บทที่ 205 ได้เวลาออกจากโรงพยาบาลแล้ว!
ไป๋เยี่ยโทรหาเถ้าแก่ไป๋และคุยกันเรื่องบริษัทจื้อเหิงเป็นเวลากว่าหนึ่งชั่วโมง
อ้างอิงจากใบเสนอราคาที่เถ้าแก่ไป๋ส่งมา จะพบว่าบริษัทนี้มีมูลค่าเกือบสามร้อยล้านหยวน ซึ่งในความเป็นจริง บริษัทยังมีกำลังการผลิตและแรงงานที่เพียงพอ ขาดแค่ความสามารถในการแข่งขัน
ไป๋เยี่ยครุ่นคิดอยู่สักพักหนึ่งแล้วก็ตัดสินใจลงทุน!
สิ่งที่ไป๋เยี่ยขาดคือเทคโนโลยี แต่ด้วยรากฐานที่บริษัทจื้อเหิงวางไว้นั้น จะทำให้เขาพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้เร็วขึ้นอย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างไรบริษัทยาและเภสัชกรรมก็เป็นบริษัทที่ขอใบอนุญาตยากที่สุด แต่ถ้าได้มาก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีมากๆ
ในวันเดียวกันนั้น ถังฮั่นเองก็รวบรวมข้อมูลเสร็จแล้ว ไป๋เยี่ยจึงไปหาถังฮั่นถึงที่บ้านแทน
ถือได้ว่าวันหยุดวันชาติอันยาวนานนี้สิ้นสุดลงด้วยความสำเร็จของไป๋เยี่ย
วันนี้ลู่อวี่ ภรรยาของถังฮั่นลงมือปรุงอาหารตำรับหางโจวด้วยตนเอง
หลังมื้ออาหาร ถังฮั่นก็พูดคุยกับไป๋เยี่ยถึงเรื่องบริษัทจื้อเหิง
ข้อมูลของถังฮั่นมุ่งเน้นไปที่ภูมิหลังและประวัติของบุคคลสำคัญในบริษัท ในขณะที่ข้อมูลของเถ้าแก่ไป๋มุ่งเน้นไปที่ทิศทางการพัฒนาและผลิตภัณฑ์ของบริษัท
เมื่อเป็นเช่นนี้ ไป๋เยี่ยก็เริ่มมีแผนการเกี่ยวกับบริษัทจื้อเหิงขึ้นมาบ้างแล้ว เมื่อเขาอ่านข้อมูลจบ ถังฮั่นก็เอ่ยถามขึ้น “คุณสนใจบริษัทนี้ไหม”
ไป๋เยี่ยพยักหน้า “ครับ ต่อไปเราอาจจะใช้ประโยชน์ได้”
ถังฮั่นไม่กังขาในความสามารถของไป๋เยี่ย เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงยิ้มออกมา “ผมขอเป็นหุ้นส่วนด้วยได้ไหม”
ไป๋เยี่ยไม่ได้ปฏิเสธแต่อย่างใด เพราะสุดท้ายการที่บริษัทจะไปต่อได้ก็ไม่ได้เป็นเพราะคนคนเดียว ต้องมีคนคอยช่วยหนุนด้วย
ไป๋เยี่ยยังไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของถังฮั่น แต่ในเมื่ออยู่ในบ้านเขาแล้ว…ก็น่าจะลองศึกษาตัวตนของเขาดูสักหน่อย
ไป๋เยี่ยตอบยิ้มๆ “พี่ถัง เราร่วมมือกันได้ตลอดเลยนะครับ”
ถังฮั่นพยักหน้า “ฮ่าๆ ขอบคุณล่วงหน้านะ แค่มีคุณ บริษัทไหนๆ ก็กลับมาเฟื่องฟูได้ทั้งนั้นแหละ ผมกำลังจะลงเรือลำใหญ่อีกแล้วสินะ แต่คุณไม่ต้องกังวลไป ผมขอเป็นหุ้นส่วนแค่สิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้นแหละ”
ไป๋เยี่ยครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วจึงตัดสินใจเล่าเรื่องของโจวเม่าให้ถังฮั่นฟัง ทำเอาถังฮั่นต้องเบิกตากว้าง “คุณหมายถึงโจวเม่าจากมหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจิ้นซีเหรอ”
ไป๋เยี่ยชะงัก “พี่ถังรู้จักเขาเหรอครับ”
ถังฮั่นพยักหน้าและหัวเราะออกมา “ฮ่าๆ ไม่ใช่แค่รู้จักหรอก คนคนนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เขาเป็นที่รู้จักในวงการแพทย์ด้วยว่าเป็นคนมีความสามารถด้านธุรกิจพอตัว ถ้าเป็นเขาผมก็ค่อยเบาใจหน่อย”
ถังฮั่นขอให้คนขับรถพาไป๋เยี่ยไปส่ง ระหว่างทางเขาก็เอาแต่นั่งคิดเรื่องตัวตนที่แท้จริงของถังฮั่น เพราะว่านามสกุลถังไม่ใช่นามสกุลที่คนทั่วไปจะในจีนจะใช้ แม้แต่บุคคลสำคัญก็ด้วย…
เมื่อกลับมาถึงหอพัก ไป๋เยี่ยก็พบว่าเพื่อนร่วมห้องอีกสามคนก็กลับมาแล้วเหมือนกัน อย่างไรพรุ่งนี้พวกเขาก็ต้องไปทำงานเหมือนกันอยู่ดี
หลังจากพูดคุยกันสักพัก ไป๋เยี่ยก็เปิดโน้ตบุ๊กขึ้นมาแล้วเขียนคำแนะนำเกี่ยวกับการล้างแผลบริเวณทวารหนัก
ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยู่ในแผนกนี้ตลอดไป แต่ไป๋เยี่ยก็หวังว่าเขาจะทิ้งอะไรไว้ได้บ้าง แม้ว่าบางทีมันอาจจะไม่ได้เปลี่ยนทิศทางอาชีพของใคร แต่มันอาจจะช่วยให้แนวทางกับนักศึกษาชั้นปริญญาโทลงไปได้บ้าง
เหอเสี่ยวหมิงเห็นว่าไป๋เยี่ยเดินเข้าห้องมาก็เปิดโน้ตบุ๊กขึ้นมาพิมพ์อะไรบางอย่างจึงถามขึ้น “เอ๋ ไป๋เยี่ย นี่นายทำอะไรอยู่เหรอ”
ไป๋เยี่ยตอบไปตามตรงโดยที่ไม่หันหลังกลับไปหาอีกฝ่าย “หัวหน้าไม่ได้บอกว่าจะมีการหารือกันเรื่องวิธีล้างแผลหลังวันหยุดหรอกเหรอ ฉันกำลังเขียนสิ่งที่ต้องพูดน่ะ กลัวว่าตอนนั้นจะคิดไม่ออกว่าต้องพูดอะไร”
เหอเสี่ยวหมิงตอบ “อ้อ…ฉันว่านายจริงจังเกินไปนะ อีกยี่สิบวันก็ต้องย้ายแผนกแล้ว ไหนๆ มีเวลาก็หยิบหนังสือโรคประสาทมาอ่านซะสิ”
เหอเสี่ยวหมิงแค่รู้สึกว่าไป๋เยี่ยกำลังทำให้เรื่องมันยุ่งยาก อย่างไรเสียพวกเขาก็เป็นนักศึกษาแพทย์แผนกอายุรศาสตร์อยู่ดี แล้วจุดมุ่งหมายในการศึกษาหาความรู้ในแผนกทวารหนักตลอดเวลาจะมีความหมายอะไร ถึงแม้ว่าหัวหน้าแผนกจะชวนไป๋เยี่ยไปเข้าร่วมการประชุมระดับนานาชาติแล้วทำให้เขารู้สึกอิจฉามากก็ตาม
ไป๋เยี่ยไม่ได้พูดอะไรต่อและไม่หันกลับไปมอง ได้แต่ก้มหน้าทำธุระของเขาต่อไป
เวลาผ่านไปจนเกือบตีหนึ่ง ไป๋เยี่ยก็ร่างบทจนเสร็จ นอกนั้นก็เป็นเพียงขั้นตอนต่างๆ ที่ต้องค่อยๆ ทำต่อไป
หลังจากช่วงวันหยุดผ่านไป ก็ถึงเวลาที่ต้องกลับไปทำงานอีกครั้ง วันนี้การจราจรในปักกิ่งติดขัดมากจนน่าแปลกใจ พานเซี่ยงเหนียนคิดไว้แล้วว่ารถจะติด จึงออกไปทำงานเร็วกว่าปกติเล็กน้อย แต่กว่าจะมาถึงโรงพยาบาลก็เป็นเวลาเกือบเก้าโมงแล้ว
เขายืนรอลิฟต์อย่างใจจดใจจ่ออยู่นาน ก่อนจะขึ้นมาถึงแผนกทวารหนัก ทว่าทันทีที่ลิฟต์เปิดออก เขาก็พบว่ามีผู้คนยืนอยู่เต็มทางเดิน
“หมอซ่ง วันนี้ผมอยากออกจากโรงพยาบาลแล้ว”
“หมอฉาง ฉันก็อยากออกจากโรงพยาบาลเหมือนกัน”
“หมอหยาง ฉันจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว ลูกชายมารอรับฉันแล้วเนี่ย!”
“ใช่แล้ว หมอหลี่ ผมว่าหลังวันหยุดก็น่าจะกลับไปทำงานได้แล้ว ผมขอออกจากโรงพยาบาลด้วยได้ไหม”
เมื่อได้ยินผู้คนจำนวนมากเอาแต่พูดคุยเสียงดังจนหนวกหู พานเซี่ยงเหนียนก็เริ่มหงุดหงิดขึ้นมาเล็กน้อย นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทำไมมีแต่คนมาโหวกเหวกเรื่องอยากออกจากโรงพยาบาล
พานเซี่ยงเหนียนคิดแล้วก็ดึงสีหน้ากลับมาเป็นปกติพร้อมทั้งข่มอารมณ์ตนเองไว้ “ทุกคน รอสักครู่นะครับ ไม่ต้องกังวลเรื่องออกจากโรงพยาบาล หมอขอคุยกันก่อนนะ”
เมื่อผู้ป่วยเห็นพานเซี่ยงเหนียนก็ค่อยเงียบปากลงแล้วเดินกลับเข้าวอร์ดไป
พานเซี่ยงเหนียนถึงกับตะลึง แค่นี้เนี่ยนะ ไหงเมื่อกี้ยังโหวกเหวกกันอยู่เลย มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“หมอทุกคนเข้ามาคุยกันหน่อยครับ ปิดประตูด้วย”
พานเซี่ยงเหนียนพูดจบก็เดินนำเข้าไปในห้องทำงาน
ซ่งเจี๋ยและฉางลี่เฉียงหันไปมองหน้ากัน วันนี้หัวหน้าแผนกเป็นอะไร艾琳小說
หลังจากที่แพทย์ทุกคนในแผนกเข้ามาแล้ว ประตูห้องก็ถูกปิดลง ปล่อยให้นักศึกษาฝึกงานหลายคนยืนรออยู่ด้านนอก
พานเซี่ยงเหนียนมองไปรอบๆ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เกิดอะไรขึ้นครับ ทำไมมีแต่คนโวยวายเรื่องออกจากโรงพยาบาลตั้งแต่เช้า!”
ทุกคนได้ยินดังนั้นก็หันไปมองหน้ากันแบบงงๆ ที่แท้ก็เรื่องนี้นี่เอง
ซ่งเจี๋ยยิ้ม “ไม่มีอะไรครับหัวหน้า แค่ว่าผู้ป่วยของเรามีอาการดีขึ้นมากแล้ว นี่มันก็เลยช่วงวันหยุดมาแล้วด้วยนี่ครับ พวกเขาก็เลยอยากกลับไปทำงานกัน”
พานเซี่ยงเหนียนเห็นรอยยิ้มของซ่งเจี๋ยก็แค่นหัวเราะออกมาเบาๆ “จริงๆ แล้วในฐานะแพทย์ คุณควรอนุญาตให้ผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลตามอำเภอใจด้วยเหรอครับ ไม่ได้พิจารณาเลยเหรอว่าออกได้หรือไม่ได้ พวกคุณเป็นแพทย์กันมานานแล้วนะครับ แค่สื่อสารกับผู้ป่วยก็ทำไม่ได้เหรอ”
ซ่งเจี๋ยไม่ได้มีท่าทีขุ่นเคืองใดๆ จึงตอบไปอย่างใจเย็น “หัวหน้าครับ ที่ผมจะสื่อคือผู้ป่วยมีอาการดีขึ้นมาก ควรออกจากโรงพยาบาลได้แล้วครับ จะได้ไม่ต้องมาล้างแผลทุกวัน ทำแค่สัปดาห์ละครั้งก็พอ”
พานเซี่ยงเหนียนนิ่งไป เขายังเชื่อในความสามารถของซ่งเจี๋ยและคนอื่นๆ อยู่ เพียงแต่ว่า… “ผู้ป่วยหลายคนได้รับการผ่าตัดเมื่อช่วงปลายกันยายนไม่ใช่เหรอครับ ทำไมหายกันเร็วจังล่ะ”
ซ่งเจี๋ยยักไหล่ “ตอนแรกผมก็พยายามจะอธิบายให้ผู้ป่วยฟังแบบนั้นครับ แต่พอดูอาการของแต่ละเคสแล้ว ก็ได้รู้ว่าอาการของพวกเขาดีขึ้นจริงๆ หัวหน้าต้องลองลงไปตรวจเองครับ!”