ตอนที่ 55 ยี่สิบล้าน โอ้พระเจ้า ยี่สิบล้าน
เมื่อเข้ามหาวิทยาลัย ทุกคนต่างต้องละทิ้งชีวิตอันปกติในวัยมัธยมปลายไปและเริ่มชินกับการนอนดึก ตื่นสาย อดข้าวเช้า กินข้าววันละมื้อเป็นปกติ และกินมื้อเย็นเยอะเป็นพิเศษ
จากนั้นก็พบว่าสุขภาพของตนเองค่อยๆ แย่ลงทุกวันๆ
ช่วงนี้ไป๋เยี่ยมักจะตื่นแต่เช้า เพราะหลังจากการเผชิญหน้ากับหยางเจ๋อในตอนนั้น ทำให้เขาเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลสุขภาพมากขึ้น
แล้วเขาก็ออกไปวิ่งในมหาวิทยาลัยสักสองสามรอบ อันที่จริงเขาอยากจะวิ่งมากกว่านี้ แต่พอหันหลังกลับไปก็เจอกับกลุ่มรุ่นน้องที่วิ่งตามเขามาเป็นขบวน!
“ดูสิ! นั่นพี่ไป๋เยี่ยนี่นา…”
“ว้าว พี่โคตรเท่เลย ชอบออกกำลังกายซะด้วย”
“พวกเราจะหัดเรียนรู้จากพี่”
“มาวิ่งด้วยกันเถอะ!”
ตอนแรกไป๋เยี่ยก็ไม่ได้สังเกตอะไร แต่หลังๆ มาเขาก็ค่อยๆ รู้สึกได้ว่ามีอะไรแปลกๆ! จนท้ายที่สุดเขาก็พบว่ามีคนวิ่งตามเขามาเยอะมาก!
คนพวกนั้นวิ่งตามหลังไป๋เยี่ยมาอย่างเป็นระเบียบ จนไป๋เยี่ยแอบคิดในใจว่า ปกติที่มหา‘ลัยมีคนออกมาวิ่งเยอะขนาดนี้เลยเหรอ
เมื่อวิ่งครบสองรอบแล้ว
ไป๋เยี่ยก็หันกลับไปมองกลุ่มคนพวกนั้นอย่างกล้าๆ กลัวๆ บางคนถึงกับแทรกตัวมาด้านหน้าแล้วก็คว้าโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายคลิปไปลงโต่วอิน!
“ทุกคนเห็นไหม นี่คือไป๋เยี่ย เขาออกมาวิ่งทุกเช้าเลย! คนเก่งๆ มักมีเคล็ดลับจริงๆ ด้วย!”
ไม่ใช่แล้ว! ผู้คนมารวมตัวกันล้อมไป๋เยี่ยไว้แล้วขอถ่ายรูปกับเขา บ้างก็ขอวีแชต
ไป๋เยี่ยรู้สึกอับอายขึ้นมาในทันใด เขาอยากวิ่งต่ออีกสักหน่อย แต่เขากลับเดินไปไหนไม่ได้เลย! จึงได้แต่วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน
เมื่อวานนี้หูเฟิงอวิ๋นไม่ได้กลับบ้านเพราะว่าต้องเข้าเวรอยู่ที่มหาวิทยาลัย เช้าๆ แบบนี้ก็อยากออกไปเดินเล่นแล้วหาอาหารเช้ากินระหว่างทาง ทว่ากลับนึกไม่ถึงเลยว่าจะได้เห็นภาพไป๋เยี่ยวิ่งไปพร้อมกับคนกลุ่มหนึ่ง
หูเฟิงอวิ๋นมองภาพตรงหน้าด้วยความรู้สึกชื่นชม เขานี่แหละความหวังของการแพทย์แผนจีนและอนาคตของประเทศชาติ!
เธอคิดว่าเด็กคนนี้เป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจและคอยขับเคลื่อนบรรยากาศดีๆ ให้กับทั้งมหาวิทยาลัย
ดังนั้น!
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ทางมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีก็ได้ออกกฎข้อหนึ่งที่ทำให้คนจำนวนไม่น้อยต้องกัดฟัน
“แผนของแต่ละปีเริ่มต้นจากฤดูใบไม้ผลิ แผนของแต่ละวันเริ่มต้นจากตอนเช้า ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ทางมหาวิทยาลัยจะจัดกิจกรรมออกกำลังกายยามเช้าขึ้นอย่างเป็นทางการ ทุกเช้าเวลาหกโมงครึ่งทุกคนจะต้องมารับบัตรออกกำลังกายที่ใต้ตึก จากนั้นทุกคนจะรวมตัวกันวิ่งรอบสนามเป็นเวลายี่สิบนาที ซึ่งบัตรออกกำลังกายนี้จะถูกนับรวมกับการประเมินหน่วยกิตตอนสิ้นปีด้วย!”
ทว่าคนริเริ่มความคิดนี้กลับวิ่งไปสั่งอาหารที่ร้านแล้วแพ็คมันกลับไปที่หอพักเสียแล้ว
งานมอบเหรียญเกียรติยศถูกจัดขึ้นที่สภาประชาชนในเวลาประมาณบ่ายสามโมง ตอนเช้าไป๋เยี่ยจึงว่าง ซึ่งเดิมทีเขาตั้งใจจะไปอ่านหนังสือที่ห้องสมุด
ทว่าเขากลับได้รับสายจากสวี่เหยียน
“เฮ้ น้องชาย! ยังจำกันได้ไหม”
ไป๋เยี่ยคลี่ยิ้ม “ผมจะลืมคนที่ให้หนังสือกับผมลงได้ไงล่ะ!”
สวี่เหยียนยังคงสดใสร่าเริงเหมือนเคย เธอหัวเราะคิกคัก “อืม ดีแล้วที่ไม่ลืมกัน วันนี้นายยุ่งไหม ฉันมีเรื่องอยากคุยกับนายหน่อย”
“ผมมีธุระตอนบ่ายสาม แต่ตอนเช้าว่างครับ” ไป๋เยี่ยตอบไปตามตรง
สวี่เหยียนตอบรับ “โอเค งั้นนายมารอฉันที่ศาลาจ้งจิ่งนะ เดี๋ยวฉันไปหานายเอง มีเรื่องสำคัญอยากจะบอกนายแหละ!”
จู่ๆ ใบหน้าของไป๋เยี่ยก็แดงระเรื่อขึ้นมา เขากำลังจะเอ่ยปากตอบ ทว่าสวี่เหยียนกลับวางสายไปแล้ว เขาจึงได้แต่เก็บอาการไว้
ศาลาจ้งจิ่งเป็นศาลานั่งพักในมหาวิทยาลัย ซึ่งภายในศาลามีรูปปั้นของนายแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างจางจ้งจิ่งตั้งอยู่
ไป๋เยี่ยรออยู่ไม่นานนัก ก็เห็นว่าสวี่เหยียนในเสื้อขนเป็ดสีขาวและรองเท้าสีแดงกำลังวิ่งมาหาเขา
“โย่ ไหนขอดูหน่อยซิว่าอัจฉริยะหน้าตาเป็นไง” สวี่เหยียนมีใบหน้ากลมเหมือนทารก เธอตัดผมสั้นถึงติ่งหู ทั้งยังมีเสียงที่ใสราวกับกระดิ่ง ใครๆ ก็ต้องตกหลุมรักสาวน้อยผู้สดใสคนนี้อย่างแน่นอน
ไป๋เยี่ยเอ่ยพร้อมกับพยายามปรับสีหน้า “อย่าล้อเล่นสิครับพี่ แล้วพี่มีเรื่องอะไรเหรอ ถ้าไม่มีอะไรผมจะกลับแล้วนะ”
สวี่เหยียนเบ้ปาก “ชิ เมื่อกี้ยังบอกว่าจะมอบชีวิตแทนคำขอบคุณค่าหนังสืออยู่เลย”
ไป๋เยี่ยเกือบหยุดหายใจไปชั่วขณะ แล้วจึงหัวเราะออกมา “ผมบอกตอนไหนว่าจะมอบชีวิต”
สวี่เหยียนทำตาโตพร้อมกับพองแก้มป่อง “ทำไม ประโยคสุดท้ายฉันเป็นคนเติมลงไปเองแหละ มีปัญหาเหรอ!”
ไป๋เยี่ยยิ้มแห้ง เวลาผู้หญิงเถียงนี่มันน่ากลัวจริงๆ “เปล่าครับ! ไม่มีปัญหาเลย”
สวี่เหยียนกล่าวด้วยความตื่นเต้น “เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากที่แก้ธีสิสครั้งนั้นไป อาจารย์ก็ส่งธีสิสของฉันไปให้นิตยสารหัวหนึ่ง จากนั้นพวกเขาก็ส่งหนังสือตอบรับมาให้ฉัน! ฉันถึงได้รู้ว่านั่นเป็นวารสารวิทยาศาสตร์! ถึงฉันจะได้คะแนนแค่ 1.02 ก็เถอะ แต่ก็ถือว่าเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์แหละนะ!”
“ที่มหาวิทยาลัยของเราไม่มีคนได้ลงวารสารมาตั้งสามปี! เพราะงั้น ขอบใจนายมากจริงๆ นะ ไป๋เยี่ย”
ไป๋เยี่ยโบกมือไปมา สวี่เหยียนจึงพูดต่อ “แน่นอน วันนี้ฉันไม่ได้มาหานายเพราะเรื่องนี้หรอก”
ไป๋เยี่ยได้แต่ยืนอึ้ง ถ้างั้นที่คุยกันไปก่อนหน้านี้ก็เป็นเรื่องไร้สาระน่ะสิ…
“อาจารย์ฉันอยากเจอนายน่ะ เขาบอกให้ฉันมาชวนนายไป!” สวี่เหยียนเน้นเสียง
ไป๋เยี่ยทำหน้างง “อาจารย์ของพี่เหรอ”
“ก็ใช่ไง อาจารย์ของฉันคือจางฮั่นหลิง ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยโรคประสาทและสมองไง เขาให้ฉันมาชวนนายไปหาน่ะ” สวี่เหยียนจ้องไป๋เยี่ยเขม็ง พอเห็นว่าไป๋เยี่ยทำท่าจะปริปากพูดเท่านั้น เธอก็รีบแทรก “นี่ฉันกำลังออกคำสั่งอยู่นะ วันนี้นายต้องไปหาเขา”
สถาบันวิจัยโรคประสาทและสมองไม่ได้อยู่ในมหาวิทยาลัยจิ้นซีด้วยซ้ำ แต่เป็นสถาบันวิจัยอิสระแห่งหนึ่ง
ทั้งคู่จึงออกไปเรียกรถแท็กซี่ ใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีก็ถึงแล้ว
ตรงหน้าเป็นอาคารยุคเก้าศูนย์หลังหนึ่งซึ่งให้บรรยากาศของวันวานเก่าๆ
ไป๋เยี่ยเดินเข้าไปในตึกพร้อมกับสวี่เหยียน เมื่อเข้าไปด้านในไป๋เยี่ยก็ต้องตกตะลึง ดูคนอย่าดูแค่หน้าตา ดูบ้านอย่าดูแค่ผนังจริงๆ!
ระหว่างเดินในตึก ไป๋เยี่ยก็มองเข้าไปในหน้าต่างของแต่ละห้องด้วยดวงตาที่เบิกกว้าง ภายในห้องมีนักวิจัยสวมชุดกาวน์สีขาวเดินวุ่นไปทั่วและเครื่องมืออุปกรณ์มากมาย…
ไป๋เยี่ยตามสวี่เหยียนมาที่ชั้นหก พวกเขาหยุดลงที่หน้าห้องผู้อำนวยการแล้วจึงเคาะประตูก่อนจะเดินเข้าไป
ไป๋เยี่ยเห็นว่ามีชายวัยกลางคนในชุดลำลองคนหนึ่งกำลังนั่งซ่อมอุปกรณ์อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ เขามีใบหน้าคมเข้ม ไว้ผมเป็นระเบียบ แม้จะเห็นว่ามีคนมาแต่กลับไม่มีทีท่าจะเงยหน้าขึ้นแต่อย่างใด
สวี่เหยียนจึงพูดขึ้น “มาแล้วค่ะอาจารย์!”
“อืม ช่วยผมรินน้ำหน่อยสิ” เขาเอ่ยโดยที่ไม่เงยหน้าขึ้นมาและเอาแต่จดจ้องไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมกับขมวดคิ้ว
สวี่เหยียนเอ่ยซ้ำ “อาจารย์คะ หนูพาไป๋เยี่ยมาแล้ว”
ทันทีที่สวี่เหยียนพูดจบ ชายคนนั้นก็ยืนขึ้นและหันมาหาไป๋เยี่ย “คุณ…คุณคือไป๋เยี่ยที่เสี่ยวเหยียนพูดถึงสินะ”
ไป๋เยี่ยเป็นฝ่ายยื่นมือออกไปก่อน “สวัสดีครับอาจารย์จาง ผมชื่อไป๋เยี่ย”
จางฮั่นหลิงมองเด็กหนุ่มผู้มีท่าทีไม่เย่อหยิ่งหรือถ่อมตัวจนเกินไปตรงหน้า ถึงแม้ว่าเขาจะไม่เคยรู้จักไป๋เยี่ยมาก่อน แต่เขาก็รู้สึกชื่นชมแล้ว “อืม! ดีมาก ผมเคยได้ยินเรื่องคุณมาบ้าง เก่งมากพ่อหนุ่มยอดอัจฉริยะ นั่งลงสิ เสี่ยวเหยียนมารินน้ำให้ไป๋เยี่ยหน่อย”
สวี่เหยียนเม้มปากแน่นแล้วจึงทำหน้าตาทะเล้นใส่ไป๋เยี่ย ทำเสียงไม่พอใจ ก่อนจะยอมเดินมารินน้ำให้ไป๋เยี่ยแต่โดยดี
ไป๋เยี่ยถามขึ้นก่อน “อาจารย์จางเรียกผมมาเพราะเรื่องอะไรเหรอครับ”
จางฮั่นหลิงขมวดคิ้วพร้อมกับถอนหายใจ “อืม ก็มีเรื่องน่ะสิ! ผมบอกให้เสียวสวี่เรียกคุณมาที่นี่ เพราะว่ามีเรื่องอยากให้คุณช่วยน่ะ”
ไป๋เยี่ยไม่ได้พูดอะไร เขารู้สึกสงสัยเล็กน้อยว่าเขาจะช่วยอะไรได้บ้าง
จางฮั่นหลิงหันโน้ตบุ๊กมาทางไป๋เยี่ย “ช่วงนี้ผมกำลังทำโครงงานอยู่หนึ่งชิ้น ซึ่งผมเจอปัญหาอยู่ไม่น้อยเลย เป็นปัญหาเกี่ยวกับการวิเคราะห์สถิติน่ะ”
“เพราะว่าการทดลองนั้นซับซ้อนมาก จึงมีข้อมูลที่เกี่ยวข้องเยอะไปหมด การจะจัดการกับข้อมูลเหล่านี้ก็ยิ่งยุ่งยากเข้าไปใหญ่ เพราะว่าทุกๆ ด้านนั้นเกี่ยวพันกันไปหมด ผมลองทำมาหลายวันแล้ว ทำจนปวดหัวก็ยังแก้ไม่ได้ แถมยิ่งทำก็ยิ่งเละกว่าเดิม”
ไป๋เยี่ยรับโน้ตบุ๊กมาดู นี่เป็นการวิจัยส่วนผสมของยาจีนที่มีผลต่อภาวะความดันโลหิตสูงในไต
การวิจัยนี้มีปัจจัยรบกวนเยอะเกินไป จึงต้องประมวลผลข้อมูลต่อเนื่องไปเรื่อยๆ
ไป๋เยี่ยยิ่งอ่านก็ยิ่งทึ่ง เขาเปิดไปหน้าสุดท้ายแล้วก็ต้องรู้สึกมึนหัวขึ้นมาทันที
นี่มัน…ซับซ้อนมาก! ไป๋เยี่ยจึงอดใจถามไม่ได้
“นี่เป็นโครงงานอะไรเหรอครับ ทำไมมันถึงซับซ้อนจัง”
จางฮั่นหลิงพยักหน้า “ใช่แล้ว นี่เป็นโครงงานของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ทางธรรมชาติแห่งประเทศจีน นี่ก็ใกล้จะจบโครงงานแล้ว แต่ฉันยังไม่ได้เตรียมธีสิสเลย”
ไป๋เยี่ยผงะไปในทันที
“สถาบันวิจัยธรรมชาติเหรอครับ”
จางฮั่นหลิงพยักหน้าอย่างจริงจัง “อืม สถาบันวิจัยธรรมชาติ”
“โครงการนี้เท่าไหร่เหรอครับ” ไป๋เยี่ยถามออกไปด้วยความสงสัย การจะสมัครโครงงานของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ทางธรรมชาตินั้นยากมาก แถมพอสมัครได้แล้วก็ใช่ว่าจะทำกันง่ายๆ เพราะว่าโครงงานใหญ่ๆ เหล่านี้ล้วนเป็นโครงงานที่มีมูลค่าหลายล้านหยวน
“ยี่สิบล้าน!” จางฮั่นหลิงกล่าวหน้าตาย
“ซี้ดดด!”