ตอนที่ 60 กลับบ้าน
เมื่อได้ยินจางฮั่นหลินพูดแบบนั้น ดวงตาของไป๋เยี่ยก็ลุกวาวเป็นประกาย ถ้าเขาจัดเตรียมแบบจำลองหนูที่สมบูรณ์แบบได้ก่อนเดือนสี่ ก็อาจจะเริ่มภารกิจต่อไปได้สินะ
แม้ว่าจางฮั่นหลินจะมีตำแหน่งด้านการบริหารที่ไม่สูงมากนัก แต่เขาถือเป็นผู้มีตำแหน่งสูงส่งในด้านการศึกษาและการวิจัยคนหนึ่งเลยก็ว่าได้
ไป๋เยี่ยเข้าใจประเด็นนั้นดี ทว่าไป๋เยี่ยกลับเกิดความคิดบางอย่างขึ้น เขาควรจะใช้ช่วงเวลานี้ไปกับการเพาะหนู ถ้าเขาทำสำเร็จ เขาจะไม่ได้เพียงแค่เปิดใช้งานภารกิจต่อไปได้ แต่ยังเป็นการสร้างโอกาสให้ตนเองอีกด้วย
บริษัทเพาะพันธุ์สัตว์ทดลองนั้นมีลักษณะที่ค่อนข้างแปลก และมีขอบเขตการพัฒนาที่แตกต่างออกไปจากอุตสาหกรรมชนิดอื่นๆ การเดินสายอุตสาหกรรมนี้ต้องอาศัยทักษะและความสามารถที่ค่อนข้างสูง
อีกทั้งบริษัทประเภทนี้ก็มักจะมีความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นด้านการร่วมมือกันกับองค์กรจำพวกฐานทดลองขนาดใหญ่ สถาบันวิจัย หรือบริษัทวิจัยยา
ถ้าเขาจะเพาะพันธุ์หนู ตีพิมพ์บทความ ยื่นขอสิทธิบัตร และต้องจัดการเรื่องการโอนสิทธิบัตรก็จะต้องใช้เงินจำนวนมาก!
มันเป็นไปไม่ได้เลยที่เขาจะจัดตั้งบริษัทเพาะพันธุ์สัตว์ทดลองขึ้นเอง หรืออาจจะพูดได้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ในระยะเวลาที่สั้นเพียงเท่านี้ โดยมีเหตุผลหลักคือบริษัทประเภทนี้ต้องการความพร้อมทางเทคโนโลยีที่สูงพอ การกำกับดูแลจากรัฐบาล และเงื่อนไขการอนุมัติที่เข้มงวดและต้องใช้เงินเยอะ ไป๋เยี่ยจึงต้องล้มเลิกความคิดนั้นไป
สิ่งที่ไป๋เยี่ยหวังมากที่สุดในตอนนี้คือการจัดตั้งห้องทดลองของเขาเอง เพื่อที่เขาจะได้ริเริ่มการทดลองมากมายขึ้นได้
เมื่อเขานึกถึงรางวัลห้องแล็บที่เขาได้จากการจับรางวัล เขาก็รู้สึกมีความหวังขึ้นมาบ้าง เหลือเพียงเงินห้าล้านหยวนและห้องขนาดห้าร้อยตารางเมตรขึ้นไปเท่านั้นที่หายาก
ตอนนี้ก็ใกล้จะปีใหม่แล้ว บนถนนอบอวลไปด้วยกลิ่นอายของเทศกาลปีใหม่
ร้านข้างทางแต่ละร้านต่างมีโจ๊กล่าปาขาย คนเดินถนนก็ต่างพากันติดกลอนคู่ บนหน้าร้านแต่ละร้านก็มีคำอวยพรต่างๆ แปะไว้
หลังจากกลับมาถึงหอพัก ไป๋เยี่ยก็เริ่มเก็บข้าวของของตนเอง พ่างจื่อมาจากเขตเมืองหลักของมณฑลจิ้นซี นานๆ ทีจึงจะกลับบ้าน ส่วนต้วนเย่ว์และลู่เผยอี้ต่างก็มาจากมณฑลอื่นเหมือนกัน พวกเขาจึงเก็บกระเป๋าเตรียมกลับไปฉลองวันปีใหม่ที่บ้าน
สองวันต่อมา ลู่เผยอี้และต้วนเย่ว์ก็เดินทางกลับบ้านไปแล้ว ส่วนไป๋เยี่ยนั้นยังคงอยู่ที่มหาวิยาลัยอีกสองวัน ตลอดสองวันนี้เขาก็ได้สั่งซื้อหนังสือ ‘จุลชีววิทยาทางการแพทย์’ และ ‘เภสัชจลศาสตร์’ จากในอินเทอร์เน็ตมาอ่าน จากนั้นเขาก็แวะไปซื้อหนังสือเกี่ยวกับ ‘เนื้อเยื่อวิทยาและคัพภวิทยา’ ที่ร้านหนังสือวิทยาลัยแพทย์
เขาควรจะปรับพื้นฐานของตนเองให้แน่นก่อนจะไปที่ห้องทดลองของโนเบล ตอนนั้นถูโยวก็ได้กำชับเขาไว้แล้ว ซึ่งไป๋เยี่ยเองก็ตั้งใจฟังสุดๆ และจำขึ้นใจไว้เป็นอย่างดี
ทั้งวิชากายวิภาคศาสตร์ สรีรวิทยาทางการแพทย์ พยาธิวิทยา เภสัชวิทยา ชีวเคมี
ทั้งห้าวิชานี้เป็นวิชาที่ไป๋เยี่ยพอมีพื้นฐานอยู่บ้างแล้ว เขาวางแผนไว้ว่าจะกลับไปพัฒนาตนเองที่บ้าน อย่างไรเสียตอนที่มาถึงห้องทดลองก็ไม่มีอะไรน่ากลัวอีกต่อไปแล้ว!
เขาต้องไปถึงปักกิ่งในวันที่ห้า พอกลับไปก็ต้องหาเวลาอ่านหนังสืออีก! แต่เมื่อไป๋เยี่ยลองนึกถึงฐานทดลองสุดลึกลับนั่นแล้วก็อดรู้สึกตื่นเต้นไม่ได้
เขาไปที่บ้านของหวังเหมิ่งและกินดื่มด้วยกัน จากนั้นก็แยกย้ายกันกลับบ้านของตนเอง
ภายในหอพักเหลือแค่ไป๋เยี่ยคนเดียว หลังจากที่เขาเก็บข้าวของเรียบร้อยแล้วก็ทำความสะอาดหอพัก เตรียมตัวกลับบ้านในวันพรุ่งนี้
เขาไม่รู้ว่าควรจะนำของขวัญที่หูเฟิงอวิ๋นมอบให้กลับบ้านอย่างไรดี
ไป๋เยี่ยไม่ค่อยไว้ใจการฝากส่ง หรือเดลิเวอรี่เท่าไหร่ เพราะว่าของพวกนี้เป็นของราคาแพง และยังเป็นสินน้ำใจจากหูเฟิงอวิ๋นอีก
ระหว่างที่ไป๋เยี่ยกำลังครุ่นคิดหาวิธีอยู่นั้น ประตูห้องพักก็เปิดออก คนที่เข้ามานั้นก็ไม่ใช่ใครอื่นใดเลย หูเฟิงอวิ๋นนั่นเอง
ไป๋เยี่ยชะงักพร้อมกับรีบถามขึ้น “คุณป้ามาที่นี่ได้ไงครับ”
หูเฟิงอวิ๋นยิ้ม “สองวันก่อนมหา’ลัยของเราปิด ป้าเลยแวะมาดูว่าหนูกลับบ้านไปหรือยัง”
“คุณป้างานยุ่งขนาดนี้ ต้องดูแลตัวเองด้วยนะครับ ไม่ต้องเป็นห่วงผมหรอก ไหนๆ ผมก็โตขนาดนี้แล้ว” ไป๋เยี่ยรู้สึกซาบซึ้งใจ ผู้หญิงเพียงคนเดียวแต่กลับต้องรับตำแหน่งทั้งตำแหน่งผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยและรองผู้อำนวยการสภาประชาชนแห่งมณฑลจิ้นซี ถือเป็นคนใหญ่คนโตจริงๆ ปลายปีนี้จะต้องมีเรื่องราวบางอย่างแน่นอน
หูเฟิงอวิ๋นยิ้ม “เสี่ยวเยี่ยจะกลับไปที่บ้านนานแค่ไหนเหรอ แล้วจะกลับยังไง มีตั๋วรถไฟไหม”
ไป๋เยี่ยส่ายหัวพร้อมกับแค่นเสียงหัวเราะ “คุณป้าครับ พรุ่งนี้ผมว่าจะกลับบ้าน แต่ผมยังคิดไม่ออกเลยว่าจะเอาของพวกนี้กลับบ้านยังไงดี ผมคงเอาขึ้นรถไฟไม่ได้หรอก!
หูเฟิงอวิ๋นเอามือก่ายหน้าผาก ทันใดนั้นเธอก็เพิ่งจะตระหนักได้ “โอ๊ะ ใช่แล้ว ฉันเกือบลืมเรื่องนี้ไปเลย เฮ้อ จะโทษก็โทษป้าเถอะ”
จู่ๆ เธอก็พูดขึ้นมาด้วยแววตาเป็นประกาย “พรุ่งนี้พวกเราจะไปที่เมืองผิงหยวนพอดี จะให้ไปส่งไหม”
ไป๋เยี่ยอึ้ง คุณป้า…ทักษะการละครของคุณป้านี่สุดยอดจริงๆ ใครๆ ดูก็รู้ว่าเป็นแผน…
หูเฟิงอวิ๋นหัวเราะลั่น “พรุ่งนี้ตอนเก้าโมงตรง ป้าจะส่งคนไปรับหนูเอง เตรียมของไว้ให้พร้อมล่ะ”
เธอเดินออกไปในทันทีที่พูดจบ โดยที่ไป๋เยี่ยเองก็ก้มหน้าก้มตาเก็บข้าวของต่อไป
เช้าวันต่อมา ก็มีรถพัสสาทคันหนึ่งจอดนิ่งอยู่ด้านล่างตึกหอพัก คนขับเป็นชายอายุสามสิบกว่าปี เขาเดินมาช่วยไป๋เยี่ยยกของไปไว้ท้ายรถ
หลังจากขึ้นรถ คนขับก็ขับไปรับหูเฟิงอวิ๋นที่ตึกบริหาร
เมืองไท่หยวนอยู่ห่างจากเมืองผิงหยวนค่อนข้างมาก ใช้เวลาขับรถความเร็วสูงประมาณสามชั่วโมง โชคดีที่คนขับมีฝีมือดี เขาขับรถนิ่งมาก นั่งสบายตลอดทาง
หูฟิงอวิ๋นแทบจะกลายเป็นคุณป้าวัยกลางคนธรรมดาคนหนึ่งไปแล้ว เธอถามไป๋เยี่ยทุกเรื่อง
“เสี่ยวเยี่ย พ่อแม่เธอทำงานอะไร”
“เอ่อ…พ่อผมไม่ได้ทำงาน แม่ผมเคยเป็นครู แต่ว่าตอนนี้เกษียณแล้วครับ”
“น้องสาวชื่ออะไร อายุเท่าไหร่ เรียนอะไร แล้วเรียนเป็นยังไงบ้าง”
“ไป๋หลิง อายุสิบเจ็ดปี ตอนนี้อยู่ม.6 ครับ ก็ถือว่าเรียนดีอยู่ครับ”
ระหว่างทาง หูเฟิงอวิ๋นก็ถามทุกอย่างเท่าที่จะถามได้ ถามแม้กระทั่งไป๋เยี่ยมีแฟนหรือยัง
รถพัสสาทลดความเร็วลงหลังจากเข้าเขตเมืองผิงหยวน ตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว หูเฟิงอวิ๋นจึงถามขึ้น “เสี่ยวเยี่ย บ้านหนูอยู่ไหนเหรอ เดี๋ยวป้าพาไปส่งก่อน”
ไป๋เยี่ยรีบบอกปัด “ไม่ต้องก็ได้ครับป้า เดี๋ยวผมเรียกรถเอาก็ได้ครับ บ้านผมอยู่ในหมู่บ้านซีซือ ห่างจากที่นี่สิบกิโลเมตร เดี๋ยวตอนเที่ยงคุณป้าก็มีธุระต่อ ไม่ต้องไปส่งผมแล้วก็ได้ครับ”
หูเฟิงอวิ๋นโบกมือ “อ้าว รถเราก็มี จะเรียกรถมาทำไม เดี๋ยวป้าให้เสี่ยวหวังขับไปส่งที่บ้านเนี่ยแหละ ป้าจะได้รู้ด้วยว่าบ้านอยู่ไหน”
ลูกชายเป็นอย่างไร พ่อก็เป็นแบบนั้น ลูกสาวเป็นอย่างไร แม่ก็เป็นแบบนั้นแหละ
คำพูดนี้นำมาใช้กับไป๋เยี่ยไม่ได้ แต่มันก็พอมีเหตุผลอยู่บ้าง
หูเฟิงอวิ๋นมองไป๋เยี่ยเป็นเด็กดี แต่กลับรู้สึกประหลาดใจในตัวพ่อแม่ของไป๋เยี่ย พอรู้ว่าพ่อแม่ของไป๋เยี่ยไม่มีงานทำ ก็เตรียมจัดหางานไว้ให้พ่อแม่ของไป๋เยี่ย
รถค่อยๆ เคลื่อนไปช้าๆ ต้องชมว่าเทคโนโลยีนั่นสุดยอดจริงๆ จีพีเอสนำทางพวกเขามาที่หมู่บ้าน บวกกับคำแนะนำจากไป๋เยี่ย ทำให้มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย