งแรงไม่เท่าคนหนุ่มสาวอยู่แล้ว งานในวันนี้จึงทำให้เหนื่อยพอสมควร
ส่วนเอกสารฝากตัวเป็นศิษย์นั้นจะถูกส่งไปตามหน่วยงานแพทย์แผนจีนทั่วประเทศ เพราะถือว่าพิธีไหว้ครูเช่นนี้ได้รับการยอมรับอย่างเป็นลายลักษณ์อักษร
วงการแพทย์แผนจีนให้ความสำคัญกับการสืบทอดวิชาความรู้ ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายของการจัดพิธีไหว้ครูนั่นเอง
การเรียนรู้จากอาจารย์นั้นไม่ได้หมายความว่าต้องตั้งใจฟังคำสอนของอาจารย์อย่างเดียว แต่ไป๋เยี่ยต้องหัดเรียนรู้จากอาจารย์แต่ละท่านด้วย เช่นไปขึ้นวอร์ด หรือจดบันทึกประสบการณ์
ซึ่งไป๋เยี่ยก็ไม่ได้ปฏิเสธ เพราะเขาได้ค้นพบว่าหลังจากที่วิชาทฤษฎีพื้นฐานการแพทย์แผนจีนขึ้นเป็นเลเวลห้านั้น การจะพัฒนาตนเองก็เป็นไปได้ยากขึ้น เพราะหนังสือทั่วๆ ไปนั้นไม่ได้มอบประสบการณ์ให้เขามากเท่าไหร่แล้ว
มีเพียงการเรียนรู้จากอาจารย์ การขึ้นวอร์ด และการอ่านตำราเท่านั้นที่จะทำให้เขาพัฒนาตนเองต่อไปได้ เขาจึงใช้โอกาสนี้ในการพัฒนาศักยภาพของตนเอง
หลังจากจบพิธี ไป๋เยี่ยก็กลับมาที่ห้อง ทันทีที่เขาล้มตัวลงนอนก็มีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นในหัวของเขา
[ติ๊ง! สำเร็จภารกิจ ‘ได้ที่หนึ่งจากทั้งประเทศ’ แล้ว ได้อันดับที่หนึ่งในการแข่งขันความรู้แพทย์แผนจีนสมัยที่หนึ่ง ได้รับแต้มสมาชิก 30 แต้ม ค่าประสบการณ์สำหรับวิชาแพทย์ 30000 แต้ม และโอกาสจับรางวัล 3 ดาวจำนวน 1 ครั้ง]
ไป๋เยี่ยถึงกับตะลึง!
ครั้งนี้รางวัลค่าประสบการณ์เป็นค่าประสบการณ์สำหรับวิชาแพทย์เท่านั้น ซึ่งเป็นหมวดวิชาที่ต้องใช้ค่าประสบการณ์มากกว่าวิชาเดี่ยวๆ ค่าประสบการณ์ในถุงค่าประสบการณ์แบบสุ่มยังดีกว่าอีก
ค่าประสบการณ์สำหรับวิชาแพทย์นี้คงใช้ได้กับวิชาในหมวดการแพทย์เท่านั้น
ไป๋เยี่ยมองค่าประสบการณ์วิชาแพทย์ของตนเองในตอนนี้
วิชาทฤษฎีพื้นฐานการแพทย์แผนจีน เลเวล 5: 39018/50000
วิชายาจีน เลเวล 4: 19000/30000
วิชาฝังเข็ม เลเวล 5: 390/50000
วิชาวินิฉัยโรค เลเวล 1: 2010/3000
วิชาเวชศาสตร์ เลเวล 1: 2100/3000
วิชาอายุรศาสตร์ เลเวล 1: 2899/3000
ไป๋เยี่ยเห็นว่ามีสามวิชาที่ยังค้างอยู่เลเวลหนึ่ง จะแบ่งยังไงดีนะ
จริงสิ! ยังทำภารกิจอัปเลเวลวิชาไม่หมดนี่นา ไป๋เยี่ยจึงแบ่งค่าประสบการณ์สามหมื่นแต้มให้วิชาวินิฉัยโรค วิชาเวชศาสตร์ และวิชาอายุรศาสตร์
ทันใดนั้นเสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้น
[ยินดีด้วย คุณได้เพิ่มเลเวลวิชาวินิฉัยโรคขึ้นเป็นเลเวล 2 ได้รับแต้มสมาชิก 20 แต้มและโอกาสจับรางวัล 2 ดาวจำนวน 1 ครั้ง]
[ยินดีด้วย คุณได้เพิ่มเลเวลวิชาเวชศาสตร์ขึ้นเป็นเลเวล 2 ได้รับแต้มสมาชิก 20 แต้มและโอกาสจับรางวัล 2 ดาวจำนวน 1 ครั้ง]
[ยินดีด้วย คุณได้เพิ่มเลเวลวิชาอายุรศาสตร์ขึ้นเป็นเลเวล 2 ได้รับแต้มสมาชิก 20 แต้มและโอกาสจับรางวัล 2 ดาวจำนวน 1 ครั้ง]
ไป๋เยี่ยรู้สึกมีความสุข ตอนนี้เขามีโอกาสจับรางวัลสองดาวสามครั้งและโอกาสจับรางวัลหนึ่งดาวอีกครั้งหนึ่ง
แถมยังมีค่าประสบการณ์เหลืออยู่ราวๆ สองหมื่นแปดพันแต้มอีกด้วย ไม่แน่เขาอาจจะอัปได้ถึงเลเวลสามเลยก็ได้! ถึงตอนนั้นเขาก็คงได้รับประสบการณ์มากมายจากทักษะที่เพิ่มขึ้นด้วย