ตอนที่ 62 วันธรรมดาๆ ของเถ้าแก่ผู้หมดไฟ
เด็กสาวรวบผมหางม้าหน้าตาสะสวยคนหนึ่งเดินเข้ามา เธอมมีรูปร่างค่อนข้างสูงและมีหน้าตาสวยมาก
เมื่อเธอเห็นว่าหูเฟิงอวิ๋นนั่งอยู่ในห้องก็มองด้วยความสงสัยและเอ่ยทักทาย “สวัสดีค่ะ คุณป้า”
หูเฟิงอวิ๋นมองเด็กสาวคนนั้นด้วยแววตาเป็นประกาย เธอสวยมาก! ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้แต่งหน้าแต่เธอก็มีพื้นฐานหน้าตาที่ดีอยู่แล้ว ดูอ่อนโยนและสุขุม เหมือนดอกบัวที่โผล่พ้นน้ำ
“หนูชื่อไป๋หลิงใช่ไหม สวยเหมือนชื่อเลยนะเนี่ย!”
ไป๋หลิงตอบรับอย่างนอบน้อม “ขอบคุณค่ะคุณป้า”
ทั้งครอบครัวพูดคุยและหัวเราะไปกับหูเฟิงอวิ๋น พวกเขาก็เข้ากันได้ดีมาก หูไฉ่อวิ๋นกำลังจะทำอาหารให้ทุกคน หูเฟิงอวิ๋นก็ยืนกรานที่จะช่วย
ทว่าทันใดนั้นก็มีโทรศัพท์เข้ามา หูเฟิงอวิ๋นจึงกล่าวอย่างเสียใจ “ฉันมีประชุมในเมือเลยต้องไปแล้วค่ะ พวกเราจะเป็นครอบครัวเดียวกันในอนาคต ถ้าคุณต้องการความช่วยเหลืออะไรก็บอกฉันมาได้เลยนะคะ”
จากนั้นครอบครัวของไป๋เยี่ยก็ขนของมากมายเข้าบ้านและไปส่งหูเฟิงอวิ๋น
จู่ๆ ถ้าแก่ไป๋ก็ดึงไป๋เยี่ยเข้ามาถามว่า “เสี่ยวไป๋ เกิดอะไรขึ้น ไปเกาะผอ.หูมาได้ยังไง”
ไป๋เยี่ยชะงัก “เถ้าแก่ไป๋ หยุดพูดแบบนี้ได้แล้ว! ก็เพราะว่าลูกชายพ่อเก่งไง เธอเลยยอมให้ผมเกาะ!”
ไป๋ตงหลินเย้ย “เกรดก็ไม่ได้ดีขึ้นนี่ แต่คุยโวเก่งขึ้นจริงๆ นะ”
จู่ๆ หูไฉ่อวิ๋นก็ตะโกนออกมาจากห้องครัว “วันนี้ใครทำกับข้าว!”
ไป๋ตงหลินกระโดดขึ้นอย่างกระวนกระวาย “ผมเอง! ที่รัก หยุด ผมทำเอง!”
ไป๋เยี่ยถอนหายใจ ครอบครัวการละครชัดๆ!
วันนี้มีหลายอย่างที่ต้องทำ กว่าอาหารจะพร้อมก็ปาไปบ่ายโมงบ่ายสองแล้ว
เป็นวันที่สงบวันหนึ่งของทั้งครอบครัว
ไป๋เยี่ยไม่ได้ออกไปไหน แต่กลับหมกตัวอ่านหนังสืออยู่ในบ้านทั้งบ่าย
ห้องของเขาอยู่ชั้นสองซึ่งปกติแล้วก็ไม่มีใครขึ้นไปรบกวนเขาสักเท่าไหร่ เขาไปเรียนที่อื่นมาหลายปีจึงไม่ค่อยมีเพื่อน
แถมตอนที่เขายังเด็กก็ย้ายบ้านหลายครั้ง จนในที่สุดก็ได้มาอยู่ที่นี่
ดังนั้น วัยเด็กของไป๋เยี่ยจึงไม่ค่อยมีอะไรมาก หลังจากที่เขาพอตั้งตัวได้แล้วก็ได้ออกไปเรียนหนังสือที่อื่น
ไม่น่าแปลกใจ เพราะสาเหตุหลักๆ ก็มาจากเถ้าแก่ไป๋ทั้งนั้น
ชีวิตของเถ้าแก่ไป๋ขึ้นๆ ลงๆ มณฑลจิ้นซีเป็นมณฑลที่มีอุตสาหกรรมผลิตถ่านหินขนาดใหญ่ โดยเฉพาะที่เมืองผิงหยวน
ซึ่งเถ้าแก่ไป๋เองก็เป็นหนึ่งในเถ้าแก่กิจการถ่านหินกลุ่มแรกๆ
จนใน 2008 ไป๋เยี่ยก็ได้เข้าใจว่าการใช้ชีวิตอันหรูหรานั้นหมายความว่าอย่างไร
แน่นอนว่าเถ้าแก่ไป๋เกิดร่ำรวยขึ้นมา เขาเป็นหนึ่งในคนรวยที่ไม่ได้รับการศึกษา ซึ่งรู้จักกันทั่วไปในนามเศรษฐีบ้านนอก
ในฐานะที่เป็นเศรษฐีบ้านนอกคนหนึ่ง เหล่าไป๋จึงต้องสร้างแวดวงของตนเองขึ้นมา ทว่าทางเดินกลับไม่ได้ถูกโรยด้วยกลีบดอกไม้เสมอไป
เถ้าแก่ไป๋ผู้เรียนไม่จบชั้นประถมกลายเป็นขี้ปากให้คนอื่นนินทา เถ้าแก่ถ่านหิน! รวย! แต่ไม่มีความรู้! แค่ขุดถ่านหินก็รวยได้!
เถ้าแก่ไป๋ปฏิเสธที่จะยอมรับมัน ไม่รู้ว่าเพราะการชักจูงจากใคร เขาก็ตัดสินใจลงทุนในอุตสาหกรรมระดับไฮเอนด์มากมายเพื่อแสดงรสนิยมของเขา ทั้งหุ่นยนต์ทุกประเภท วัสดุการบิน การก่อสร้างทางทะเล ปัญญาประดิษฐ์ พันธุวิศวกรรม และอื่นๆ เป็นแนวคิดของบล็อกเชนที่ถูกเพิ่มเข้ามา
ทว่าผลที่ตามมานั้นกลับแย่เกินบรรยาย เขาเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ ทำให้ฐานะอันมั่นคงของ เถ้าแก่ไป๋ค่อยๆ ลดลง
ในเวลาเดียวกัน เถ้าแก่ไป๋ยังเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงในแวดวง เขาจึงหาเงินได้เร็วมาก!
โชคดีที่เถ้าแก่ไป๋ย้ายบ้านบ่อย เขาซื้อบ้านทุกที่ที่เขาย้ายไป และใช้ประโยชน์จากราคาที่อยู่อาศัยที่พุ่งสูงขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทว่าเขาก็ยังแก้ปัญหาไม่ได้
เพียงแต่ว่า…ช่องโหว่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นใหญ่เกินไป เถ้าแก่ไป๋จึงขายบ้านเกือบทุกหลังแล้ว และค่อยๆ นำเงินที่ได้มาเติมเต็มช่องโหว่
หลังจากการปฏิรูปเหมืองถ่านหิน เถ้าแก่ไป๋ก็สูญเสียทั้งเหมืองและบ้านไป
ต่อมา ทั้งครอบครัวก็กลับไปยังบ้านเกิดในหมู่บ้านซีซือ ปรับปรุงบ้านเก่าและย้ายเข้าไปอยู่อีกครั้ง
หลังจากย้ายเข้ามา เถ้าแก่ไป๋ก็ได้ทบทวนตนเอง หลังจากมีประสบการณ์มากมาย เขาเริ่มศึกษาวัฒนธรรมจีนโบราณ ฝึกเขียนพู่กัน สะสมของสะสม เลี้ยงสุนัข และตกปลาในยามว่าง
หลายปีผ่านไป เถ้าแก่ไป๋ก็เริ่มมีผลงานเล็กๆ น้อยๆ คนในหมู่บ้านก็เริ่มหันมาใช้กลอนคู่ของเถ้าแก่ไป๋มากขึ้น!
เถ้าแก่ไป๋ไม่มีเงินแล้ว และตอนนี้เขากลายเป็นไก่อ่อนที่เอาแต่หลบหลังคุณนายหู
ที่ครอบครัวนี้อยู่ได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะข้อดีอย่างหนึ่งของคุณนายหู!
ตระหนี่!
หูไฉ่อวิ๋นเป็นหญิงสาวในชนบททั่วไปที่มีความคิดจะประหยัดเงิน
เมื่อเถ้าแก่ไป๋พอมีฐานะขึ้นมาบ้าง คุณนายหูก็ซื้อกำไลทอง แหวน สร้อยคอ และทองแท่งไว้มากมาย ตราบใดที่มันเป็นทองเธอก็จะโลภมาก
พอได้เปิดโลก เธอก็เริ่มสะสมทองและเริ่มศึกษาเกี่ยวกับเพชรพลอยและนาฬิกาข้อมือ
อย่างไรเงินที่พวกเขาเก็บหอมรอมริบได้ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ก็ทำให้ครอบครัวพอมีกินมีใช้ขึ้นมาบ้าง
ทั้งเถ้าแก่ไป๋และคุณนายหูต่างก็มาจากชนบท พวกเขาไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน
เมื่อพูดถึงการอบรมสั่งสอนเด็กๆ คนในหมู่บ้านต่างก็มีแนวทางของตนเอง ทั้งตีลูกชาย เอาใจลูกสาว คนจนให้มีลูกชาย คนรวยให้มีลูกสาวต่างๆ นานา รวมถึงคำกล่าวอื่นๆ ที่สืบทอดกันมานานนับพันปี
มันทำให้ไป๋เยี่ยสงสัยอยู่พักหนึ่งว่าลูกชายไปทำอะไรให้พวกเขา ถึงต้องปฏิบัติใส่กันเช่นนั้น!
อย่างไรก็ตาม ถ้าเป็นเด็กผู้ชายก็ต้องรู้จักอดทนฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ
หลังจากไป๋เยี่ยเปรียบเทียบตนเองกับไป๋หลิงมานับครั้งไม่ถ้วนก็ทำให้ไป๋เยี่ยสงสัยว่าเขาเป็นลูกชายของเถ้าแก่ไป๋จริงๆ ไหม
ไป๋เยี่ยถึงขั้นใช้กลอุบายทุกรูปแบบ เช่น พิสูจน์เลือดตนเองกับเถ้าแก่ไป๋และตรวจดีเอ็นเอ
แต่ท้ายที่สุดไป๋เยี่ยก็ต้องผิดหวังที่เขาเป็นลูกชายแท้ๆ ของเถ้าแก่ไป๋จริงๆ
ด้วยความสิ้นหวัง ไป๋เยี่ยจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมรับชะตากรรมต่อไป
ทั้งเถ้าแก่ไป๋และคุณนายหูรู้ว่าพวกเขาไม่มีการศึกษาและพวกเขากลัวว่าจะสอนลูกๆ ได้ไม่ดีพอ พวกเขาพาไป๋เยี่ยออกเดินทางไปทั่ว พวกเขารู้สึกว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่โดดเด่น แต่คนที่พวกเขาผูกมิตรด้วยต้องเป็นคนเก่ง ยิ่งเด็กได้เปิดโลกมากขึ้นก็จะเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
ไป๋เยี่ยออกเดินทางกับเถ้าแก่ไป๋มาหลายปีแล้ว และเขาก็ได้เจออุปสรรคต่างๆ มามากมาย แม้ว่าเขาจะไม่เคยมีประสบการณ์เป็นของตนเอง แต่ก็ถือว่าได้เรียนรู้ไปในตัว
ไป๋เยี่ยจึงได้นิสัยเด็ดเดี่ยวและสงบนิ่งมาจากเถ้าแก่ไป๋และคุณนายหู
ในตอนนั้น เถ้าแก่ไป๋เคยแนะนำไป๋เยี่ยถึงวิธีการจัดการธุรกิจและการเงินเมื่อเขากำลังจะเข้ามหาวิทยาลัย แต่เด็กคนนี้เรียนรู้จากพ่อแม่ของเขามาตลอด ประสบการณ์คือครูที่ดีที่สุด เขาได้พบเจอกับบุคคลหลากหลายในหลายปีที่ผ่านมาที่ต่างประเทศ ซึ่งอาชีพที่ไป๋เยี่ยรู้สึกอิจฉาที่สุดคือหมอและนักกฎหมาย ที่มีการศึกษาสูง รายได้สูง และได้รับความเคารพจากผู้อื่นโดยที่ไม่ต้องร้องขอจากใคร
ดังนั้นไป๋เยี่ยจึงอยากเป็นหมอ เรียนต่อเอ็มดีที่ต่างประเทศ (แพทยศาสตร์บัณฑิต) ทว่า…ก็มีเรื่องราวบางอย่างตามมา
ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมา ไป๋เยี่ยจึงคลั่งไคล้ในการการแสวงหาวัฒนธรรมและการเรียนรู้ เขาคิดว่าคนอื่นเยาะเย้ยและดูถูกเถ้าแก่ไป๋เพราะเถ้าแก่ไป๋ไม่ได้รับการศึกษา
ไป๋เยี่ยได้รับอิทธิพลด้านแนวคิดเรื่องเงินและการบริโภคของมาจากพ่อแม่ของเขา ถ้าไม่ใช่เพราะเงินที่แม่ของเขาสะสมมาหลายปี ตอนนี้เขาก็คงไม่มีเงินใช้แล้ว ดังนั้นไป๋เยี่ยจึงใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล ประหยัดเท่าที่เขาจะทำได้ และใช้จ่ายเท่าที่พอดี
สองวันมานี้ไป๋เยี่ยไม่ได้ออกไปไหนเลยนอกจากออกไปกินข้าว เขาเอาแต่หมกตัวอ่านหนังสือ
แน่นอนว่าผลลัพธ์ก็ดีมากเช่นกัน
เดิมทีพื้นฐานของหลายวิชาจากในมหาวิทยาลัยนั้นก็ดีอยู่แล้ว วิชาเภสัชวิทยาจึงขึ้นมาที่เลเวลสองทันที
นอกจากนี้ การเรียนรู้วิชาเภสัชวิทยาก็ทำให้ไป๋เยี่ยเข้าใจยาจีนได้อย่างลึกซึ้งยิ่งขึ้น
สภาพแวดล้อมการเจริญเติบโตและวงจรการเจริญเติบโตของยาจะเป็นตัวกำหนดประสิทธิภาพของยาที่มีผลต่อกระบวนการในร่างกายมนุษย์
การแพทย์แผนจีนเป็นศาสตร์ที่กว้างและลึกซึ้ง ศาสตร์ต่างๆ ค่อยๆ หล่อหลอมเป็นระบบที่สมบูรณ์หลังจากที่ได้สั่งสมวิชาความรู้ซึ่งมีประวัติศาสตร์มายาวนานนับพันปี
ทุกวันนี้เป็นเรื่องยากมากที่จะขุดคุ้ยความยิ่งใหญ่ของการแพทย์แผนจีนผ่านวิธีการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่
ซึ่งวันนี้ไป๋เยี่ยก็ได้ค้นพบว่าบุคลากรประเภทใดที่จำเป็นต่อการพัฒนาและสร้างสรรค์สังคม
ไม่ใช่แค่บุคลากรระดับสูงเท่านั้น
แต่ที่สำคัญคือบุคลากรจากหลากหลายวิชาชีพ
นี่คือแกนหลักของความก้าวหน้าทางสังคม
คนที่เรียนแพทย์แผนตะวันตกก็มีข้อจำกัดทางความคิดของเขา และข้อจำกัดดังกล่าวเป็นตัวกำหนดว่าเส้นทางของเขานั้นไปได้ไม่ไกลนัก
ถ้าเขามีความเชี่ยวชาญด้านเภสัชวิทยา เภสัชจลนศาสตร์ พยาธิวิทยา และสรีรวิทยา เขาก็จะกลายเป็นคนรอบรู้มากขึ้น
สรีรวิทยาทำให้เขาเข้าใจว่าร่างกายมนุษย์เป็นอย่างไร พยาธิวิทยาทำให้เขารู้ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรกับร่างกายหลังเจ็บป่วย และเภสัชวิทยาทำให้เขาเข้าใจผลกระทบของยา เภสัชจลนศาสตร์ จะช่วยให้เขารู้ว่ายาจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรเมื่อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์
และนี่ก็คือระบบที่สมบูรณ์!
คนเราจะเก่งได้ไม่ใช่เพราะรู้แค่ด้านเดียวแน่นอน!