ตอนที่ 110 โรงพยาบาลผู่เจ๋อ
ไป๋เยี่ยเปิดหน้าเว็บไซต์ทางการของโรงพยาบาลผู่เจ๋อเพื่อเช็กข่าว
สิ่งแรกที่สะดุดตาเขาคือแบนเนอร์สีแดงขนาดใหญ่ ‘โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนผสมผสานแพทย์แผนปัจจุบัน—โรงพยาบาลผู่เจ๋อ!’
โรงพยาบาลผู่เจ๋อไม่ได้พัฒนามานานหลายปี เนื่องจากความล้าหลังของวิทยาการการแพทย์สมัยใหม่และการสูญเสียบุคลากรจำนวนหนึ่ง ทำให้ศักยภาพของโรงพยาลเสื่อมถอยลงไปด้วย
ถ้าไม่ใช่เพราะความพากเพียรของเหล่าบุคลากรอาวุโส โรงพยาบาลผู่เจ๋ออาจจะถูกลดระดับเป็นโรงพยาบาลทั่วไปก็เป็นได้!
ทว่าตอนนี้ทุกอย่างกำลังเปลี่ยนแปลงไป ผู่เจ๋อได้ดึงดูดบรรดาบุคลากรชั้นนำและผู้เชี่ยวชาญด้านงานวิจัยจากในประเทศและต่างประเทศเข้ามาจำนวนมาก เพื่อที่จะมุ่งเน้นไปที่การวิจัยทางวิทยาศาสตร์และการปฏิบัติงานในวอร์ด
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ไป๋เยี่ยจึงลองกดเข้าไปอ่านบ้าง เขาพบว่าหลังจากที่มีการปรับโครงสร้างใหม่แล้ว โรงพยาบาลผู่เจ๋อเองก็กำลังเริ่มรับสมัครบุคลากรเข้ามาด้วยเช่นกัน
เพื่อป้องกันการสูญเสียบุคลากร โรงพยาบาลผู่เจ๋อจึงจัดการฝึกอบรบนักศึกษาระดับปริญญาโทจนถึงระดับโพสต์ด็อกขึ้น อีกทั้งยังรับสมัครบุคลากรเข้ามาทำการฝึกสอนด้วย
ทว่าแค่นี้ยังไม่ทำให้ไป๋เยี่ยรู้สึกสนใจได้ สิ่งสำคัญคือข้อสุดท้ายต่างหาก
บัณฑิตที่มีความโดดเด่นจะได้รับการประเมินและให้คะแนนตามระบบที่กำหนดไว้ โดยผู้ที่ได้คะแนนสูงสุดจะได้รับสิทธิ์เข้ามาทำงานในโรงพยาบาลก่อน
หัวใจของไป๋เยี่ยเต้นโครมคราม นี่เป็นโอกาสที่หายากมาก!
แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่นักศึกษาปริญญาโทจะได้เข้าไปทำงานในโรงพยาบาลประเภทนี้ เพราะว่ายังมีนักศึกษาปริญญาเอกอีกมากมายที่ต้องการเข้าไปทำงานเช่นกัน!
ทว่าเมื่อไป๋เยี่ยลองเปิดหน้าการศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรี เขาก็ต้องนิ่งไปเมื่อตรงหน้าของเขามีแต่ความว่างเปล่า…
มีเพียงประโยคเดียวเขียนอยู่บนนั้นว่า ‘คอยติดตาม‘
หรือว่าปีนี้จะยังไม่รับสมัครหว่า แต่ก็แปะไว้ชัดเลยนี่นา!
ไป๋เยี่ยถอนหายใจ ลืมๆ มันไปแล้วกลับมาเตรียมตัวสอบดีกว่า อย่าเพิ่งวู่วามเลย…
เช้าวันรุ่งขึ้น ไป๋เยี่ยถือเอกสารที่ต้องใช้ทั้งหมดไปที่ห้องสอบด้วย
ห้องสอบเป็นห้องเรียนขนาดใหญ่ที่จุคนได้ราวๆ สี่ร้อยคน ซึ่งเป็นห้องที่มักจะใช้บรรยายเป็นส่วนใหญ่ ภายในห้องมีอาจารย์คุมสอบยืนรออยู่สิบกว่าคนได้
แสงไฟเล็กๆ จากกล้องวงจรปิดกะพริบอยู่ตลอดเวลา แสดงให้เห็นว่าทางมหาวิทยาลัยให้ความสำคัญกับการสอบครั้งนี้มากเพียงใด
เริ่มทำข้อสอบเวลาเก้าโมงตรง
ไป๋เยี่ยเปิดกระดาษคำถามและพบว่าข้อสอบเป็นปรนัยจำนวนหนึ่งร้อยคะแนน นอกนั้นก็เป็นส่วนอธิบายคำศัพท์ ตอบคำถามสั้นๆ และอัตนัย
เหมือนกับที่ในฟอรัมมหาวิทยาลัยบอกไว้ ข้อสอบกว้างมาก และมีส่วนน้อยที่เหมือนกับข้อสอบของปีก่อน
ไป๋เยี่ยหยิบปากกาขึ้นมาเริ่มทำข้อสอบทันที…
ช่วงนี้ไป๋เยี่ยใช้เวลาไปกับการทำข้อสอบเก่าและแบบฝึกหัดย้อนหลังจากหลายๆ ปี
อีกอย่างเลเวลวิชาทฤษฎีพื้นฐานการแพทย์แผนจีนของไป๋เยี่ยยังสูงกว่าวิชาอื่นๆ อีกด้วย การที่เขาคว้าอันดับที่หนึ่งจากทั้งประเทศจากการเข้าร่วมการแข่งขันความรู้ด้านการแพทย์แผนจีนได้นั้นไม่ใช่เรื่องล้อเล่นเลย
ส่วนการแพทย์แผนปัจจุบันก็ไม่ใช่เรื่องยาก บางทีคำถามยากๆ ไม่กี่ข้อ เขาก็ใช้เวลาคิดแค่แป๊บเดียว
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป ในที่สุดไป๋เยี่ยก็ทำข้อสอบปรนัยเสร็จแล้ว
ส่วนอธิบายคำศัพท์และตอบคำถามจะถามคำถามละประเด็น ซึ่งเน้นการทดสอบประเด็นสำคัญๆ ที่เป็นจุดเน้นของการสอบครั้งก่อนๆ
แต่ไป๋เยี่ยก็ผ่านมันไปได้อย่างสบายๆ จนกระทั่งเขาเปิดมาถึงหน้าสุดท้ายก็ต้องตะลึงเมื่อเห็นว่ามีคำถามเพียงคำถามเดียว!
‘อภิปรายความคิดเห็นของคุณเกี่ยวกับทิศทางของการบูรณาการการแพทย์แผนจีนเข้ากับการแพทย์แผนปัจจุบันพร้อมยกตัวอย่าง ห้าสิบคะแนน”
คำถามตั้งห้าสิบคะแนน!
ดูหน้าว่างนั่นสิ เริ่มเขียนเลยดีกว่า!
ไป๋เยี่ยไม่กลัวคำถามนี้เลย เพราะว่าเขาก็ถนัดเรื่องการบูรณาการอยู่แล้ว
ไป๋เยี่ยอธิบายด้วยคำศัพท์ง่ายๆ และค่อยๆ เขียนออกมาตามความคิดและความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับการบูรณาการการแพทย์แผนจีนและแผนปัจจุบัน
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง ไป๋เยี่ยก็ทำข้อสอบเสร็จแล้ว
ข้อสอบข้อเขียนส่งก่อนเวลาได้ ในทางกลับกัน ทุกคนมักจะรีบส่งข้อสอบและออกจากห้องสอบทันที
ระหว่างที่ไป๋เยี่ยกำลังตรวจคำตอบอยู่นั้น คนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยออกจากห้องสอบกันไปบ้างแล้ว ไป๋เยี่ยจึงตัดสินใจลุกขึ้น
ช่วงบ่ายเป็นการสอบปฏิบัติโดยสถานที่สอบคือโรงพยาบาลที่อยู่ในเครือซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยนัก
ไป๋เยี่ยไม่ได้กังวลเรื่องการสอบปฏิบัติแต่อย่างใด เพราะว่าเขาเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว ถ้าขนาดเขายังกังวล คนอื่นก็คงไม่ต้องสอบกันแล้วละ
การสอบจะเริ่มขึ้นตอนบ่ายสามโมง ซึ่งไป๋เยี่ยก็มาถึงโรงพยาบาลตั้งแต่บ่ายสองโมงแล้ว เขาเดินสำรวจรอบๆ โรงพยาบาลก่อนจะมาที่จุดนัดพบ
ผู้สมัครจะถูกแบ่งเป็นกลุ่มๆ ตามสาขาวิชาที่ได้สมัครไว้
ไป๋เย่อยู่ในกลุ่ม A1 เมื่อมาถึงจุดนัดพบ อาจารย์คุมสอบต่างก็พร้อมกันแล้ว หัวหน้าอาจารย์ก็อ่านกฎการเข้าสอบ
“การสอบช่วงบ่ายแบ่งออกเป็นสองส่วนหลักๆ ส่วนแรกคือการผ่าตัด และส่วนที่สองคือการเขียนเวชระเบียน”
“เริ่มจากการจับฉลาก บนฉลากจะมีข้อมูลให้ ชิ้นที่หนึ่งคือข้อมูลผู้ป่วย และอีกชิ้นคือข้อมูลการรักษา”
“ทุกคนจะต้องไปตามแผนกที่จับได้ จะมีผู้ป่วยรอคุณอยู่แล้ว เมื่อไปถึงให้ซักประวัติคนไข้ให้ละเอียดจากนั้นก็ตรวจร่างกายทั่วไป นี่คือสิ่งที่ทุกคนต้องทำ เพราะว่าข้อมูลที่คุณได้รับจากการซักประวัติก็คือสิ่งที่คุณต้องเขียนลงไปในเวชระเบียน ดังนั้นทุกคนจะต้องตั้งใจทำอย่างรอบคอบ!”
“นอกจากนี้ยังมีขั้นตอนการรักษาเขียนไว้บนฉลากด้วย หลังจากจับฉลากแล้วทุกคนจะต้องไปรักษาผู้ป่วย เมื่อการรักษาเสร็จสิ้นแล้วก็ให้ซักถามผู้ป่วยอีกครั้งหนึ่ง”
“เอาละ! ได้เวลาเตรียมตัวสำหรับการสอบแล้ว ขึ้นมาจับฉลากตามหมายเลขผู้สมัครสอบ”
หมายเลขของไป๋เยี่ยอยู่อันดับแรก เขาจึงต้องเป็นคนแรกที่ขึ้นไปจับฉลาก
ทันทีที่เขาเดินขึ้นไปก็มีเสียงซุบซิบดังมาจากคนอื่นๆ
“นี่น่ะเหรอไป๋เยี่ย!”
“อืม คนที่สอบได้สี่ร้อยหกสิบเอ็ดคะแนนไง โคตรเก่ง!”
ไป๋เยี่ยจับฉลากขึ้นมาใบหนึ่ง เขาเหลือบมองมันเล็กน้อยก่อนจะส่งให้อาจารย์ที่ยืนอยู่ข้างๆ
‘เคสผู้ป่วย: ทำซีพีอาร์ ข้อมูลผู้ป่วย: ผู้ป่วยเตียงที่สามสิบหก แผนกโรคประสาทและสมอง’
ทำซีพีอาร์เหรอ
ไป๋เยี่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก ก็ยังดีละนะ!
ถ้าเทียบกับการเจาะร่างกายแล้ว ทำซีพีอาร์ง่ายกว่าเยอะ!
อาจารย์ยื่นแบบฟอร์มให้ไป๋เยี่ยกรอกข้อมูลบนฉลากลงไปก่อนจะเอ่ยขึ้น “ขั้นตอนแรกให้ไปที่ศูนย์ฝึกอบรมเพื่อทำการรักษาผู้ป่วย จากนั้นก็ให้ไปเขียนเวชระเบียนที่แผนกโรคประสาทและสมอง”
ไป๋เยี่ยกล่าวขอบคุณพร้อมกับถือแบบฟอร์มไปที่ศูนย์ฝึก
ห้องฝึกอบรมแบ่งออกเป็นหลายห้อง แต่ละห้องจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำที่หน้าประตู หลังจากที่ยื่นแบบฟอร์มให้เจ้าหน้าที่แล้ว ก็จะมีคนพาไป๋เยี่ยไปที่ศูนย์
ไป๋เยี่ยเคาะประตูก่อนจะเดินเข้าไปด้านในและได้พบกับชายวัยกลางคนสองคนนั่งอยู่ในห้อง พวกเขาเงยหน้าขึ้นทันทีที่เห็นไป๋เยี่ยเดินเข้ามา
ไป๋เยี่ยแนะนำตนเองสั้นๆ ก่อนที่อีกฝ่ายจะขอแบบฟอร์มจากไป๋เยี่ยแล้วจึงให้เริ่มดำเนินการรักษาได้
“สมมติว่าคุณเห็นชายคนหนึ่งเป็นลมล้มอยู่บนพื้นห้างสรรพสินค้าและต้องทำซีพีอาร์โดยทันที เริ่มการรักษาได้ครับ!”