บทที่ 191-2 ข่าวชวนเขย่าขวัญคนทั้งโลก (2)
จางซูหลานมองไป๋เยี่ยด้วยความสงสัย “ทำไมคุณถึงคิดจะวิจัยเรื่องนี้ล่ะ”
ไป๋เยี่ยตอบ “มันเกี่ยวกับงานวิจัยยาตัวใหม่ก่อนหน้านี้น่ะครับ ตอนแรกผมตีพิมพ์มันลง ‘เซลล์’…”
หลังจากที่ไป๋เยี่ยเล่าเรื่องคาร์ลไป จางซูหลานก็เบิกตากว้าง
“คุณกำลังพูดถึงไมคัส ทรานส์ลีเหรอ”
ไป๋เยี่ยถึงกับตะลึง “อาจารย์จางก็รู้จักเขาเหรอครับ”
จางซูหลานถอนหายใจ “ไมคัสคือหนึ่งในบุคคลที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบล ถ้าเขาไม่ทำแบบนั้น เขาก็อาจจะเป็นผู้ได้รับรางวัลโนเบลคนต่อไปก็ได้ น่าเสียดายจริงๆ ในฐานะนักวิจัยด้านสิ่งมีชีวิตระดับแนวหน้าคนหนึ่ง งานวิจัยของเขานั้นไม่มีใครเทียบได้อย่างแน่นอน”
“ตอนที่ฉันยังทำวิจัยอยู่ที่จอนส์ ฮอปคินส์ ฉันได้ยินมาว่าด็อกเตอร์ไมคัสได้คิดค้นยาที่ยับยั้งการแพร่ของเซลล์เนื้องอกโดยการศึกษาเซลล์ของสิ่งมีชีวิตบางชนิด อาจกล่าวได้ว่าไม่เคยมีใครในต่างประเทศทำมาก่อน ที่ต่างประเทศเป็นที่ฮือฮากันมาก ถ้าเขาคิดค้นยาตัวนั้นสำเร็จ มันจะต้องกลายเป็นดาวเด่นแห่งโลกแห่งการวิจัยเนื้องอกแน่นอน”
“การทดลองดังกล่าวดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนในตอนนั้น ในฐานะที่เป็นการทดลองระดับแนวหน้าในต่างประเทศ ทุนสนับสนุนงานวิจัยจึงสูงถึงพันสองร้อยล้านดอลลาร์ ทั้งข้อมูลการทดลอง อุปกรณ์ที่ใช้ในการทดลอง และผู้เข้าร่วมทั้งหมดล้วนเป็นแนวหน้าของแต่ละสาขา
ในช่วงแรก การทดลองในสัตว์ประสบผลสำเร็จไปได้ด้วยดี สถาบันใหญ่ๆ และบริษัทยาก็ให้คำมั่นสัญญาอันยิ่งใหญ่ กระทั่งเตรียมทุนสำรองเกือบสองพันล้านดอลลาร์ไว้สำหรับการทดลองทางคลินิกต่อไป”
“ในตอนนั้นทั้งวารสาร ‘ธรรมชาติ’ ‘วิทยาศาสตร์’ และแม้กระทั่งนิตยสารไทม์ต่างก็พร้อมนำใบหน้าของด็อกเตอร์ไมคัสขึ้นปกเพื่อรอฟังผลการทดลองทางคลินิกของเขาทั้งนั้น!”
“น่าเสียดาย…ในช่วงแรกของการทดลองทางคลินิก ผู้ทดลองทุกคนที่เข้าร่วมการทดลองทั้งหมดเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว แทนที่ยาตัวนั้นจะหยุดการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอก แต่กลับยับยั้งการเจริญเติบโตและการพัฒนาของเซลล์ปกติในร่างกายมนุษย์ไปด้วย…”
พอพูดเรื่องนี้แล้ว จางซูหลานก็ถอนหายใจออกมา “หลังจากนั้นไม่กี่ปี พวกเขาก็ยังคงค้นหาสาเหตุมาโดยตลอด แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่พบสาเหตุใดๆ เลย ด็อกเตอร์ไมคัสต้องทนทุกข์ทรมานเพราะความเครียดจากแรงกดดันที่มาจากความคิดเห็นของสาธารณชนและภาวะซึมเศร้าขั้นรุนแรง จึงตัดสินใจจบชีวิตตนเองลงในห้องแล็บ”
ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบชั่วขณะหนึ่ง ในที่สุดไป๋เยี่ยก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด ที่แท้เหตุการณ์นี้ก็โด่งดังมากถึงเพียงนี้
จางซูหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงสลด “ตอนนั้นฉันเคยเข้าร่วมการบรรยายของด็อกเตอร์ไมคัสด้วย เขาเป็นบุคคลที่น่าทึ่งที่สุดในสาขาวิศวกรรมชีวภาพ การจากไปของเขาถือเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ในสาขาวิศวกรรมชีวภาพเลยก็ว่าได้”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้แล้ว จางซูหลานก็หันไปมองไป๋เยี่ยด้วยแววตาซับซ้อน “ถ้าคุณเกิดเร็วกว่านี้ไม่กี่ปี บางที…เขาก็คงไม่ต้องจบชีวิตลงแบบนี้ เขาอายุแค่ห้าสิบเก้าปีเอง แต่กลับประสบกับความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่…”
หลายวันต่อมา ไป๋เยี่ยและจางซูหลานจึงได้จัดทำการทดลองเกี่ยวกับยีนที่ไม่เสถียรขึ้นใหม่ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยที่ทั้งคู่ก็ยังพบว่ามีลำดับเบสที่ไม่เสถียรอยู่ดังเดิม
จางซูหลานหันไปพูดกับไป๋เยี่ย “คุณอยากส่งบทความนี้ไปที่ไหน”
ไป๋เยี่ยส่ายหัว “ยังไม่ได้คิดเรื่องนี้เลยครับ คงจะส่งไปให้เอ็มไอโอ เพราะยังไง นี่ก็เป็นบทความเกี่ยวกับสัตว์ทดลอง แต่ถ้าส่งให้ ‘เซลล์’ ได้ก็ดีเหมือนกันครับ คุณคาร์ลเองก็เป็นบรรณาธิการที่นั่นด้วย ให้เขาเป็นคนเลือกตีพิมพ์บทความนี้น่าจะเหมาะสมกว่า อย่างน้อยก็จะช่วยให้เขา…”
จู่ๆ จางซูหลานก็แทรกขึ้นมาด้วยความตกตะลึง “หรือคุณจะส่งมันไปที่ ‘วารสารรายงานวิจัยของสถาบันวิทยาศาสตร์’ แทน”
ไป๋เยี่ย “ว่าไงนะครับ”
ใบหน้าของจางซูหลานแดงขึ้นเล็กน้อย “คุณยังเป็นนักศึกษาปริญญาโทใต้สังกัดของเรานะ ทำไมคุณถึงไม่ตีพิมพ์ลงในวารสารของเราล่ะ…”
“วารสารของเราก็เป็นวารสารวิทยาศาสตร์เหมือนกัน ถึงคะแนนไอเอฟจะน้อยก็เถอะนะ จริงๆ แล้วก็ยังถือว่ามาตรฐานดีอยู่ หลักๆ ก็เป็นเพราะเราได้คะแนนไอเอฟจากต่างประเทศค่อนข้างน้อยเนี่ยแหละ หากบทความของคุณได้ตีพิมพ์ในนั้น บางทีมันอาจจะช่วยยกระดับสถานะของเราไปสู่สากลได้…”
ไป๋เยี่ยชะงักไปก่อนจะเอ่ยถามขึ้นช้าๆ “ได้เหรอครับ”
จางซูหลานยิ้ม “จริงๆ แล้วจะตีพิมพ์กับใครก็เหมือนกันแหละค่ะ ประเด็นสำคัญคือเราต้องการกระจายข่าวนี้ถูกไหม”
“อีกอย่าง…ตอนนี้คุณมีคะแนนไอเอฟสองร้อยห้าสิบแปดคะแนน ซึ่งมันมากกว่าของอาจารย์หลายๆ คนซะอีก ไหนจะมีบทความนี้อีก”
ไป๋เยี่ยตัดสินใจโทรหาคาร์ลในวันนั้น
“ฮัลโหล ไป๋เยี่ย ต่อไปโทรมาก็ดูเวลาของอีกไทม์โซนหน่อยเซ่ ที่นี่มันตีสามแล้วนะ” คาร์ลพูดขึ้น
ไป๋เยี่ยยังคงคิดเรื่องปัญหานั้นอยู่เสมอ “คุณคาร์ล ถ้าตอนนี้ผมบอกคุณว่าผมรู้สาเหตุของความล้มเหลวของอาจารย์คุณแล้ว มันจะรบกวนการนอนของคุณไหมครับ”
คาร์ลเงียบไปครู่หนึ่ง “ผมไม่ตลกนะ…”
ไป๋เยี่ยยิ้ม “สิ่งที่ผมพูดเป็นความจริงแน่นอน ผมเข้าใจมันแล้ว ความล้มเหลวของการทดลองทั้งหมดไม่เกี่ยวข้องกับอาจารย์คุณเลย”
คาร์ลตะลึง “คุณพูดจริงเหรอ”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า “บางทีคุณควรจะมาที่สถาบันวิทยาศาสตร์แห่งชาติที่ปักกิ่งนะ ผมมีขั้นตอนการทดลองอย่างละเอียดด้วยนะ”
บ่ายวันรุ่งขึ้น คาร์ลก็มาที่ปักกิ่ง ทันทีที่พวกเขาพบกัน คาร์ลก็เดินเข้าไปหาไป๋เยี่ยด้วยดวงตาแดงก่ำ “คุณแน่ใจใช่ไหมว่าสิ่งที่คุณโทรบอกผมในวันนั้นเป็นความจริง”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า “มากับผมสิครับ ผมจะพาคุณไปพิสูจน์ด้วยตัวเอง”
ไป๋เยี่ยพาคาร์ลและจางซูหลานมาดูวิธีการทดลอง ทันทีที่คาร์ลเห็นผลการทดลอง น้ำตาของเขาก็เริ่มไหล
ภาพของชายร่างสูงที่กำลังร้องไห้เหมือนเด็กน้อยทำเอาจางซูหลานทนไม่ได้
สามวันต่อมา ‘วารสารรายงานวิจัยของสถาบันวิทยาศาสตร์’ ก็ได้ตีพิมพ์วารสารฉบับพิเศษ รูปบนหน้าปกไม่ใช่รูปของไป๋เยี่ย แต่กลับเป็นรูปหนูเคเอ็มและด็อกเตอร์ไมคัส ทรานส์ลีแทน
ชื่อเรื่องบนหน้าปกก็คือ
‘รื้อฟื้นการทดลองในอดีตเหล่านั้น สาเหตุที่แท้จริงของการสูญเสียระหว่างการทดลองทางคลินิก’
‘วารสารรายงานวิจัยของสถาบันวิทยาศาสตร์’ ยังพอมีอิทธิพลอยู่บ้างโดยเฉพาะในทวีปเอเชีย เพราะว่ามีเนื้อหาเกี่ยวกับเทคโนโลยีระดับสูง
ดังนั้นวารสารจึงมีการตีพิมพ์ฉบับพิเศษขึ้นและนำพามาซึ่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากผู้คนจำนวนมาก
“เป็นไปไม่ได้ เราใช้หนูเคเอ็มกันมานานหลายปีแล้ว ไม่น่าเชื่อว่ามันจะมีปัญหา”
“ปกติก็ไม่มีปัญหานี่นา ไม่เห็นที่เขียนไว้ข้างบนเหรอ เฉพาะภายใต้เงื่อนไขพิเศษเท่านั้นจึงจะเกิดการกลายพันธุ์”
“แต่…นี่มันก็น่ากลัวเหมือนกันนะ!”
“ที่แท้ด็อกเตอร์ไมคัสก็ตายเพราะหนู!”
“โอ้พระเจ้า จริงเหรอเนี่ย ไม่น่าเชื่อเลย”
เมื่อผู้คนในแวดวงวิทยาศาสตร์จำนวนมากทั้งหมดที่ให้ความสนใจกับด้านวิศวกรรมชีวภาพเห็นข้อมูลในบทความประจำสัปดาห์นี้ก็เริ่มหยิบมาพูดคุยกันทันที
ข่าวนี้น่าตกใจมากจนทุกคนสงสัยในความน่าเชื่อถือของมัน
หนูเคเอ็มที่ผู้คนใช้มานานหลายปีกลับกลายเป็นหนูที่มียีนไม่เสถียรและอาจกลายพันธุ์จนมียีนที่แตกต่างออกไปจากมนุษย์
ยิ่งไปกว่านั้น ไม่เพียงแต่ผู้อ่านเหล่านี้เท่านั้น ตัวอย่างความล้มเหลวในการวิจัยจำนวนมากก็เริ่มมีการเปิดเผยว่ามีการใช้หนูเคเอ็มในการทดลองตั้งแต่แรกหรือไม่ และหนูมีผลกระทบต่อการทดลองมากน้อยเพียงใด