ตอนที่ 108 ความจริงใจของเฉียวเสี่ยวหยาง
วันที่สิบสามเมษายน ท้องฟ้าแจ่มใสไร้เมฆหมอก
สภาพอากาศวันนี้ดูจะต่างไปจากเดิม ไม่มีความหนาวเย็นอีกต่อไป อันที่จริงนี่ก็เข้าสู่ช่วงฤดูใบไม้ผลิแล้ว เป็นช่วงเวลาแห่งความผ่อนคลายและความสุขของผู้คน
ไป๋เยี่ยเดินทางไปเมืองไห่ซื่อเพียงลำพัง
เหล่าไป๋กล่าวไว้ว่าชีวิตก็เหมือนกับการเดินทาง มีหยุดมีก้าวเดินต่อ ถึงแม้ว่าตนจะไม่รู้ว่ากำลังมุ่งหน้าไปหนใด แต่โปรดระลึกไว้เสมอว่ายังมีคนคอยเคียงข้างคุณอยู่เสมอ
คุณนายหูคือคนที่อยู่กับเหล่าไป๋มาโดยตลอด พอนึกถึงตอนกลับบ้านที่เหล่าไป๋เป็นคนวาดพู่กัน ส่วนคุณหายหูก็คอยฝนหมึกให้ ไป๋เยี่ยก็แอบรู้สึกอิจฉาขึ้นมานิดๆ
ไป๋เยี่ยโสดมาตลอดยี่สิบกว่าปี เขายังไม่เคยเจอคนที่เคมีตรงกับเขาเลยสักคน ทั้งยังรู้สึกว่าตนเองเข้ากับสาวๆ ไม่ค่อยได้ด้วย
สู้อยู่คนเดียวยังดีเสียกว่า เพราะเขาเองก็ไปไหนมาไหนคนเดียวมาตั้งแต่เด็กจนชินกับการอยู่คนเดียวไปแล้ว ทว่าบางทีเขาก็รู้สึกกังวล หรือบางที…เขาอาจจะไม่มีความรู้สึกอะไรเลยก็ได้
เครื่องบินบินสูงทะลุหมู่เมฆ ระยะทางจากจิ้นซีไปไห่ซื่อนั้นไม่ไกลมากนัก ใช้เวลาราวๆ สองชั่วโมงก็ถึงจุดหมายแล้ว
ไป๋เยี่ยหยิบแท็บเล็ตออกมาเปิดดูเอกสารที่เกี่ยวข้องกับเฮ่ออันทั้งหมด
มีทั้งธีสิส บทความ และหนังสือ
ตั้งแต่เขาได้เรียนรู้แนวคิดต่างๆ ของเฮ่ออัน เขาก็นึกถึงความแตกต่างทางความคิดระหว่างตัวเขาเองกับเฮ่ออันเสมอ
จะบอกว่าอย่างไรดี
ไป๋เยี่ยคิดไว้เสมอว่าแนวคิดของเขามันช่างต่างกับของเฮ่ออันโดยสิ้นเชิง
ประการแรกคือทิศทางการวิจัย เฮ่ออันมุ่งเน้นไปที่การวิจัยเกี่ยวกับโรคทางจิตวิทยา ซึ่งไม่ใช่แนวทางที่ไป๋เยี่ยกำลังแสวงหาเลย
เขาชอบโรคทางอายุกรรมมากกว่าโรควิตกกังวลหรือโรคซึมเศร้าเสียอีก
ประการที่สองคือแนวคิดของเฮ่ออัน เฮ่ออันมีแนวโน้มที่จะยอมรับแนวคิดตำรับยาจีนมากกว่าทฤษฎีการแพทย์แผนจีน!
เขาคิดว่าแก่นแท้ของการแพทย์แผนจีนอยู่ที่การใช้ยา และคิดว่าสิ่งที่มีสร้างคุณค่าให้กับการแพทย์แผนจีนมาเป็นเวลาหลายพันปีคือการทดลองและการวิจัยยา
เขาชอบนำยาจีนมาทำการทดลองโดยใช้กระบวนการทางการแพทย์แผนปัจจุบันแล้วจึงค้นพบสิ่งใหม่ๆ
ไป๋เยี่ยไม่ค่อยเห็นด้วยกับแนวคิดดังกล่าวสักเท่าไหร่ คุณค่าของการแพทย์แผนจีนไม่ได้อยู่ที่ยาจีนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังอยู่ในแนวคิดอื่นๆ ด้วย ไป๋เยี่ยจึงคิดว่าเฮ่ออันอาจจะกำลังเข้าใจผิดอยู่ก็เป็นได้
การเรียนรู้ก็เป็นเช่นนี้ ทุกคนต่างมีสาขาที่ตนเองเชี่ยวชาญ เฮ่ออันเรียนจบจากต่างประเทศ ทั้งยังจบปริญญาเอกจากคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยถงจี้ จึงเป็นเรื่องปกติที่เขาจะมีแนวคิดเช่นนั้น!
ไป๋เยี่ยใช้เวลาครุ่นคิดอยู่หลายวัน เขาคิดถูกหรือผิดที่เลือกเฮ่ออัน
การเลือกอาจารย์ที่ปรึกษามีผลต่อตัวนักศึกษาเอง ซึ่งจะมีผลต่อแนวคิดของนักศึกษา ทั้งทางด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ หรือการปฏิบัติงานในวอร์ดเป็นต้น หลังจากที่ไป๋เยี่ยได้ลองศึกษาเกี่ยวกับตัวเฮ่ออัน เขาก็รู้สึกสูญเสียแรงผลักดันที่จะไปสมัครเป็นนักศึกษาภายใต้สังกัดของเฮ่ออันเป็นอย่างมาก
การศึกษาตนเองคือกุญแจสำคัญ ท้ายที่สุดแล้วการศึกษาระดับปริญญาโทก็เป็นก้าวที่สำคัญก้าวหนึ่ง ต่างคนต่างมีข้อดีและความเชี่ยวชาญเฉพาะตัวอยู่แล้ว ยิ่งถ้าเป็นเฮ่ออันผู้ประสบความสำเร็จมาแล้ว ก็ยิ่งต้องมีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง
ไป๋เยี่ยลงเครื่องและนั่งแท็กซี่ต่อไปที่โรงแรม
พรุ่งนี้เขาจะต้องไปตรวจร่างกายก่อน ถึงแม้ว่าวันนี้ไป๋เยี่ยจะไม่มีเรื่องต้องทำ แต่เขาก็มีนัดกินข้าวกับรุ่นพี่เฉียวเสี่ยวหยางอยู่ดี
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เฉียวเสี่ยวหยางได้ช่วยส่งเคสต่างๆ มาให้ไป๋เยี่ย รวมถึงวีแชทของเหล่านักศึกษาใต้สังกัดของเฮ่ออัน เพื่อให้ไป๋เยี่ยได้ลองติดต่อและทำความรู้จักกับพวกเขามากขึ้น
ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ตอบรับคำขอเป็นเพื่อนจากไป๋เยี่ย ไป๋เยี่ยจึงต้องยอมแพ้ไป
พรุ่งนี้เขาแค่ต้องไปตรวจร่างกาย ยังไม่ต้องไปพบอาจารย์ แต่ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อม
โรงแรมที่ไป๋เยี่ยจองไว้เป็นโรงแรมราคาประหยัดซึ่งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนไห่ซื่อ เขาโทรนัดเฉียวเสี่ยวหยางให้ออกมาเจอกันที่หน้าประตูมหาวิทยาลัยตอนห้าโมงเย็น
เฉียวเสี่ยวหยางไม่ใช่คนตัวใหญ่เลย เขาสูงแค่ราวๆ หนึ่งร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตรเท่านั้น เป็นชายหนุ่มรูปร่างค่อนไปทางผอม เขาสวมแว่นตากรอบดำและชุดลำลอง
ไป๋เยี่ยตะโกนทัก “สวัสดีครับรุ่นพี่!”
แค่ความช่วยเหลือที่เขาหยิบยื่นให้ไป๋เยี่ยก็ควรค่าแก่การถูกเรียกว่ารุ่นพี่แล้ว
“ฮ่าๆ นายต้องใช่ไป๋เยี่ยแน่ๆ หล่อมากนะเนี่ย! ถ้าฉันเป็นที่ปรึกษาฉันจะรับนายแน่นอน ไปเถอะ เดี๋ยวพาไปกินข้าว แล้วค่อยกลับไปคุยกันที่โรงแรม”
พวกเขามาที่ร้านอาหารเล็กๆ ใกล้ๆ มหาวิทยาลัย เดิมทีไป๋เยี่ยว่าจะเลี้ยงค่าอาหาร แต่เฉียวเสี่ยวหยางกลับชิงจ่ายเงินเสียก่อน
“ในฐานะรุ่นพี่ ฉันก็ต้องต้อนรับนาย ถ้านายเป็นคนจ่ายฉันก็ขายหน้าสิ!”
ช่างเป็นรุ่นพี่ที่กระตือรือร้นเหลือเกิน ไป๋เยี่ยจึงได้แต่ยิ้มและยอมรับน้ำใจของอีกฝ่ายไว้แต่โดยดี
เมื่อทั้งคู่กลับไปถึงโรงแรม ไป๋เยี่ยก็ยื่นของขวัญให้กับเฉียวเสี่ยวหยางด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณนะครับรุ่นพี่ นี่เป็นอาหารสุดพิเศษจากบ้านเกิดผม”
เฉียวเสี่ยวหยางมองพร้อมกับยิ้มตอบไป๋เยี่ย “ลูกชิ้นเนื้อ ฮ่าๆ สุดยอดไปเลย ฉันชอบมาก ถ้างั้นไม่เกรงใจแล้วนะ”
เฉียวเสี่ยวหยางนั่งลงแล้วจึงเอ่ยปากถามทันที “เสี่ยวเยี่ย นายจะสมัครกับเฮ่ออันจริงๆ เหรอ”
ไป๋เยี่ยส่ายหัวพลางฝืนยิ้มใส่ “ตอนนั้นผมคิดว่าเขามีชื่อเสียงเลยสมัครไปน่ะ”
เฉียวเสี่ยวหยางถอนหายใจ “จะว่าไงดี คือว่าเขาเป็นพวกแปลกน่ะ! คนที่บอกว่าเขาดีก็ว่าดีมาก แต่คนที่บอกว่าเขาไม่ดีก็จะเกลียดเขาไปเลย ถึงจะเป็นนักศึกษาในสังกัดของเขาน่ะนะ แต่บางทีพวกเขาก็แตกต่างกันเกินไป”
ไป๋เยี่ยยิ่งไม่เข้าใจหนักกว่าเดิม จึงตั้งใจฟังเฉียวเสี่ยวหยางต่อไป
“แล้วก็ ฉันแอบไปสืบมาน่ะ ปีนี้มีคนไปสมัครกับเขาหกคน สามคนเป็นนักศึกษาของมหา’ลัยเราอยู่แล้ว ส่วนอีกสามคน คนหนึ่งมาจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนปักกิ่ง อีกคนมาจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนกวางโจว แล้วก็มีนาย”
“ปีก่อนฉันสอบได้สามร้อยเก้าสิบคะแนน ตอนแรกก็คิดว่าตัวเองได้เยอะแล้วนะ แต่พอมาที่นี่ก็ดันสอบรอบสองไม่ผ่านซะงั้น ถ้าไม่ใช่เพราะอาจารย์เห็นค่าในตัวฉัน ฉันก็คงต้องเก็บกระเป๋ากลับบ้านแล้วละ”
“ที่ปรึกษาบางคนก็ให้ความสำคัญกับชื่อมหาวิทยาลัยที่เรียนจบป.ตรีมาก จึงชอบรับนักศึกษาจากมหา’ลัยของตนเองมากกว่า เพราะนักศึกษาหลายคนก็ติดตามพวกเขาไปขึ้นวอร์ด เข้าแล็บจนคุ้นเคยกันตั้งแต่ตอนฝึกงานที่โรงพยาบาลแล้ว ทีกับนักศึกษาป.โท รับใครไม่รับ ถ้าเป็นคนเกรดดี ฝีมือไม่แย่ล่ะก็เรื่องอะไรจะไม่รับ!”
เฉียวเสี่ยวหยางถอนหายใจ “ตอนที่ฉันสมัครสอบเมื่อปีที่แล้ว ตอนแรกฉันได้ที่หนึ่งของสาขา แต่พอรอบสองฉันกลับได้คะแนนปานกลาง ฉันยังไม่เคยได้ฟังคำถามสัมภาษณ์เลย ลองคิดดูสิว่าเด็กป.ตรีจะเขียนบทความได้สักกี่บท ไหนจะเคยเข้าร่วมโครงการต่างๆ นานาอีก ลองคิดดูสิว่าพวกเรามีอะไรบ้าง”
“ที่นี่มีระเบียบมาก ตอนไปฝึกงานในโรงพยาบาลก็ต้องทำหลายอย่างให้เป็น เช่น เจาะทรวงอก เจาะช่องท้อง ตอนที่เรียนมหา’ลัยก็แค่เคยได้ยินผ่านๆ เท่านั้นแหละ ไม่เคยเห็นของจริงหรอก แต่พอมาสอบรอบสองฉันกลับต้องมาเจาะทรวงอกกับหุ่นจำลองซะงั้น ตอนนั้นฉันช็อกไปเลย!”
“เฮ้อ! มันต่างกันเกินไป เนี่ยแหละความแตกต่างระหว่างมหา‘ลัยทั่วไปกับมหา’ลัยดีๆ…”
เฉียวเสี่ยวหยางพูดต่อ “ฉันคิดว่านายน่าจะใช้เวลาสองวันระหว่างการสอบรอบสองนี้ไปหาที่ปรึกษาคนอื่นนะ ฉันว่าอย่าไปสมัครกับเฮ่ออันเลย คะแนนนายก็สูงใช่ย่อย อย่าเสียดายไป…”
แม้ว่าสิ่งที่เฉียวเสี่ยวหยางพูดจะตรงไปตรงมาและไม่น่าฟังสักเท่าไหร่ แต่ไป๋เยี่ยก็คิดว่ามันคือความจริง การสอบเข้าปริญญาโทนั้นมีหลายอย่างที่ต้องพิจารณาให้ดี
——