บทที่ 210 ก้าวสู่โตเกียวด้วยความร้อนแรง (2)
เมื่อฟังไกด์แนะนำเสร็จแล้ว ทุกคนก็พยักหน้าด้วยความชื่นชม
“เยี่ยมมาก! นวัตกรรมนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
“ใช่แล้ว นี่เป็นการประชุมที่น่าจดจำมากเสียจนผมอยากพาลูกๆ มาด้วยเลย การท่องเที่ยวเชิงวิชาการมันดีแบบนี้นี่เอง…”
“…”
ศูนย์จัดนิทรรศการเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่ที่เดินเที่ยวได้อย่างอิสระ แต่ละจุดจะมีการแนะนำเกี่ยวกับยี่ห้อต่างๆ
เจ้าภาพเอาใจใส่ดีมาก คุณลองดูได้ทุกอย่างตั้งแต่หูฟังแพทย์ตัวแรกของโลก ไปจนถึงเครื่องตรวจทวารหนักและลำไส้ ที่นี่คุณจะได้เห็นอุปกรณ์ทางการแพทย์ยุคบุกเบิกมากมายในประวัติศาสตร์ ไม่จำกัดแค่สาขาทวารหนักเท่านั้น
ตัวอย่างเช่น เครื่องซีทีสแกน ที่หากมองเพียงผิวเผินอาจจะดูมีสภาพดี แต่เท้จริงแล้วหลายๆ เครื่องกลับเป็นเครื่องที่โรงพยาบาลทิ้งแล้ว แต่ถูกนำมาจัดแสดงที่นี่เพราะเป็นของมีมูลค่าและเพื่อเป็นที่ระลึกอีกด้วย
นอกจากนี้ที่นี่ยังมีการจัดแสดงไทม์ไลน์ของยุคสมัยต่างๆ ไป๋เยี่ยเริ่มเดินจากยุคปัจจุบันย้อนไปยังยุคอดีต และได้อ่านบันทึกมากมายเกี่ยวกับการพัฒนายารักษาโรคทางทวารหนัก
อีกทั้งยังมีข้อมูลเกี่ยวกับบรรดาตำราและบันทึกอันทรงคุณค่าด้วย
อันที่จริงแล้วโรคทางทวารหนักต่างๆ เช่น โรคริดสีดวงทวารนั้นมีที่มาจากคัมภีร์ยุคเก่าแก่ของจีน ในช่วงเจ็ดร้อยเจ็ดสิบปีก่อนคริสตกาลที่เรียกว่า ‘ซานไห่จิง[1]’ เป็นตำราเล่มแรกที่เรียกโรคดังกล่าวว่าริดสีดวงทวาร ก่อนที่ชื่อนี้จะถูกหยิบไปใช้ในวงการแพทย์ทั่วทุกมุมโลก
ไป๋เยี่ยเดินชมสิ่งประดิษฐ์ยุคโบราณตามไทม์ไลน์ของในประวัติศาสตร์ด้วยความสนใจ แต่กลับพบพบว่าไทม์ไลน์ได้หยุดลงในปี ค.ศ. 1780!
ไป๋เยี่ยชะงักไปเล็กน้อย แล้วเหตุการณ์ก่อนปี 1780 ล่ะ วิทยาการเกี่ยวกับโรคทางทวารหนักคงไม่มีประวัติศาสตร์ที่สั้นขนาดนี้หรอกมั้ง
ไป๋เยี่ยจึงหันไปถามเจ้าหน้าที่ที่ยืนอยู่แถวๆ นั้น “สวัสดีครับ คือว่า…ไทม์ไลน์หยุดลงที่ปี 1780 เหรอครับ ไม่มีก่อนหน้านี้แล้วใช่ไหมครับ ผมคิดว่าประวัติเกี่ยวกับโรคทางทวารหนักไม่น่าจะสั้นแค่นี้นะครับ”
เจ้าหน้าที่มองไป๋เยี่ยด้วยความงุนงง “ผมไม่ค่อยรู้เรื่องพวกนี้หรอกครับ ถ้ามีคำถามอะไรไว้ผมจะเรียกหัวหน้าแผนกมาช่วยดูให้แล้วกันนะ”
ไป๋เยี่ยส่ายหัว สงสัยจะเตรียมตัวมาน้อย
จู่ๆ ไฟในห้องนิทรรศการก็ดับลง รอบข้างค่อยๆ มืดลงเรื่อยๆ จนทั้งห้องนิทรรศการตกอยู่ในความมืดมิด
ระหว่างที่ทุกคนกำลังสับสนอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีวิดีโอปรากฏขึ้นกลางอากาศ เป็นภาพของชายชาวญี่ปุ่นในชุดโบราณที่กำลังใช้มีดและด้ายในการรักษาผู้ป่วยที่มีโรคบริเวณทวารหนัก พร้อมด้วยเสียงพากษ์ที่ดังแว่วตามมา
“ผู้คนส่วนใหญ่มักจะมองข้ามโรคทางทวารหนักไป…จนกระทั่งปี 1760 นายแพทย์มูราคามิ แพทย์ชาวญี่ปุ่นผู้ยิ่งใหญ่ก็ได้รวบรวมประสบการณ์จากภูมิปัญญาพื้นบ้านและคิดค้นวิธีการรักษาโดยการรัดหนังยางขึ้นมา ทั้งยังส่งเสริมวิธีการรักษานี้ไปทั่วประเทศญี่ปุ่น…ต่อมาก็เริ่มเผยแพร่ออกไปสู่โลกตะวันตกมากขึ้น เพื่อเป็นการวางรากฐานให้กับการพัฒนาวิทยาการสมัยใหม่เกี่ยวกับการรักษาโรคทางทวารหนักขึ้น…”
“ต่อมาก็มีนักวิชาการชาวตะวันตกเข้ามาเยือนประเทศของเราเพื่อศึกษา…การพัฒนาวิทยาการเกี่ยวกับการรักษาโรคทางทวารหนักเป็นไปอย่างรวดเร็ว จนกระทั่งนักวิชาการชาวอังกฤษท่านหนึ่งได้คิดค้น…”
ทั้งสื่อวิดีโอที่ถูกนำเสนอออกมาอย่างน่าสนใจและเสียงดนตรีที่ดังกระหึ่ม ทำให้ทุกคนต้องเงียบเสียงลง จนกระทั่ง…
จู่ๆ ก็มีเสียงของใครบางคนตะโกนแทรกขึ้นมา!
“ทำไมถึงไม่เอาประวัติศาสตร์ช่วงก่อนปี 1760 ใส่มาด้วยล่ะ แล้ววิธีรักษาโดยการรัดหนังยางก็ไม่ได้มีที่มาจากญี่ปุ่กซักหน่อย มาจากจีนต่างหาก!”
เสียงนั้นดังก้องและรื่นหูมากเสียจนดึงดูดทุกคนกำลังยืนดูวิดีโออย่างใจจดใจจ่อจนไม่ทันได้ระวังรอบข้างให้หันมาสนใจได้ในทันที!
คาวาโนะ ชินจิ เป็นผู้รับผิดชอบการประชุมครั้งนี้ และเป็นหัวหน้าแผนกทวารหนักบริษัทเอดะ เขาทุ่มเทในการจัดการประชุมประจำปีครั้งนี้ขึ้นมาก เขาจึงดูจะพอใจที่เห็นท่าทีตื่นตระหนกของทุกคน เพราะมันเปรียบเสมือนว่าผู้เข้าร่วมงานให้ความสนใจกับผลงานที่เขาทำ
เสียงของคนที่เอ่ยขัดสะท้อนไปมาในอากาศจนดังกึกก้องไปทั่วศูนย์นิทรรศการ
เจ้าหน้าที่ที่กำลังฉายวิดีโอหันไปถามคาวาโนะ ชินจิด้วยแววตาสงสัย “เอาไงดีครับหัวหน้า”
คาวาโนะ ชินจิขมวดคิ้วแน่น นั่นคือใคร แล้วเขาคิดจะทำอะไรน่ะ
เขาหยิบไมโครโฟนขึ้นมาแล้วจึงเอ่ยปากถามอย่างใจเย็น “ไม่ทราบว่าอาจารย์ท่านนี้มีปัญหาตรงไหนเหรอครับ”
อย่างไรเสียผู้ที่เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ก็ถือเป็นผู้มีศักยภาพระดับแนวหน้าในวงการ艾琳小說
ระหว่างที่พูดอยู่นั้น คาวาโนะ ชินจิก็โบกมือให้เจ้าหน้าที่ช่วยเปิดไฟในศูนย์นิทรรศการสักครู่ เพื่อที่ทุกคนจะได้มองเห็นผู้พูดได้ชัดเจน
เมื่อแสงไฟสว่างขึ้น เขาก็เห็นว่าคนที่พูดอยู่นั้นเป็นชายหนุ่มอายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี ที่มีหน้าตาหล่อเหลาคนหนึ่ง
ไป๋เยี่ยสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างไม่เกรงกลัว “ผมสงสัยว่าทำไมคุณถึงกำหนดให้ปี 1780 เป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์เกี่ยวกับวิทยาการด้านการรักษาโรคทางทวารหนักล่ะครับ เป็นเพราะเตรียมการมาไม่พร้อม หรือว่าตั้งใจให้เป็นแบบนี้อยู่แล้วครับ”
คาวาโนะ ชินจิมองไป๋เยี่ยพลางขมวดคิ้วเป็นปม หมอนี่เป็นใคร มาจากที่ไหน มาที่นี่ทำไม แล้วการที่เขาถามคำถามนี้มันหมายความว่าไงกัน
คาวาโนะ ชินจิ ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาไม่อยากยอมรับว่ามันเป็นความบกพร่องในการทำงาน แต่เขาก็ไม่อยากมานั่งอธิบายในหัวข้อที่เขาไม่เข้าใจดี เขาจึงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงตอบออกไป “ผมอ้างอิงมาตามบันทึกงานวิจัยที่มีอยู่ครับ คงเพราะว่างานนี้อาจจะมีเวลาน้อยไปหน่อย ข้อมูลจึงยังไม่สมบูรณ์ ต้องขออภัยด้วยนะครับ! ถ้ามีปัญหาอะไรอีกก็แจ้งเจ้าหน้าที่ของทางเราได้เลยนะครับ”
“สุดท้ายนี้ โปรดอย่าละเมิดกฎระเบียบของสถานที่นี้ และอย่าทำให้คนอื่นๆ ต้องเสียเวลานะครับ ขอบคุณสำหรับความร่วมมือ!”
น้ำเสียงของคาวาโนะ ชินจิฟังดูเป็นทางการมาก ทำให้คนอื่นๆ ไม่ได้รู้สึกว่าเขามีปัญหาอะไร
ทว่าจู่ๆ พานเซี่ยงเหนียนก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงดังลั่น “วิธีการรักษาโดยการรัดหนังยางมีที่มาจาก ‘ตำรารักษาโรคทั้งห้าสิบสองชนิด‘[2] ซึ่งเป็นตำราเล่มแรกที่มีการบันทึกวิธีการรักษาริดสีดวงด้วยการรัดหนังยาง และการผ่าตัดริดสีดวง รวมถึงเป็นตำราเล่มแรกที่มีบันทึกเกี่ยวกับพยาธิเข็มหมุดด้วย งานของพวกคุณดูจะขาดความรับผิดชอบไปหน่อยนะครับ การแพทย์แผนจีนมีคุณูปการอย่างมากต่อการรักษาโรคทางทวารหนัก แต่ทำไมถึงไม่มีการกล่าวถึงเลยสักนิด เห็นได้ชัดเลยว่าพวกคุณตั้งใจบิดเบือนข้อมูล!”
[1] ซานไห่จิง คือ เป็นตำราคลาสสิกจีนซึ่งประมวลภูมิประเทศและสัตว์ในตำนานเอาไว้ ซึ่งมีการบันทึกถึงโรคริดสีดวงทวารไว้โดยใช้คำเรียกว่า ‘จื้อปิ้ง‘ หมายความว่า โรคที่มีลักษณะเป็นก้อน ต่างจากในปัจจุบันที่ใช้คำเรียกโรคริดสีดวงว่า ‘จื้อชวง‘
[2] ตำรารักษาโรคทั้งห้าสิบสองชนิด หรือ อู่สือเอ้อร์ปิ้งฟาง คือ ตำราแพทย์แผนจีนในสมัยราชวงศ์ฮั่น