ตอนที่ 112 สอบสัมภาษณ์
เฮ่ออัน เป็นที่ปรึกษาระดับปริญญาเอก ศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนไห่ซื่อและหัวหน้าแพทย์ เป็นบุคลากรทางการแพทย์แผนจีนแนวหน้าแห่งชาติ ทั้งยังเป็นแพทย์ชื่อดังประจำมณฑล ผู้นำทางวิชาการของโครงการสำคัญของมณฑล และได้รับเลือกให้อยู่ในโครงการพัฒนาบุคลากรแห่งชาติด้วย
ไม่ว่าจะตำแหน่งไหนก็ดูน่าเกรงขาม ทำเอาไป๋เยี่ยอดประหม่าไม่ได้
นี่เป็นการสอบสัมภาษณ์ครั้งแรกในชีวิต ไป๋เยี่ยจึงรู้สึกกังวลและไม่สบายใจเล็กน้อย ต่อให้เขาจะเก่งแค่ไหนก็ตาม
เขายกแขนขึ้นดูเวลา ตอนนี้เป็นเวลาเก้าโมงสิบนาทีแล้ว ทุกคนจะมีเวลาสอบประมาณสิบนาที ซึ่งคิวก่อนหน้าเขาก็น่าจะใกล้ออกมาแล้ว
“ต่อไป ไป๋เยี่ย!”
ไป๋เยี่ยเงยหน้าขึ้น ถึงคิวของเขาแล้ว เขาสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเดินไปด้านหน้า!
ทันทีที่เขาเปิดประตูและเข้าไป เขาก็เห็นอาจารย์คุมสอบนั่งอยู่ในห้องทั้งหมดห้าคน
ไป๋เยี่ยโค้งคำนับก่อนจะเอ่ยปากขึ้น “สวัสดีครับอาจารย์”
ผู้คุมสอบคือ จ้าวลี่ซู ผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนไห่ซื่อ
“นั่งลงได้!”
ไป๋เยี่ยนั่งตัวตรง อาจารย์ทุกคนต่างถือประวัติคร่าวๆ ของไป๋เยี่ยไว้ในมือ
จ้าวลี่ซูมองไป๋เยี่ยพร้อมยิ้มให้ “คุณเก่งอยู่แล้ว ไม่ต้องกังวลหรอก”
ไป๋เยี่ยยิ้มโดยไม่ได้กล่าวอะไร
จ้าวลี่ซูวางเอกสารในมือของเขาลงแล้วจึงมองไป๋เยี่ย “คุณได้สี่ร้อยหกสิบเอ็ดคะแนนในการสอบครั้งแรก ได้คะแนนวิชาแพทย์แผนจีนสามร้อยคะแนน ภาษาอังกฤษหนึ่งร้อยคะแนน และรัฐศาสตร์หกสิบเอ็ดคะแนน ตอนที่ฝ่ายกิจการนักศึกษาป.โทบอกผมว่ามีคนแบบคุณอยู่จริงๆ ผมรู้สึกประหลาดใจมาก ขอถามหน่อยได้ไหมว่าคุณทำได้ยังไง เห็นว่าเกรดคุณตอนเรียนมหา’ลัยก็อยู่แค่ระดับปานกลางค่อนไปทางสูง”
อันที่จริงสาเหตุที่ไป๋เยี่ยได้รับทุนมากมายระหว่างที่เรียนมหาวิทยาลัยนั้นเป็นเพราะมีเกรดวิชาแพทย์แผนปัจจุบันพยุงไว้ ส่วนเกรดวิชาแพทย์แผนจีนของเขาอยู่ในระดับกลางๆ
แต่ว่า…จะตอบคำถามนี้อย่างไรดี
“ตอนผมเรียนมหาวิทยาลัย ผมรู้ตัวว่าผมคงเรียนแพทย์แผนจีนไม่ได้แน่ๆ เลยได้แต่ท่องจำอย่างเดียว แต่ระหว่างฝึกงานตอนปีห้าผมได้ศึกษาและฝึกฝนทักษะภาคปฏิบัติที่โรงพยาบาลแพทย์แผนจีนประจำมณฑลน่ะครับ มันเลยสะสมมาเรื่อยๆ พอลองไปเรียน หรืออ่านหนังสือก็เข้าใจได้ง่ายขึ้น…” ไป๋เยี่ยตอบอย่างมีเหตุผล
จ้าวลี่ซูพยักหน้า อาจารย์คุมสอบที่นั่งอยู่ด้านซ้ายสุดเป็นฝ่ายเริ่มถามก่อน “ทำไมคุณถึงเลือกสาขาโรคสมอง”
ไป๋เยี่ยเตรียมคำตอบสำหรับคำถามนี้ไว้แล้ว “ก่อนอื่นเลย อาจเป็นเพราะเหตุผลส่วนตัวของผมครับ ผมมีความสงสัยในสิ่งมหัศจรรย์นี้มาตั้งแต่เด็กแล้วครับ…พอได้ไปที่โรงพยาบาลก็ได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่าโรคทางระบบประสาท…แล้วก็รู้สึกสนใจในการแพทย์แผนจีน…”
ไป๋เยี่ยต้องตอบคำถามนี้จากมุมมองของตนเอง เพราะถ้าตอบไปว่าโรคสมองเป็นโรคร้ายแรง การแพทย์แผนจีนมีประโยชน์ หรือเรียนต่อสาขาโรคสมองดีกว่า…ฯลฯ ทั้งหมดนั้นเป็นคำตอบที่ไม่ดีเลย!
เพราะมีความเป็นไปได้สูงที่คนที่ถามคำถามนี้จะเป็นแพทย์จากแผนกอื่นๆ ถ้าหากตอบทำนองเชิดชูว่าโรคสมองเป็นโรคร้ายแรง อีกฝ่ายก็จะคิดว่าคุณกำลังลดความสำคัญของแผนกตนเอง
อาจารย์คุมสอบพยักหน้า คนที่สองทางซ้ายมือคือเฮ่ออัน เขาดำรงอยู่บนจุดสูงสุดของวีชาชีพในวัยห้าสิบกว่าปี รูปลักษณ์ภายนอกของเขาเหมือนกับคนจากภูมิภาคทางใต้ทั่วๆ ไป เขาสวมแว่นตากรอบทองและหวีผมเสยไปด้านหลัง ดูภูมิฐานสุดๆ!
เฮ่ออันมองไป๋เยี่ยด้วยสายตานิ่งเรียบ
เขามองไป๋เยี่ยราวกับว่ากำลังพินิจพิเคราะห์บางอย่างอยู่ก่อนที่จะพูดขึ้นมาในทันใด “เหตุใดทางการแพทย์จีนถึงไม่จัดสมองไว้เป็นหนึ่งในอวัยวะ เพราะว่ามันไม่สำคัญหรือไม่”
ไป๋เยี่ยชะงัก “ทางการแพทย์แผนจีนจัดให้สมองเป็นหนึ่งในอวัยวะกลวงพิเศษทั้งหก ไม่ใช่เพราะมันไม่สำคัญ
แต่เป็นเพราะลักษณะของอวัยวะตันทั้งห้าล้วนเป็นอวัยวะที่สำคัญและมีหน้าที่ในการเผาผลาญและกักเก็บสสารต่างๆ โดยต้องมีลักษณะคือแน่นแต่ไม่แข็ง กักเก็บสสารต่างๆ ไม่ให้รั่วไหลได้ ส่วนอวัยวะกลวงทั้งหกต้องมีลักษณะกลวง ดูดซึมและส่งสารอาหารไปยังส่วนต่างๆ ได้ ซึ่งสมองนั้นมีลักษณะคล้ายกับอวัยวะกลวง แต่ทำหน้าที่คล้ายอวัยวะตัน นั่นคือกักเก็บสารแต่ไม่ปล่อยสารออกไป จึงถูกเรียกว่าอวัยวะกลวงพิเศษครับ”
“นอกจากนี้สมองยังถูกเรียกว่า ‘ทะเลแห่งไขกระดูก’ ด้วย เพราะว่ามันคือแหล่งรวมของสสารและเส้นประสาท ถือเป็นแหล่งพลังงาน ซึ่งอวัยวะต่างๆ ก็ถูกควบคุมโดยสมองเช่นกัน…”
เฮ่ออันรู้สึกประหลาดใจกับคำตอบของไป๋เยี่ยมาก เขาตอบได้มีเหตุผล เน้นใจความสำคัญโดยใช้ทฤษฎีทางการแพทย์แผนจีนมาอธิบาย
จ้าวลี่ซูถามไป๋เยี่ยด้วยรอยยิ้ม “คุณคิดว่าคุณชำนาญด้านไหน แล้วมีแผนเรียนปริญญาโทอย่างไรบ้าง ผมอยากลองฟังความคิดของคุณที่มาจากความรู้สึกของคุณจริงๆ”
ไป๋เยี่ยรู้สึกยินดีมาก จ้าวลี่ซูเป็นถึงผู้อำนวยการมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนไห่ซื่อ ซึ่งนั่นหมายความว่า…
คิดได้ดังนั้น ไป๋เยี่ยก็แทบหุบยิ้มไม่ลง “ผมอยากลองไปฝึกทำงานในวอร์ดครับ พอเจอปัญหาอะไรก็ค่อยแก้ไข…”
ส่วนคำถามอื่นๆ ก็ไม่มีปัญหาอะไร อาจารย์คุมสอบคนที่สี่ทดสอบการตอบคำถามเป็นภาษาอังกฤษ ซึ่งไป๋เยี่ยก็ตอบได้อย่างคล่องแคล่ว อาจารย์คุมสอบคนที่ห้าก็ถามคำถามเกี่ยวกับการปฏิบัติงานในวอร์ดกับไป๋เยี่ย ทำเอาไป๋เยี่ยไปไม่เป็นเลยทีเดียว
นี่คือข้อเสียของไป๋เยี่ย เขาไม่ได้ใช้เวลาฝึกงานในวอร์ดนานขนาดนั้น เขาไม่รู้ว่าควรตอบคำถามจากอีกฝ่ายอย่างไรเขาใช้ชีวิตในคลินิกได้ไม่ดีนักเพราะเขาไม่ได้ไปโรงพยาบาลบ่อย
แต่นี่ก็ถือเป็นเรื่องปกติ การสอบสัมภาษณ์ไม่ได้คาดหวังให้คุณตอบได้ทุกอย่าง ต้องมีคำถามที่ยากปนอยู่บ้าง
จู่ๆ เฮ่ออันก็ถามขึ้น “แล้วถ้าเกรดของคุณไม่ดีพอที่จะไปเรียนปริญญาโทสายวีชาชีพ คุณจะยอมย้ายไปเรียนปริญญาโทสายวิชาการไหม”
ไป๋เยี่ยชะงัก เขาไม่คิดว่าเฮ่ออันจะยิงคำถามนี้กับเขา
ปริญญาโททางวิชาชีพเน้นการนำไปใช้ทางวิชาชีพ ส่วนปริญญาโททางวิชาการจะเน้นการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
โดยปกติแล้วการเรียนปริญญาโทสายวิชาชีพนั้นจะค่อนข้างดีกว่า แต่แพทยศาสตร์เป็นหนึ่งในสาขาที่มีความพิเศษ หากต้องการทำวิจัยในอนาคต การเรียนปริญญาโทสายวิชาการจะดีกว่าการเรียนปริญญาโทสายวิชาชีพ
แต่ถ้าคุณต้องการเน้นการปฏิบัติงานในวอร์ด ปริญญาโทสายวิชาชีพจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด!
นักศึกษาปริญญาโทสายวิชาชีพจะได้เข้าไปทำงานในวอร์ดบ่อยกว่านักศึกษาปริญญาตรี เมื่อเรียนจบก็จะได้ใบรับรองทั้งหมดสี่ใบ ได้แก่ ใบรับรองการศึกษา ใบรับรองปริญญา ใบรับรองการฝึกงาน และใบรับรองวุฒิแพทย์ฝึกหัด
ตามกฎแล้วถ้าไม่มีใบรับรองวุฒิแพทย์ฝึกหัด แต่ต้องการจะเข้าฝึกงานในวอร์ด จะต้องเข้ารับการอบรมแพทย์ฝึกหัดเป็นเวลาสามปี
มันจะเป็นสามปีที่เสียไปโดยสูญเปล่า!
ไป๋เยี่ยไม่คิดเลยว่าเฮ่ออันจะถามคำถามนี้
จะยอมไหม
แน่นอนว่าไม่!
ไม่ใช่ว่าไป๋เยี่ยไม่อยากทำงานวิจัยทาววิทยาศาสตร์ แต่อยากจะนำวิทยาศาสตร์มาแก้ไขปัญหาทางการแพทย์มากกว่า!
ยิ่งไปกว่านั้น ไป๋เยี่ยคงไม่อยากเสียเวลาสามปีไปกับการเข้ารับการอบรบแพทย์ฝึกหัด
ไป๋เยี่ยตั้งสติรวบรวมความคิดของตนเองก่อนจะตอบออกไป “ผมขอโทษนะครับ แต่ผมคงจะทำแบบนั้นไม่ได้ ผมอยากเรียนปริญญาโทสายวิชาชีพ และที่สำคัญกว่านั้น ผมอยากจะทำงานในวอร์ดครับ”
จ้าวลี่ซูได้แต่ยิ้มโดยไม่พูดอะไรต่อ ในขณะที่เฮ่ออันขมวดคิ้วแน่น ไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่
สถานการณ์ตรงหน้าช่างน่าอึดอัดจริงๆ…
จ้าวลี่ซูยิ้ม “เอาละ ไป๋เยี่ย การสอบสัมภาษณ์จบลงแล้ว คุณทำได้ดีมาก!”
ไป๋เยี่ยยืนขึ้น โค้งคำนับให้ทุกคนแล้วจึงเดินออกไป