ตอนที่ 94 เยี่ยมเยียนหูเฟิงอวิ๋น
เช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋เยี่ยออกไปซื้อผลไม้ที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตและตรงไปที่ห้องทำงานผู้อำนวยการ
ระหว่างที่เขาไม่อยู่ที่มหาวิทยาลัย หูเฟิงอวิ๋นก็เป็นคนช่วยเขาติดต่อโรงพยาบาลแพทย์แผนจีนประจำจังหวัด ช่วงปีใหม่ หลังจากที่ไป๋เยี่ยทักไปอวยพรปีใหม่ เธอก็ส่งอั่งเปาห้าร้อยหยวนมาให้ไป๋เยี่ยด้วย!
เดิมทีเขาอยากจะซื้อของฝากจากเมืองหลวงมาเป็นของขวัญให้กับหูเฟิงอวิ๋น แต่เขารีบมากจนไม่มีเวลา
ไป๋เยี่ยจึงตั้งใจจะซื้อผลไม้ไปฝากเป็นมารยาท
อย่างไรเสีย หูเฟิงอวิ๋นก็มียศเป็นถึงผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยซึ่งมีหน้าที่บริหารงานในรั้วมหาวิทยาลัย ถ้าเกิดว่าเขาซื้อของขวัญที่มีราคาแพงเกินไป หรือมากเกินไปให้เธอ เธอก็อาจจะถูกสาธารณชนวิพากษ์วิจารณ์ได้
ห้องทำงานของผู้อำนวยการตั้งอยู่บนชั้นเก้าของตึกบริหาร ทันที่ที่ไป๋เยี่ยมาถึงห้องทำงานของหูเฟิงอวิ๋น เขาก็ได้ยินเสียงคนกำลังคุยโทรศัพท์ดังออกมาจากด้านใน เขาจึงรอให้เสียงนั้นเงียบลงก่อนจึงจะเคาะประตู
หูเฟิงอวิ๋นเป็นที่รู้จักในนามหญิงแกร่งผู้เคร่งครัด เธอมีแนวทางในการบริหารมหาวิทยาลัยอย่างเป็นระบบ ซึ่งการที่มหาวิทยาลัยจิ้นซีได้เลื่อนขั้นจากการเป็นสถาบันธรรมดาๆ ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยก็ล้วนเป็นผลงานของเธอทั้งนั้น
ทันทีที่ไป๋เยี่ยเปิดประตูเข้ามา หูเฟิงอวิ๋นก็เบิกตากว้างด้วยความดีใจ สีหน้าเคร่งขรึมในตอนแรกก็ดูผ่อนคลายลง เธอรีบลุกขึ้นและส่งยิ้มให้ไป๋เยี่ย
“เสี่ยวเยี่ยกลับมาแล้ว มานั่งเร็ว”
ไป๋เยี่ยยิ้มตอบ “คุณป้าหู ยุ่งๆ อยู่หรือเปล่าครับ ขอโทษที่เข้ามรบกวนนะครับ!”
หูเฟิงอวิ๋นดีใจมากที่ได้เจอไป๋เยี่ย “ไม่เลยๆ มานั่งเร็วเสี่ยวเยี่ย แล้วนี่ซื้ออะไรมาอีก!”
ไป๋เยี่ยกล่าวขอโทษ “จริงๆ ผมว่าจะมาหาคุณป้าหลังปีใหม่ แต่ว่าผมมีเวลาน้อยมากจริงๆ เลยต้องไปที่หน่วยทดลองก่อน”
หูเฟิงอวิ๋นรู้เรื่องหน่วยทดลองของโนเบล ไป๋เยี่ยจึงไม่ได้ปิดบังอะไรและเล่าทุกอย่างให้เธอฟัง
หูเฟิงอวิ๋นได้ยินดังนั้นก็ถามด้วยความสงสัย “ที่นั่นเป็นยังไงบ้างล่ะ มันยิ่งใหญ่มากไหม”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า “เทคโนโลยีที่นั้นล้ำมากครับ หลายๆ คนในนั้นก็จบปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยชื่อดังกันทั้งนั้น แถมพวกเขายังได้เข้าร่วมโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการและยังได้ตีพิมพ์วารสารที่มีคะแนนไอเอฟสูงด้วย ทุกคนที่นั่นมีสิทธิบัตรเป็นของตนเองด้วยนะครับ! มันสุดยอดมากๆ เลย ในเวลาหนึ่งเดือนนั้นผมได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างจากที่นั่น!”
หูเฟิงอวิ๋นขมวดคิ้ว “เก่งขนาดนั้นเลยเหรอ แล้วหนูคิดว่ามหา’ลัยของเราจะไปถึงระดับนั้นได้บ้างไหม มหา’ลัยของเรายังต้องปรับปรุงเรื่องคุณภาพของงานวิจัยอีกมาก ป้าเองก็กังวลมากเหมือนกัน! ป้าเพิ่งคุยโทรศัพท์กับศาสตราจารย์จางฮั่นหลินเสร็จ เขาบอกว่าเขาจะย้ายมาประจำการที่นี่ในปีหน้า และจะเป็นผู้รับผิดชอบการทำวิจัยเอง…เฮ้อ คุณภาพงานวิจัยของมหา’ลัยเรานี่แย่จริงๆ…”
ไป๋เยี่ยรู้ว่าหลังจากที่ทางมหาวิทยาลัยได้จัดตั้งวิทยาเขตใหม่ก็จะมุ่งเน้นไปที่การก่อตั้งห้องแล็บเสียมากกว่า ทว่าคุณภาพของงานวิจัยนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับอุปกรณ์หรือห้องแล็บที่ทันสมัยเท่านั้น
ไป๋เยี่ยสัมผัสได้ถึงความเก่งกาจของจางฮั่นหลิน เขาเป็นถึงหัวหน้าโครงการของสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์ธรรมชาติแห่งชาติของจีน ตำแหน่งของเขาไม่เป็นที่น่ากังขาเลย ดูเหมือนว่าผู้อำนวยการหูจะมาถูกทางแล้วจริงๆ
หูเฟิงอวิ๋นกล่าวติดตลก “ไหนๆ หนูก็ได้เข้าไปทำงานในหน่วยทดลองของโนเบลแล้ว พยายามเข้าล่ะ ถ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญเมื่อไหร่ก็อย่าลืมมหา’ลัยของเรานะ”
ไป๋เยี่ยยิ้ม “ไม่หรอกครับ ถ้ามหา’ลัยต้องการตัวผม ผมจะกลับมาแน่นอน! ไม่ต้องห่วงเลยคุณป้า”
หูเฟิงอวิ๋นยิ้มก่อนจะพูดต่อ “อ้อ ป้าเพิ่งนึกอะไรออก ป้าอยากจะให้หนูไปบรรยายให้พวกรุ่นน้องฟัง”
ไป๋เยี่ยชะงัก “บรรยายเหรอ หมายความว่าไงครับ”
หูเฟิงอวิ๋นพยังหน้าอย่างจริงจัง “ใช่แล้ว ให้เลคเชอร์และพูดถึงประสบการณ์ของหนู ความเข้าใจในการแพทย์แผนจีน และความคิดของหนูเกี่ยวกับการเรียนแพทย์แผนจีน เพราะยังไงหนูก็เป็นคนที่ได้อันดับหนึ่งในการแข่งขันความรู้ด้านการแพทย์แผนจีนและยังได้ที่หนึ่งในการสอบเรียนต่อปริญญาโทด้วย คงไม่มีใครได้สัมผัสประสบการณ์แบบนี้เหมือนหนูหรอก”
“เราเคยรับฟังข้อเสนอแนะจากนักศึกษาแล้ว พบว่านักศึกษาส่วนใหญ่มองว่าการเรียนรู้การใช้ยาจีนเป็นเรื่องที่ยากมาก ป้าเองก็ไม่ได้ทำงานในสาขานั้นมาสักพักใหญ่ๆ แล้วแถมยังบรรยายไม่เก่งด้วย แต่หนูยังอายุน้อย น่าจะเข้ากับพวกรุ่นน้องได้ง่าย ป้าเลยอยากให้หนูแบ่งปันประสบการณ์นี้ให้คนอื่นๆ ฟัง และคอยช่วยเหลือเพื่อนๆ! หนูโอเคใช่ไหม”
ไป๋เยี่ยหัวเราะ “ไม่เป็นไรเลยครับ สองวันนี้ผมจะเตรียมตัวไปให้ดี จะได้ไม่ขายหน้าใครเขา”
หูเฟิงอวิ๋นรับ “อืม ได้สิ งั้นป้าฝากเรื่องนี้ด้วยนะ ตอนเย็นวันจันทร์ป้าจะขอให้อาจารย์ของมหา’ลัยของเราเข้าร่วมด้วย ครั้งนี้จะให้หนูบรรยายให้รุ่นน้องปีหนึ่งฟังเกี่ยวกับทักษะการคิดและการเริ่มต้นเรียนรู้การแพทย์แผนจีนเป็นหลัก”
“นักศึกษาจำนวนมากยังขาดความสนใจและความมั่นใจในการเรียนสาขาแพทย์แผนจีน เมื่อปีที่แล้วมีนักศึกษาใหม่ตัดสินใจลาออกจากมหา’ลัยของเราไปเจ็ดแปดคนเพื่อสอบใหม่ปีหน้า พวกเขาขาดความมั่นใจในการเรียนสาขานี้ ต่อให้บางคนจะกลับมาเรียนที่นี่ในปีถัดไป แต่พวกเขาก็ไม่คิดจะเลือกเรียนสาขานี้อีกเลย”
หูเฟิงอวิ๋นพูดจบก็ถอนหายใจ “หนูต้องสร้างกำลังใจและความมั่นใจให้กับพวกรุ่นน้องนะ เพราะท้ายที่สุดแล้วหนูก็คือคนที่ประสบความสำเร็จในมหา’ลัยของเรา”
แม้ว่าไป๋เยี่ยจะเรียนเก่ง แต่ทักษะด้านการบรรยายของเขานั้นติดลบ เพราะว่าเขาไม่เคยพบเจอกับประสบการณ์แบบนั้นมาก่อน และเขายังตั้งใจเรียนด้วยตนเองมาโดยตลอด
[ติ๊ง! ค้นพบภารกิจ จงเป็นครูที่ดี คอยตักเตือน ชี้แนะ ให้ความรู้และไขข้อสงสัย! การเป็นเด็กเรียนไม่ได้หมายความว่าคุณต้องขยันแค่คนเดียว แต่คุณต้องทำให้คนรอบข้างขยันตามไปด้วย จงส่งพลังแห่งเด็กเรียนให้กับคนรอบข้าง! ในหนึ่งเดือนข้างหน้า ผลงานการสอนของคุณจะถูกแปลงเป็นค่าประสบการณ์ ยิ่งคุณสร้างอิทธิพลได้มากเท่าไร ค่าประสบการณ์ก็จะมากขึ้นเท่านั้น! โปรดใช้เวลาให้เป็นประโยชน์]
ไป๋เยี่ยอ่านภารกิจก็กังวลเล็กน้อย! ถ้าทำออกมาได้ดี ผลตอบแทนก็มากตามไปด้วยสินะ
ไป๋เยี่ยกระวนกระวายใจ เขาต้องไปบรรยายตอนเย็นของวันพรุ่งนี้แล้ว เขาควรจะกลับไปสรุปความคิดของตนเองว่าควรจะพูดถึงอะไรบ้างดีกว่า
ไป๋เยี่ยกลับไปที่หอพัก เขาหยิบกระดาษขาวสะอาดและปากกาออกมา ก่อนจะลงมือเขียนทุกอย่างที่นึกออกลงไป
ความคิดมากมายตีกันในหัวของไป๋เยี่ยจนยุ่งเหยิงไปหมด เขาต้องเขียนเรื่องที่นึกออกทั้งหมดลงไปก่อนแล้วจึงค่อยจัดระเบียบความคิดอีกที
นี่คือวิธีการของไป๋เยี่ย!
ไป๋เยี่ยไม่ได้อยากบรรยายแค่เรื่องเกี่ยวกับการแพทย์แผนจีนเท่านั้น แต่เขายังอยากแบ่งปันความเข้าใจอันลึกซึ้งที่เขามีต่อการแพทย์แผนจีนให้คนอื่นฟังด้วย
พูดถึงการผสมผสานแนวคิดและวิธีการต่างๆ เข้ากับการแพทย์แผนปัจจุบัน ตลอดจนความก้าวหน้าในการวิจัยประเด็นทางการแพทย์แผนจีนด้วยการใช้แนวคิดแพทย์แผนปัจจุบัน
เขาไม่ต้องการให้เด็กปีหนึ่งเหล่านี้จำกัดความคิดของตนเองไว้ในกรอบ แต่หวังว่าเด็กรุ่นใหม่เหล่านี้จะประยุกต์วิธีการทางการแพทย์สมัยใหม่เข้ากับการวิจัยทางการแพทย์แผนจีนได้
ไป๋เยี่ยรับประกันไม่ได้ว่าความคิดของเขาคือความคิดที่ถูกต้องทั้งหมด แต่เขาแบ่งปันประสบการณ์ของเขาให้คนอื่นฟังได้ และเขาเชื่อว่าพวกรุ่นน้องจะต้องเข้าใจในประสบการณ์ของเขาแน่นอน
หลังจากที่เตรียมการมาสองวันเต็ม ไป๋เยี่ยก็หาหนังสือและงานเขียนต่างๆ บนอินเทอร์เน็ตมาอ่าน รวมถึงงานเขียนของต่างประเทศอย่างเช่นการวิจัยหลักการแพทย์แผนจีนที่เขียนขึ้นโดยชาวญี่ปุ่น
ไป๋เยี่ยเขียนสิ่งที่เขาจะพูดเต็มหน้ากระดาษเอสี่ จากนั้นก็เริ่มสรุปและจัดหมวดหมู่ความคิดที่กระจัดกระจายให้เป็นระเบียบ
หลักจากที่จัดเตรียมเอกสารเรียบร้อยแล้ว ไป๋เยี่ยก็หันมาจัดการกับรูปลักษณ์ของตนเอง เขาจะต้องทำให้พวกรุ่นน้องรู้สึกมั่นใจในตัวเขาว่าเขาเป็นอาจารย์คนหนึ่ง และพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเพอร์เฟ็กต์ทั้งรูปลักษณ์และความสามารถจริงๆ!