กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี – บทที่ 7 ไม่อาจกตัญญู

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

บทที่ 7 ไม่อาจกตัญญู

บทที่ 7 ไม่อาจกตัญญู

เขาจ้องมองไปยังลูกสาวและภรรยาของเขา “ลูกสาวกับลูกเขยของฉันไม่ค่อยได้กลับมา พวกเขาควรจะมีความสุข แต่นี่เธอกำลังทำอะไรอยู่!” เขาชี้ไปที่ประตู “ถ้าเธอไม่อยากกินก็ออกไปให้พ้นหน้าฉันซะ! อย่ามาทำลายบรรยากาศมื้ออาหารแบบนี้ ไป ออกไป!”

เซี่ยโยว่หมิงไม่ใช่คนโกรธง่าย แต่ตอนนี้เขาทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้ว

ดูเหมือนว่าการคาดหวังให้ภรรยาของเขาพูดจาน่าฟังสักเล็กน้อยจะเป็นไปไม่ได้ เขาจึงทำได้แต่ไล่อีกฝ่ายไปเท่านั้น

เมื่อเห็นอารมณ์คุกรุ่นของอีกฝ่าย จางอวี้เจียวก็ไม่กล้าที่จะพูดอะไรออกมาอีก ไม่ว่าเดิมทีเธอจะมีความคิดเห็นมากมายเพียงใดก็ตาม

แม้พ่อตาจะเคยบอกไว้ว่า เขาไม่ค่อยสนใจเรื่องราวในครอบครัวของลูก ๆ ก็ตาม แต่หากเขารำคาญขึ้นมา เขาก็จะด่าอีกฝ่ายโดยไม่มีข้อละเว้นเช่นกัน

หวังผิงรู้สึกตกใจเมื่อถูกผู้เป็นสามีไล่

แม้ว่าภายในใจจะรู้สึกกลัว แต่เธอก็อดไม่ได้ที่จะพูดเพื่อกอบกู้หน้าของตนว่า “เราทุกคนเป็นครอบครัวเดียวกัน ฉันก็น่าจะพูดอะไรได้บ้าง แค่ขอความช่วยเหลือสักหน่อยจะเป็นอะไรไป? และถึงแม้ว่าเจ้ารองจะไม่ได้กลับมาอยู่เคียงข้างเราตลอดเวลา แต่เขาก็มักจะมีของฝากเล็ก ๆ น้อย ๆ กลับมาฝากเราให้มีความสุขเสมอ”

“สะใภ้รองมักบ่นว่าลูกชายของเรามักจะออกไปทำงานนอกบ้านจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว ฉันผิดตรงไหนที่อยากจะช่วยเธอบ้าง”

“เมื่อลูกสะใภ้มีความสุข ทัศนคติของเธอที่มีต่อลูกชายของเราก็จะดีขึ้น และทั้งครอบครัวก็จะกลมเกลียวกัน”

อันที่จริง เธอมองว่าเรื่องพวกนี้เป็นเรื่องเล็กน้อยไม่สลักสำคัญนัก แต่ปัจจัยสำคัญนั้นเป็นเพราะชีวิตคู่ระหว่างลูกสาวกับลูกเขยมีปัญหาเสียมากกว่า

“ฉันบอกแล้วไงว่า…” เมื่อได้ยินแบบนี้ เซี่ยโยว่หมิงแทบจะตะคอกออกมาอีกครั้ง

“คุณพ่อครับ” เสิ่นอี้โจวยกมือขึ้นเพื่อหยุดคำพูดของเซี่ยโยว่หมิง

เรียวคิ้วและดวงตาของเขาดูเคร่งขรึม ทว่าภายในแววตาของเขากลับเผยให้เห็นความแน่วแน่และสงบนิ่ง

เขาหยุดไปครู่หนึ่งและพูดว่า “พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องทำลายความสงบสุขด้วยเรื่องเล็กน้อยพวกนี้หรอกครับ ที่พวกผมมาอยู่ที่นี่ในวันนี้ เพราะมีสิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกเช่นกัน”

เขาเหลือบมองพ่อตาซึ่งกำลังพยายามระงับอารมณ์ของตัวเองอยู่ เขาเหลือบมองเซี่ยชิงหยวนและจับมือเธอที่อยู่ใต้โต๊ะอย่างอ่อนโยน

สัมผัสเล็กน้อยจากชายหนุ่มทำให้ความรู้สึกไม่สบายใจของหญิงสาวหายไปในที่สุด

ชายหนุ่มกล่าวต่อไปว่า “บ้านพักที่สร้างขึ้นใหม่ของหน่วยงานวิจัยของผมเพิ่งจะเปิดลงทะเบียนเข้าอยู่ ผมกับชิงหยวนวางแผนที่จะไปที่นั่นด้วยกันหลังจากวันหยุดนี้ ครั้งนี้จะเป็นการมาอำลาทุกคน”

“อะไรนะ? ชิงหยวนก็จะไปด้วยกันเหรอ?” ความสนใจของหวังผิงถูกเบี่ยงเบนไปโดยคำพูดของลูกเขย

เซี่ยโยว่หมิงกับเซี่ยจิ่งเยว่ก็ประหลาดใจเช่นกัน เพราะเซี่ยชิงหยวนเคยไปที่นั่นครั้งหนึ่งหลังจากแต่งงานใหม่ ๆ และไม่นานเธอก็กลับมาโดยไม่พูดอะไรเลย หญิงสาวดูไม่มีความสุขเลยสักนิด

เซี่ยจิ่งเยว่อดไม่ได้ที่จะถามผู้เป็นน้องสาว “น้องสาว คิดดีแล้วเหรอ”

เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ฉันคิดดีแล้วค่ะ”

“งานของอี้โจวยุ่งมาก ดังนั้นฉันจึงอยากไปดูแลเขาที่นั่น นอกจากนี้การพัฒนาของเมืองเตียนเฉิงในช่วงสองปีที่ผ่านมาก็ไม่เลวนัก ฉันอยากลองดูว่าฉันจะทำธุรกิจอะไรได้บ้าง”

พวกเธอไปอยู่ด้วยกันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้น

และพัฒนาการของเมืองเตียนเฉินเองก็เป็นสิ่งที่เธอพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้วตั้งแต่เมื่อคืนก่อน

อีกทั้งบทบาทในสังคมของผู้หญิงก็จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในช่วงสองสามปีข้างหน้า และเธอจะต้องยืนหยัดเพื่อตัวเอง

เธอเชื่อว่าด้วยประสบการณ์การทำงานในชีวิตที่แล้ว เธอจะสามารถส่งเสริมและพัฒนาอาชีพของเธอได้

เมื่อพูดจบ แม้แต่เสิ่นอี้โจวก็อดไม่ได้ที่จะมองอีกฝ่ายในมุมมองใหม่

กระทั่งครอบครัวของเธอยังไม่คิดว่าหญิงสาวคือเซี่ยชิงหยวนที่พวกเขารู้จักด้วยซ้ำ

กงเหลียนซินกล่าวพร้อมแย้มยิ้มยินดี “แผนของน้องสาว ฉันคิดว่ามันเป็นแผนที่ดีมาก!”

แม้ว่าการปฏิรูปและการเปิดประเทศกำลังดำเนินการอยู่ แต่ผู้คนในชนบทยังคงมีความคิดดั้งเดิมที่ว่าเรายังสามารถหาข้าวกินในทุ่งนาได้

สิ่งนี้เรียกว่าการอดอาหารจนตายของผู้กล้า หากพวกเขาได้ดูข่าวเกี่ยวกับครัวเรือนที่มีมูลค่าล้านดอลลาห์ล้วนแต่เป็นเรื่องลวงทั้งสิ้น

หากไม่ใช่เพราะพี่ชายทั้งสองรั้งเธอเอาไว้ก่อน หญิงสาวก็คงไปหางานในเมืองหรือมณฑลข้างเคียงแล้ว

จางอวี้เจียวตะคอกด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน “ผู้หญิงต้องดูแลสามีอยูที่บ้าน จะไปทำเรื่องไกลตัวอย่างการหางานได้ยังไงกัน?”

“สะใภ้รอง!” เซี่ยโยว่หมิงเคาะโต๊ะส่งสัญญาณให้เธอหยุดพูด

เดิมที หวังผิงต้องการตักเตือนลูกสาวเช่นกัน แต่เธอก็ต้องหุบปากหลังจากได้รับคำเตือนจากเซี่ยโยว่หมิง

เซี่ยโยว่หมิงครุ่นคิดและพูดว่า “ลูกมีความคิดที่ดีแบบนี้ พ่อก็มีความสุขมาก แต่การทำธุรกิจก็ไม่ได้ง่ายดายอย่างที่ลูกคิด ลูกคิดดีแล้วหรือยัง”

เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า “ค่ะพ่อ หนูเตรียมใจไว้แล้ว”

ไม่ว่าจะหนักหนาแค่ไหน เธอคิดว่ามันไม่สามารถเทียบได้กับความเจ็บปวดที่เธอต้องเผชิญในชีวิตที่แล้วได้

เมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนตั้งใจมาก ผู้เป็นพ่อก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

เขามองไปที่เสิ่นอี้โจว “อี้โจว เธอคิดยังไงเกี่ยวกับความคิดนี้ของชิงหยวน”

เสิ่นอี้โจวกับเซี่ยชิงหยวนมองหน้ากันด้วยสายตาที่อ่อนโยน “แน่นอนว่าผมสนับสนุนเธอ”

แม้ว่าเขาไม่รู้ว่าอะไรทำให้จู่ ๆ เธอเปลี่ยนไปถึงขนาดนี้ก็ตาม

เมื่อได้ยินแบบนั้น เซี่ยโยว่หมิงก็ยิ้มออกมา “มันเป็นธุรกิจระหว่างสามีภรรยา ในเมื่อตัดสินใจได้แล้ว เราก็จะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้” เขายกแก้วขึ้น “มาเถอะ เราสามคนมาดื่มกัน”

หัวข้อสนทนาจบลงอย่างมีความสุข ผู้หญิงลุกจากโต๊ะและผู้ชายยังคงดื่มต่อ

จางอวี้เจียวยังคงป้อนอาหารให้เด็ก ๆ กงเหลียนซินกับเซี่ยชิงหยวน เก็บจานและมาที่ห้องครัว

หวังผิงเดินตามมา

เธอพูดกับกงเหลียนซิน “ลูกสะใภ้ใหญ่ดูเหมือนว่าจะมีชามที่ยังเหลือที่โต๊ะ เธอไปเอามาหน่อย”

เห็นได้ชัดว่าเธอไล่สะใภ้ออกไป เพื่อที่แม่ลูกสาวจะได้พูดคุยกันตามลำพัง

กงเหลียนซินส่งสายตาเห็นใจให้เซี่ยชิงหยวนก่อนจะออกจากครัวไป

แน่นอนว่า หลังจากกงเหลียนซินจากไป หวังผิงก็พูดขึ้นทันที “ชิงหยวน บอกแม่มาว่าเป็นเพราะอี้โจวทำอะไรให้แกเสียใจใช่ไหม แกถึงต้องตามเขาไป”

เมื่อได้ยินคำพูดนั้น หญิงสาวก็ก้มหน้าล้างจานต่อพลางพูดโดยไม่เงยหน้าว่า “พวกเราสบายดีค่ะ ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล”

เมื่อเห็นลูกสาวของเธอไม่เต็มใจที่จะคุย หวังผิงก็เริ่มกังวล

เธอเดินตรงไปที่ด้านข้างของลูกสาว “แล้วทำไมแกถึงคิดจะตามเขาไปกะทันหันแบบนี้”

เมื่อต้องเผชิญกับคำถามของผู้เป็นแม่ เซี่ยชิงหยวนก็พูดไม่ออกเล็กน้อย “แม่ แม่พูดเองก่อนหน้านี้ว่าสามีภรรยาควรอยู่ด้วยกันไม่ใช่หรือ?”

หวังผิงเห็นว่า ท่าทีของเซี่ยชิงหยวนดูไม่เหมือนกับกำลังโกหกเธออยู่ ดังนั้นเธอจึงไม่ซักไซ้ต่อและพูดว่า “ช่างเถอะ แกไปที่นั่นก่อน แล้วค่อยให้น้องสาวของพี่สะใภ้รองของลูกตามไปดูว่าที่นั่นมีงานที่เหมาะสมกับเธอไหม”

“แม่!” เซี่ยชิงหยวนพูดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

เธอโยนตะเกียบลงในอ่าง “ฉันยังไม่ได้ไปด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้แม่กลับมอบหมายเรื่องนี้ให้ฉันแล้วเนี่ยนะ”

“แม่ไม่รู้ความคิดที่มีต่อเสิ่นอี้โจวของน้องสาวของพี่สะใภ้รองจริง ๆ เหรอคะ หรือว่าแม่แค่สับสน?”

หญิงสาวสะสมความไม่พอใจตั้งแต่กลับถึงบ้าน ความคับแค้นใจดำเนินมาถึงจุดสูงสุดแล้ว

เดิมทีเธอคิดว่า ตัวเองไม่สามารถอกตัญญูต่อพ่อแม่ได้ ดังนั้นเธอจึงพยายามที่จะเข้ากับพวกเขาให้ได้ในชีวิตนี้ แต่ตอนนี้มันช่วยไม่ได้แล้ว

ทว่าหวังผิงไม่ได้แยแสต่อคำพูดของลูกสาวเลย “ไม่ใช่ว่าฉันพูดไปแล้วเหรอ? สะใภ้รองทะเลาะกับพี่รองของแกที่บ้านทั้งวันเพราะเรื่องนี้ จนคนข้างนอกเขาดูถูกกันไปหมดแล้ว นี่มันไม่ใช่เรื่องดีเลย”

“แม่ควรสงสารพี่รองที่ต้องทนฟังเสียงนินทาอยู่ข้างนอกนั่น แล้วยังต้องกลับมาทะเลาะกับเมียที่บ้านอีก”

“ในฐานะน้องสาว แกควรช่วยอะไรบ้าง อีกอย่างมันเป็นแค่การแนะนำงานเท่านั้น แกไม่จำเป็นต้องดูแลเรื่องอาหารและที่พักของเธอด้วยซ้ำสักหน่อย ตราบใดที่อี้โจวของแกยังมั่นคง จะมีผู้หญิงคนอื่นเข้ามาแทรกได้ยังไง?”

“ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าอี้โจวหนีไปกับใครสักคนจริง ๆ มันก็เป็นเพราะความไม่ได้เรื่องของแกเอง ถ้าแกมีเวลาเที่ยวเตร่ ก็ควรท้องให้ได้เร็ว ๆ สิ จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียทีหลังแบบนี้!”

เซี่ยชิงหยวนมองตรงไปยังดวงตาของหวังผิง กลั้นน้ำตาไว้และพูดทีละคำ “แม่รู้ไหมว่ากำลังพูดอะไรอยู่!”

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

Status: Ongoing
หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ประสบอุบัติตุจนเสียชีวิต และเธอก็ได้ย้อนไปตอนที่เธออายุ 21 ปี …ลับมาครั้งนี้เธอจะไม่ยอมหย่ากับเสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธออีกเด็ดขาด!หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ช่วยเด็กชายคนหนึ่งเอาไว้จนประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตปีแล้วปีเล่าผ่านไป เสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธอก็มักจะมายี่ยมหลุมศพของเธอประจำ เธอในร่างวิญญาณออกปากไล่เขาทุกครั้งต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ยิน เขาจำไม่ได้เลยหรืออย่างไร ว่าเธอทำอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่แล้วเธอก็ได้ย้อนกลับมาใน ในวันที่เธออายุ 21 ปี แลยังไม่ได้หย่าขาดกับเสิ่นอี้โจว ในเมื่อเธอได้โอกาสอีกครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมหย่าเด็ดขาด ครั้งนี้เธอจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับเสิ่นอื้โจวได้จงได้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท