บทที่ 62 ไม่เหมือนเดิม
บทที่ 62 ไม่เหมือนเดิม
เซี่ยชิงหยวนไม่คาดคิดว่าจะมีเสียงของฉินซูอวี้ลอยออกมา
แต่เธอก็ตระหนักได้ว่า ที่นี่น่าจะเป็นสถานที่หวงห้ามสำหรับคนที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่เข้ามา
แต่ตอนที่เธอมาที่นี่ คนที่ชี้ทางไม่ได้บอกว่าเธอจะเข้ามาที่นี่ไม่ได้
อีกทั้งระหว่างทางที่ผ่านมาก็ไม่มีป้ายบอกว่าห้ามบุคคลภายนอกเข้า
ดังนั้นหญิงสาวจึงใช้เวลาเพียงครู่เดียวในการครุ่นคิดไปมา จากนั้นเธอก็คิดได้ว่า ตัวเองคงไม่สามารถเข้ามาที่นี่ได้ในระหว่างเวลานอกราชการ อีกทั้งยังไม่มีกฎตายตัว
แต่ตอนนี้ฉินซูอวี้กำลังจงใจทำให้เรื่องต่าง ๆ มันแย่ลง
เธอยินดีจะยอมรับความผิดพลาดของตัวเอง แต่จะไม่ยอมรับน้ำเสียงแข็งกร้าวของอีกฝ่ายอย่างแน่นอน
ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนจึงพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉันมาหาอี้โจว”
เมื่อได้ยินแบบนั้น ฉินซูอวี้ก็ยิ่งโกรธ “นี่ไม่ใช่สถานที่ที่คุณจะเข้ามาได้ตามใจชอบ ไม่รู้หรือไงคะ ใครให้คุณเข้ามา บอกชื่อเขามาเลยนะ เดี๋ยวฉันจะไปคุยกับหัวหน้าของคนคนนั้น!”
เซี่ยชิงหยวนหัวเราะเมื่อได้ยินสิ่งนี้
ไม่ว่ายังไงเธอก็ทำผิดก่อนจริง ๆ และเธอก็ไม่สามารถปฏิเสธสิ่งนี้ได้
จากนั้นเธอก็จ้องมองฉินซูอวี้ด้วยท่าทีที่ไม่ถ่อมตัวหรือเอาแต่ใจ “ฉันขอโทษค่ะ ฉันไม่รู้จริง ๆ ว่าเข้ามาที่นี่ไม่ได้”
ในเวลาเดียวกันนั้น เสิ่นอี้โจวก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว
คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน และแสดงน้ำเสียงด้วยความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด “ซูอวี้ เธอพูดเกินไปแล้ว”
จากนั้นเขามองผู้เป็นภรรยาอีกครั้ง และพูดด้วยน้ำเสียงสงบซึ่งแตกต่างกับที่พูดกับฉินซูอวี้มาก “คุณมาที่นี่ทำไมเหรอ”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้า จากนั้นก็ยกตะกร้าในมือขึ้น “ฉันทำบางอย่างมา…”
ฉินซูอวี้ยิ่งไม่สบอารมณ์เมื่อเห็นชายหนุ่มคุยกับอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนขนาดนั้น
เธอจึงเอ่ยขัดคำพูดของเซี่ยชิงหยวนว่า “แต่ที่นี่ไม่ใช่ว่าใครก็จะเข้ามาได้นะ!”
คิ้วของเสิ่นอี้โจวขมวดเข้าหากันยิ่งกว่าเดิม “นั่นเป็นเพียงกฎที่พวกเราพูดกันขึ้นมาเอง ชิงหยวนเพิ่งมาที่นี่ จึงเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ที่เธอจะไม่รู้”
แม้แต่โจวหยางก็ทนไม่ได้อีกต่อไปและก้าวไปข้างหน้าเพื่อพูดให้เซี่ยชิงหยวน ” ใช่แล้ว ซูอวี้ พี่สะใภ้ต้องได้รับการบอกกล่าวจากคนอื่นให้เธอมาที่นี่ และคนที่นำทางก็ไม่ได้บอกว่าพี่สะใภ้เข้ามาไม่ได้ อีกทั้งมันก็ไม่มีป้ายเตือน ดังนั้นเรื่องนี้คุณจะโทษพี่สะใภ้ไม่ได้”
อันที่จริง นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าใจได้
คนที่นำทางให้เซี่ยชิงหยวนอาจเห็นว่า เธอเป็นสมาชิกในครอบครัวของเสิ่นอี้โจว และนี่เป็นเวลาพักเที่ยง ดังนั้นเขาจึงคิดว่ามันจะเป็นปัญหาอะไร
ถึงอย่างไร เจ้าหน้าที่บางคนก็ไม่มีคนช่วยดูแลลูก ๆ ของพวกเขาที่บ้าน จึงเป็นเรื่องปกติที่พวกเขาจะพาลูก ๆ มาเลี้ยงที่ออฟฟิศระหว่างทำงานนอกเวลา
ดังนั้นคราวนี้จึงถือว่าฉินซูอวี้พูดเกินไปจริง ๆ
เมื่อเห็นว่าโจวหยางพูดสนับสนุนเซี่ยชิงหยวนด้วย ฉินซูอวี้ก็ยิ่งรู้สึกโมโหมากขึ้น
เธอจ้องไปที่โจวหยาง “นายเพิ่งรู้จักเธอได้ไม่กี่วัน ตอนนี้นายช่วยเธอพูดแล้วเหรอ? นายถูกเธอสะกดจิตแล้วหรือไง ถึงคิดว่าเธอดีไปซะทุกอย่างจนทำอะไรก็ไม่ผิดงั้นสิ?”
ครั้งสุดท้ายที่เซี่ยชิงหยวนมาที่สำนักงาน สำนักงานก็กลายเป็นมีชีวิตชีวา เพื่อนร่วมงานทั้งหลายต่างก็กระจายข่าวลือว่าเซี่ยชิงหยวนสวยเพียงใด และเหมาะสมกับเสิ่นอี้โจวมากแค่ไหน
ทุกครั้งที่ฉินซูอวี้คิดถึงดวงตาและการแสดงออกที่เปล่งประกายของเซี่ยชิงหยวน รอยยิ้มที่ดูเป็นมากยิ่งกว่ารอยยิ้ม หญิงสาวจะกัดฟันกรอดด้วยความเกลียดชัง
“ซูอวี้!” เสียงของเสิ่นอี้โจวกลายเป็นเย็นชา
สีหน้าของเขากลายเป็นไร้อารมณ์ มองไม่ออกว่าสุขหรือโกรธ
แต่เธอสัมผัสได้ชัดเจนว่าเขากำลังโกรธ
ชายหนุ่มมองไปที่ฉินซูอวี้ ดวงตาของเขาเย็นชาล้ำลึก “ขอโทษ ชิงหยวนซะ!”
ฉินซูอวี้มองไปที่เสิ่นอี้โจวด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “นายขอให้ฉันขอโทษเธอเหรอ? นี่มันเป็นความผิดของเธอชัด ๆ!”
เสิ่นอี้โจวตวาด “พอแล้ว! ชิงหยวนได้ขอโทษสิ่งที่เธอทำผิดพลาดไปแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาเธอขอโทษสำหรับสิ่งที่เพิ่งพูดไปแล้ว!”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่แน่วแน่ของเสิ่นอี้โจว ฉินซูอวี้ก็หันไปมองโจวหยาง
สีหน้าของโจวหยางเผยความไม่เห็นด้วยออกมา
ฉินซูอวี้มักจะมองว่าเสิ่นอี้โจวและโจวหยางเป็นคนของเธอมาโดยตลอด
แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นว่าเสิ่นอี้โจวไม่ได้อยู่ข้างเธอเลย และแม้แต่โจวหยางยังช่วยพูดให้เซี่ยชิงหยวน
ฉินซูอวี้โกรธมากและกระทืบเท้า “ก็ได้! ฉันผิด! ผู้หญิงคนนี้พูดถูกทุกอย่าง ฉันไปก็ได้!”
หลังจากพูดจบ เธอก็ถอดเสื้อคลุมสีขาวทิ้ง ผลักเซี่ยชิงหยวนและวิ่งออกไป
เซี่ยชิงหยวนถูกอีกฝ่ายผลักจนเซ แต่โชคดีที่เสิ่นอี้โจวมีหูตาฉับไวและมือที่เอื้อมคว้าร่างของเธอเอาไว้อย่างรวดเร็ว
ชายหนุ่มนวดตรงหว่างคิ้วของเขา โทสะฉายในแววตาของเขา แลดูจนปัญญาเช่นกัน “เธอมีอารมณ์ร้ายแบบนี้ตลอด คุณอย่าไปใส่ใจเลย”
เนื่องจากฉินซูอวี้ได้รับบาดเจ็บที่มือในวันนั้น เธอจึงได้โอกาสเข้าหาเขาและขอโทษ โดยบอกว่าเธอจะไม่ให้ถูกอารมณ์เข้าครอบงำอีก
แม้ชายหนุ่มจะรู้ว่าฉินซูอวี้ไม่ใช่คนที่ยอมแพ้อะไรง่าย ๆ แต่เธอก็ควบคุมพฤติกรรมของตัวเองได้ดีหลังจากนั้น ซึ่งทำให้เขาไม่สามารถว่าอะไรเธอได้
แต่ไม่คาดคิดว่า เมื่อเห็นเซี่ยชิงหยวนในวันนี้ เธอจะกลับมาเป็นแบบเดิมอีกครั้ง
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัว “ไม่เป็นไรค่ะ”
เธอไม่ถูกอารมณ์ครอบงำง่าย ๆ เพราะคนแบบนั้นหรอก
โจวหยางเห็นกล่องข้าวในตะกร้าสานของเซี่ยชิงหยวน จึงตระหนักได้ว่าเสิ่นอี้โจวมีอาหารกลางวันแล้ว เขาจึงล่าถอยไปพลางแอบขยิบตาให้หญิงสาว
“พี่เสิ่น พี่สะใภ้ พวกคุณคุยกันไปก่อนก็แล้วกัน ผมขอลงไปกินข้าวก่อน”
ทันทีที่โจวหยางจากไป สีหน้าของเสิ่นอี้โจวก็อ่อนลง
เขาหยิบตะกร้าของเซี่ยชิงหยวนขึ้นมา “วันนี้คุณทำอะไรอร่อย ๆ มาให้ผมเหรอ”
เมื่อเห็นเสิ่นอี้โจวนำเธอเข้าไปในห้อง เซี่ยชิงหยวนก็เกิดความลังเลขึ้นมา
ด้วยเครื่องมือที่ซับซ้อนและหน้าจอคอมที่มีข้อมูลเข้าใจยาก ทุกอย่างดูสำคัญจนเธอไม่กล้าเข้าไป
เสิ่นอี้โจวยิ้มให้เธอ “ไม่เป็นไร เราจะไปนั่งกันที่ข้าง ๆ ห้อง”
ว่าแล้ว เขาก็จับข้อมือเธอด้วยฝ่ามือใหญ่ แล้วดึงเธอเข้าไปในห้องปฏิบัติการ
ที่ข้างหน้าต่างมีโต๊ะทำงานขนาดเล็กวางเอกสารบางอย่างกองอยู่
เสิ่นอี้โจวจัดโต๊ะให้เรียบร้อย ปูผ้าที่เซี่ยชิงหยวนใช้คลุมกล่องข้าวบนโต๊ะ แล้วหยิบกล่องข้าวออกมา
เขาพูดว่า “ไหนมาดูหน่อยสิว่าวันนี้คุณทำอาหารอะไรมาให้ผม”
สิ่งแรกที่เขาเปิดคือกล่องข้าวที่มีเนื้อหมูสามชั้นตุ๋น กล่องนั้นเต็มไปด้วยหมูสามชั้นตุ๋นและซุป ชิ้นหมูสามชั้นที่มีขนาดใหญ่นั้นกินพื้นที่ส่วนมากของกล่อง และก็ยังเห็นเก๋ากี่ลอยอยู่บนน้ำซุปด้วย
เมื่อดมอย่างระมัดระวังจะได้กลิ่นหอมจาง ๆ ของสมุนไพรลอยออกมา
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “ฉันเห็นว่าคุณมีอาการไอในตอนกลางคืน วันนี้ฉันเลยซื้อหมูสามชั้นมาและใส่ส่วนผสมทางยาที่กระตุ้นการทำงานของม้ามและทำให้ปอดชุ่มชื้น ถ้าได้กินมันเข้าไปก็จะดีต่อร่างกาย”
เมื่อได้ยินแบบนี้ ดวงตาของเสิ่นอี้โจวเต็มไปด้วยความชื้นและมีความเศร้าเอ่อล้นออกมา
เขาลดสายตาลงมองกล่องข้าวในมือ และรู้สึกว่ามันหนักราวหนึ่งพันจิน
เขาสูดหายใจ หลังจากหลับตาและลืมตาขึ้นอีกครั้ง สีหน้าของเขาก็กลับคืนสู่ความสงบตามปกติ
มีรอยยิ้มประดับอยู่บนมุมปากของเขา “ขอบคุณที่ทำงานอย่างหนักนะชิงหยวน”
เซี่ยชิงหยวนเขินอายขึ้นมา “เราเป็นครอบครัวเดียวกัน แต่ก็ขอบคุณสำหรับสิ่งที่คุณพูดเหมือนกันนะคะ”
เธอช่วยเปิดกล่องข้าวอีกกล่อง ซึ่งเต็มไปด้วยข้าวขาวและสลัดผักเย็น “นี่คือข้าวกับอาหารเรียกน้ำย่อย หรือไม่คุณก็เก็บไว้เป็นอาหารเย็นได้”
เสิ่นอี้โจวหยิบกล่องข้าวมาวางด้วยกัน เขาหายใจเข้าลึก ๆ เมื่อเห็นมัน “มันหอมมาก”
เซี่ยชิงหยวนยื่นตะเกียบให้เขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “กินเลยสิคะ”
ชายหนุ่มหยิบตะเกียบแล้วถามว่า “แล้วคุณกินข้าวเที่ยงหรือยัง”
เซี่ยชิงหยวนส่ายหัว “ฉันยังไม่ได้กิน แต่ฉันดื่มซุปมาจากที่บ้านแล้วและยังไม่ค่อยหิวเท่าไหร่”
เธอรีบนำอาหารมาให้เสิ่นอี้โจว โดยไม่ได้กังวลเกี่ยวกับการกินของตัวเองเลย
หลังจากได้ยินสิ่งนี้ เสิ่นอี้โจวก็ผลักกล่องอาหารไปตรงหน้าเธอ “งั้นคุณกินก่อน”
เซี่ยชิงหยวนผลักกล่องอาหารกลับไป “ฉันทำให้คุณเป็นพิเศษทำไมฉันต้องกินก่อน ฉันจะกลับไปกินเองหลังจากนี้ไม่ต้องห่วง”
เธอเลิกคิ้ว “กินเร็ว ๆ ฉันอุตส่าห์ตื่นมาแต่เช้าเพื่อเตรียมมันเลยนะ”
เมื่อเห็นแบบนี้ เสิ่นอี้โจวก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากหยิบตะเกียบแล้วเริ่มกิน
และเมื่อคิดว่ายิ่งเขากินเสร็จเร็วเท่าไหร่ เซี่ยชิงหยวนก็จะกลับไปกินอาหารกลางวันได้เร็วเท่านั้น เขาจึงเร่งความเร็วในการกินของตัวเอง
เขาหยิบหมูสามชั้นชิ้นหนึ่งใส่ปาก
เนื้อหมูสามชั้นถูกตุ๋นจนนุ่ม เพียงเคี้ยวนิดเดียวเนื้อก็ละลายแล้ว
หมูสามชั้นเจือกลิ่นหอมของส่วนผสมสมุนไพร ทำให้ได้รสชาติที่กลมกล่อมเป็นพิเศษ
หากไม่นับขาหมูที่หล่นพื้นแล้วถูกล้างในหมู่บ้านซีสุ่ย นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้กินอาหารของเซี่ยชิงหยวนตั้งแต่กลับมาเกิดใหม่
เซี่ยชิงหยวนไม่ค่อยทำอาหารเพราะเธอไม่ชอบตัวเองที่ทำได้ไม่ดี
ไม่รู้ว่าความทรงจำบิดเบือนไปหรือเปล่า แต่เขารู้สึกว่าอาหารที่เซี่ยชิงหยวนปรุงในตอนนี้มีรสชาติแตกต่างจากเมื่อชาติที่แล้ว
เมื่อเห็นความเร็วในการกินของเขาช้าลง เซี่ยชิงหยวนก็ถามว่า “เกิดอะไรขึ้น ไม่อร่อยเหรอคะ?”
เสิ่นอี้โจวส่ายหัว “เปล่า มันอร่อยดี”
ว่าแล้วเขาก็ซดน้ำแกงอีกอึกใหญ่
เมื่อเห็นแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนยิ้มอย่างมีความสุข
จากนั้นเธอก็พูดว่า “สำหรับคนทำอาหาร การได้ดูคนอื่นกินอย่างมีความสุขเป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจที่สุด”
เธอเอียงศีรษะและขยับเข้าใกล้เขามากขึ้น “อี้โจว ฉันอยากทำอาหารให้คุณทุกวันเลย ได้ไหมคะ?”