ตอนที่ 115 สมัครได้แล้ว
เย็นวันนั้น ไป๋เยี่ยจัดการจองตั๋วเครื่องบินไปที่เมืองหลวงในวันรุ่งขึ้นทันที
เช้าวันต่อมา ไป๋เยี่ยเก็บสัมภาระ เช็กเอาท์เรียบร้อยแล้วก็เตรียมจะออกเดินทางโดยทิ้งข้อความขอบคุณเฉียวเสี่ยวหยางไว้ด้วย
อีกฝ่ายน่าจะไม่ว่างจึงไม่ตอบเขา
ไป๋เยี่ยนั่งมองเมืองไห่ซื่ออันรุ่งเรืองมั่งคั่งจากหน้าต่างเครื่องบิน เขาถอนหายใจ เขามาไวไปไวจริงๆ…
บางทีอนาคตของเขาก็อาจจะไม่ใช่ที่นี่อีกต่อไป
ไป๋เยี่ยมาถึงเมืองหลวงประมาณบ่ายสามโมง ซึ่งเดซี่ก็มารอรับเขาแล้ว
เดซี่กลายเป็นจุดดึงดูดสายตาของคนอื่นๆ ไป๋เยี่ยรู้สึกภูมิใจมากที่สาวสวยอย่างเธอมารอรับเขาที่สนามบิน!
ทันทีที่เดซี่เห็นไป๋เยี่ย เธอก็โผเข้ากอดเขาด้วยความดีใจ ทำเอาไป๋เยี่ยแทบจะหัวระเบิด!
ท่ามกลางสายตาแห่งความริษยาของผู้คนรอบข้าง ไป๋เยี่ยดูเหมือนแม่ทัพที่เพิ่งได้รับชัยชนะจากสงครามมา…
ไป๋เยี่ยไม่ได้เข้าพักที่โรงแรม แต่มาพักที่ฐานทดลองของถูโยวทันที ตั้งแต่ไป๋เยี่ยจากที่นี่ไป ห้องนั้นก็ยังคงว่างอยู่เสมอ ทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง ไป๋เยี่ยก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศอันคุ้นเคยราวกับอยู่บ้าน
ถูโยวกลับมาถึงฐานทดลองประมาณหกโมงเย็น จากนั้นจึงพาไป๋เยี่ยไปพบจางเสวียเวิ่น
จางเสวียเวิ่นเป็นอาจารย์ของไป๋เยี่ยตามที่ได้ลงนามในใบฝากตัวเป็นศิษย์ เมื่อรู้ว่าไป๋เยี่ยกำลังจะไปสมัครเรียนปริญญาโทกับหลิวป๋อหลี่เขาก็เห็นด้วยอย่างยิ่ง
จางเสวียเวิ่นยกย่องหลิวป๋อหลี่มาก
หลิวป๋อหลี่มีอายุหกสิบแปดปี ถือเป็นปรมาจารย์ด้านการแพทย์แผนจีนที่อายุน้อยที่สุดในประเทศ!
ส่วนจางเสวียเวิ่นก็มีอายุแปดสิบปีแล้ว เขาเคยเป็นอาจารย์ของหลิวป๋อหลี่เมื่อสมัยที่ยังทำงานอยู่ในโรงพยาบาลตงจื๋อเหมิน แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่ได้เข้าพิธีฝากตัวเป็นศิษย์ แต่หลิวป๋อหลี่ก็ยังคงเรียกเขาว่าอาจารย์จางทุกครั้งที่พบกัน
จดหมายแนะนำของไป๋เยี่ยถูกเขียนขึ้นโดยสุดยอดปรมาจารย์ทั้งสองท่าน นั่นก็คือ ถูโยวและจางเสวียเวิ่น…
คุณค่าและน้ำหนักของจดหมายฉบับนี้…
คิดแล้วก็ขนลุกซู่!
จางเสวียเวิ่นนับถือหลิวป๋อหลี่มากจึงหันไปพูดกับไป๋เย่ว่า “ผอ.หลิวเป็นคนมีพรสวรรค์มาก ความรู้ของคุณยังคงตื้นเกินไป ผมคิดว่าถ้าหากคุณได้ไปเป็นนักศึกษาปริญญาโท หรือนักศึกษาแพทย์ในสังกัดของเขาคงจะเป็นการดีมาก เขาถือเป็นบุคคลสำคัญที่มีส่วนในการพัฒนายาจีนให้ทันสมัย”
“โชคดีที่ศาสตราจารย์ถูเตือนผมไว้ ไม่งั้นคงไม่ทันการแน่ๆ ในฐานะอาจารย์คนหนึ่ง…เฮ้อ ผมคงขาดความรับผิดชอบไปหน่อย”
ไป๋เยี่ยส่ายหน้าปฏิเสธทั้งรอยยิ้ม
ทั้งสามคนดื่มชาหลงจิ่งที่จางเสวียเวิ่นเป็นคนต้มเองกับมือ เวลาผ่านไปจนกระทั่งสองทุ่ม ถูโยวและไป๋เยี่ยก็ออกมาจากที่นั่น
สถานที่ตรวจสอบและยืนยันตัวตนคือศูนย์ประชุมแห่งโรงพยาบาลผู่เจ๋อ
ส่วนนี่คือขั้นตอนดำเนินการ!
ยืนยันและตรวจสอบข้อมูลส่วนบุคคล – ส่งเอกสารสนับสนุน (บทความ โครงการ ผลการเรียน ฯลฯ) – ตรวจสอบและประเมินคะแนนเสร็จสิ้นภายในสามวัน – ใช้เวลาตรวจสอบผลคะแนนหนึ่งสัปดาห์ – หากไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ก็จะประกาศผลทันที
ไป๋เยี่ยส่งเอกสารทั้งหมดของเขารวมถึงสำเนาต่างๆ ให้เดซี่ผ่านทางอีเมล์ก่อนที่จะมาถึงเมืองหลวงแล้ว
ถูโยวได้ทำสำเนาแผนปฏิบัติงานของโครงการไว้ให้ไป๋เยี่ยตั้งแต่คืนนั้นที่เธอกลับมาแล้ว
ทุกอย่างพร้อมแล้ว
วันที่สาม ไป๋เยี่ยตื่นมาแต่งตัวให้เรียบร้อยตั้งแต่เช้า เขาเลือกสวมชุดเดียวกันกับตอนที่ไปเข้าร่วมการแข่งความรู้แพทย์แผนจีนรอบชิงชนะเลิศ ทำให้เขาดูทรงพลังมาก!
การยืนยันตัวตนในวันนี้จะดำเนินการโดยหลิวป๋อหลี่เอง เขาต้องการพบผู้สมัครทุกคนที่นั่น
ไป๋เยี่ยจึงเตรียมตัวให้พร้อมและมาถึงโรงพยาบาลผู่เจ๋อก่อนเวลา
หลังจากที่เขามาถึงศูนย์ประชุมตามคำแนะนำก็พบว่ามีคนต่อคิวอยู่สิบกว่าคนแล้ว
ไป๋เยี่ยถึงกับตะลึง มีคนเข้าร่วมเยอะขนาดนี้เชียวเหรอ
สถานการณ์ตรงหน้าค่อนข้างจริงจัง จึงมีใครส่งเสียงพูดคุยเลย พวกเขาเอาแต่ต่อคิวพลางคิดถึงเรื่องของตนเอง
แต่ท้ายที่สุดแล้ว…ก็จะมีเพียงนักศึกษาระดับปริญญาโทและเอกอย่างละคนเท่านั้นที่ได้รับคัดเลือกจากบรรดาผู้สมัคร
ทุกคนยืนรออยู่นอกประตู ทุกๆ ห้านาทีจะมีคนผลัดกันเดินเข้าออก
แต่ละคนที่เดินออกมาต่างมีสีหน้าไม่เหมือนกัน ทั้งสุข เศร้า ผิดหวัง
ผ่านไปราวๆ หนึ่งชั่วโมงก็ถึงตาของไป๋เยี่ยแล้ว
เขาจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อยและเดินเข้าไปด้านใน
ภาพตรงหน้าไม่ต่างจากการสอบสัมภาษณ์ที่ไห่ซื่อมากนัก เพียงแค่คนที่นั่งอยู่ตรงกลางคือหลิวป๋อหลี่
เขาเป็นชายชราผมหงอกขาวคนหนึ่ง รอบๆ เขารายล้อมไปด้วยเอกสารมากมาย
หลังจากที่ไป๋เยี่ยเข้าไปตรวจสอบเอกสารแล้วก็โค้งคำนับและกล่าวทักทายหลิวป๋อหลี่
หลิวป๋อหลี่พยักหน้าโดยไม่พูดอะไรพลางจ้องไปเยี่ยด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ไป๋เยี่ยใช้เวลาตรวจสอบเอกสารทั้งหมดห้านาทีอย่างเงียบๆ
เจ้าหน้าที่พูดขึ้น “เราจะตรวจสอบให้เสร็จสิ้นภายในสามวันนี้ โปรดติดตามผ่านเว็บไซต์ทางการของโรงพยาบาลผู่เจ๋อ ผลจะออกภายในสามวัน”
“ระยะเวลาในการประกาศผลคือหนึ่งสัปดาห์ ภายในหนึ่งสัปดาห์นี้ หากคุณมีข้อโต้แย้งใดๆ ก็สามารถยื่นคำร้องได้”
เจ้าหน้าที่พูดจบก็ปล่อยไป๋เยี่ยไป
การตรวจสอบจะเสร็จสิ้นภายในสามวันและประกาศผลภายในหกวัน! เหลือแค่รอผลสินะ
คราวนี้ไป๋เยี่ยมั่นใจว่าจะไม่มีปัญหาแน่นอน
เย็นวันนั้น ไป๋เยี่ยได้รับข้อความจากกลุ่มแชทของชั้นเรียน
[แจ้งเรื่องสิ้นสุดการฝึกงาน คืนพรุ่งนี้จะมีการประชุมที่ห้องบรรยายหมายเลขสี่ เวลาหนึ่งทุ่ม นักศึกษาทุกคนจะต้องเข้าร่วม]
ไป๋เยี่ยจึงนึกขึ้นได้ว่าช่วงฝึกงานกำลังจะสิ้นสุดลง!
ในเมื่อไม่มีธุระที่นี่แล้วก็รีบกลับไปดีกว่า เพราะหลังจากการฝึกงานจบลงแล้วก็ต้องส่งเอกสารบันทึกการฝึกงานต่างๆ ด้วย
ผลสอบจะออกภายในสามวัน หลังจากนั้นก็จะเป็นช่วงประกาศผลอย่างเป็นทางการ เพราะฉะนั้นตอนนี้คงทำได้แค่รอผลชิลล์ๆ ไปก่อน
ไป๋เยี่ยซื้อตั๋วรถไฟรอบเช้าวันรุ่งขึ้น ตกเย็นเขาจึงไปอำลาทุกคนและโทรบอกอาจารย์ถูอีกที
ไป๋เยี่ยกลับมาถึงมหาวิทยาลัยตอนสี่โมงกว่าของวันถัดมา เมื่อกลับมาถึงหอพักเขาก็พบว่าทุกคนอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา
ไป๋เยี่ยกล่าวทักทายทุกคนทั้งรอยยิ้ม
“อยู่กันครบเลยเหรอ”
ทุกคนอึ้ง…
“เยี่ยจื่อ กลับมาแล้วเหรอ ไม่ย้ายสายแล้วเหรอ” ต้วนเย่ว์ดูจะตกใจ เขากล่าวด้วยรอยยิ้มฝืนๆ
“ก็…ไม่หรอก ถ้าย้ายก็ต้องไปเรียนสายวิชาการ ฉันไม่ได้อยากจะเรียนซะหน่อย” ไป๋เยี่ยยิ้ม
ลู่เผยอี้กระแอม “เยี่ยจื่อ นายก็ลองหาอาจารย์ใหม่สิ น่าจะพอมีโอกาสอยู่นะ นายเก่งขนาดนี้เขายังกล้าปัดนายทิ้งอีกเหรอ…”
พ่างจื่อแค่นหัวเราะ “เยี่ยจื่อ เรื่องนี้ต้องมีลับลมคมในอะไรแน่ๆ! ฉันไม่เชื่อว่านายจะโดนเขี่ยทิ้งหรอกนะ!”
ไป๋เยี่ยแกล้งทุบพ่างจื่อ “จะตื่นตูมไปทำไม ไม่ใช่ว่านายอยากให้ฉันไปสอบอีกรอบเป็นเพื่อนนายหรือไง”
พ่างจื่อเริ่มโมโห “ใครจะไปสอบใหม่กัน ฉันจะสืบทอดธุรกิจของครอบครัวแล้ว เยี่ยจื่อ นายฟังฉันนะ กลับไปหาอาจารย์ใหม่ซะ นายต้องเจออาจารย์ดีๆ แน่นอน นายรอฉันแป๊บ ขอโทรหาแม่ก่อน ฉันจะขอให้แม่ช่วยหาอาจารย์ให้นายเอง แม่รู้จักคนเยอะจะตาย ไห่ซื่อไม่อยากได้นายก็ช่างสิ มีที่อื่นอีกตั้งเยอะแยะ ฉันไม่เชื่ออะไรทั้งนั้นละ…”
ไป๋เยี่ยได้แต่ยิ้ม “โอเคๆ ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก ฉันเปลี่ยนอาจารย์แล้ว ฉันเพิ่งไปสมัครเรียนกับผอ.หลิวจากโรงพยาบาลผู่เจ๋อที่อยู่ในเครือสถาบันแพทย์แผนจีนแห่งชาติน่ะ เขากำลังรับนักศึกษาพอดี ฉันลงทะเบียนเรียบร้อยหมดแล้ว แค่รอผลอีกสามวัน”
พ่างจื่อตะลึง “โรงพยาบาลผู่เจ๋อเหรอ หมายถึงโรงพยาบาลผู่เจ๋อที่เอาการแพทย์แผนจีนมารวมกับแผนปัจจุบันน่ะนะ แล้วผอ.หลิวคือใคร หลิวไหนเหรอ”