กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี – บทที่ 138 ความลับอันน่าตกตะลึง

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

บทที่ 138 ความลับอันน่าตกตะลึง

บทที่ 138 ความลับอันน่าตกตะลึง

เติ้งซูอี้จะพูดอะไรได้อีก?

เธอยังจะขอให้เสิ่นอี้หลินเรียกเธอว่าน้าต่อหน้าเซี่ยชิงหยวนได้อีกหรือ?

น้ากับป้าก็รุ่นราวคราวเดียวกัน แต่เซี่ยชิงหยวนกลับจงใจให้เสิ่นอี้หลินเรียกเธอว่าป้า!

หญิงวัยกลางคนรู้สึกขุ่นเคืองใจ แต่เธอรู้ตัวว่าตัวเองไม่ควรจะโต้เถียงกับภรรยาของเลขาธิการประจำศาลากลาง

เธอทำได้เพียงยิ้มแห้ง ๆ และพูดว่า “ก็ได้ ก็ได้”

ในใจของเธอ เซี่ยชิงหยวนถูกจัดว่าเป็นผู้หญิงที่พูดคุยด้วยยากและปากคอเราะรายมาก

จากนั้นเธอก็พูดต่อว่า “จู่ ๆ ฉันนึกขึ้นได้ว่ามีบางอย่างต้องทำที่บ้าน เพราะงั้นฉันขอตัวก่อนแล้วกันนะ”

หลังจากพูดจบ เติ้งซูอี้ก็จากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก

เซี่ยชิงหยวนมองตามหลังอีกฝ่ายและส่ายหัว

เสิ่นอี้หลินถาม “พี่สะใภ้ นั่น…ป้าคนนั้นเป็นคนไม่ดีเหรอ?”

เซี่ยชิงหยวนครุ่นคิด “พี่ก็ไม่รู้ว่าเธอดีหรือไม่ดี แต่พี่แค่ไม่ชอบที่อีกฝ่ายชอบมายุ่มย่ามกับบ้านเรามากเกินไป ส่วนความคิดของคนประเภทนั้น เขาอาจจะคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่อันที่จริงบางครั้งคำพูดของพวกเขาก็สามารถสร้างคลื่นลูกใหญ่ได้นะ”

เช่นเดียวกับเมื่อชาติที่แล้วที่เธอปล่อยเช่าบ้านหลังหนึ่ง โดยมีสามีภรรยาคู่หนึ่งมาเช่าอยู่และให้กำเนิดลูกคนที่สอง

คนโตเป็นลูกสาว และครอบครัวก็รักลูกชายคนสุดท้องมาก

แต่พ่อแม่ของเด็กทั้งสองก็พยายามอย่างดีที่สุดที่จะรักษาสมดุลระหว่างความรักที่มีต่อลูกสองคน

ถึงอย่างนั้น เพื่อนบ้านปากเสียคนหนึ่งของพวกเขาก็พูดกับลูกสาวคนโตในวันหนึ่งว่า

“พ่อแม่ของเธอจะไม่รักเธออีกต่อไปเมื่อพวกเขามีน้องชายคนเล็ก พวกเขาจะไม่ต้องการเธอในไม่ช้า”

คำพูดนี้ฝังลึกอยู่ในจิตใจของเด็กหญิง และในที่สุดก็ไม่อาจสลัดหลุด

อยู่มาวันหนึ่ง เด็กหญิงโยนน้องชายลงบันได ในขณะที่ผู้ใหญ่ในครอบครัวกำลังเดินเล่นอยู่ข้างนอก

จากนั้นเป็นต้นมา ครอบครัวที่เคยมีความสุขกลับพังทลายลง

คนแม่กลายเป็นบ้า ฝ่ายแม่สามีก็บังคับให้หย่าและผู้เป็นพ่อก็ย้ายกลับไปยังบ้านเกิด

เพื่อนบ้านคนนั้นกลับพูดประชดประชันว่า “ฉันก็แค่พูดเฉย ๆ ไม่ได้บอกให้นังเด็กนั่นโยนน้องลงบันไดเสียหน่อย!”

บางครั้งคำพูดของคนคนหนึ่งก็สามารถฆ่าคนได้แม้จะมองไม่เห็นก็ตาม

ส่วนเพื่อนบ้านคนนั้น เมื่อเธอลองคิดตามหลักเหตุผลแล้ว มันย่อมไม่ใช่การกระทำโดยเจตนาอย่างแน่นอน

แต่อีกฝ่ายก็อาจจะมีความมุ่งร้ายต่อสิ่งสวยงามที่ไม่ใช่สิ่งของของตนก็เป็นได้

จากประสบการณ์ของเธอ เซี่ยชิงหยวนไม่อาจทนต่อคนพรรค์นี้ได้

หลังจากได้ยินคำพูดของเซี่ยชิงหยวน หลินตงซิ่วก็รู้สึกละอายใจ

เพราะถึงอย่างไร เธอก็ไม่ได้เอ่ยปฏิเสธอีกฝ่ายออกไปตั้งแต่แรก

เธอพูดว่า “ชิงหยวน แม่ขอโทษ แม่แค่…”

เมื่อเห็นหลินตงซิ่วเป็นแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนก็กล่าวโพล่งขึ้นมา “ไม่เป็นไรค่ะคุณแม่ แม่แค่ไม่รู้จักเธอมาก่อนเท่านั้นเอง ถ้าเธอกลับมาครั้งหน้า แม่ก็แค่หาเหตุผลเดินหนีไปก็ได้ค่ะ”

“เข้าใจแล้วจ้ะ” หลินตงซิ่วฟังและพยักหน้าเข้าใจ

ตั้งแต่มาถึงเมืองเตียนเฉิง หลินตงซิ่วก็เตือนตัวเองเสมอด้วยประโยคหนึ่ง นั่นคือ อย่าสร้างปัญหาให้ลูกชายกับลูกสะใภ้

ดังนั้นเมื่อเซี่ยชิงหยวนบอกว่าอย่ากังวลกับมัน นั่นก็แปลว่ามันจะไม่เป็นอะไร

หลังจากเซี่ยชิงหยวนทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย เมื่อเห็นว่ายังไม่สายเกินไป หญิงสาวจึงขี่รถสามล้อพาหลินตงซิ่วกับเสิ่นอี้หลินไปดูถนนหนทางข้างนอก

หลินตงซิ่วกับเสิ่นอี้หลินนั่งอยู่ที่เบาะหลังของรถสามล้อ หญิงวัยกลางคนกลับรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย

ไม่รู้ว่ากี่ครั้งแล้วที่เธอพูดกับเซี่ยชิงหยวนว่า “ชิงหยวน ทำไมไม่ให้แม่ลงไปเดินแทนล่ะ ตัวแม่หนักนะ”

เซี่ยชิงหยวนดูผอมมาก เธอกังวลว่าตัวเองกับลูกชายคนเล็กจะตัวหนักเกินไป และทำให้ลูกสะใภ้ลำบาก

ทว่าเซี่ยชิงหยวนย่อมไม่หยุด “ไม่เป็นไรค่ะแม่ ก่อนหน้านี้หนูขนผักหนักประมาณหนึ่งร้อยจินตลอด”

หลินตงซิ่วกับเสิ่นอี้หลินเป็นคนรูปร่างผอมบาง ดังนั้นเซี่ยชิงหยวนจึงไม่ได้ออกแรงในการขี่เท่าไหร่

เสิ่นอี้หลินรั้งหลินตงซิ่วไว้ “แม่แค่ฟังพี่สะใภ้ก็พอน่า”

ตอนนี้เขาชื่นชมพี่สะใภ้คนนี้มาก และพร้อมจะทำทุกอย่างตามที่เซี่ยชิงหยวนพูด

เมื่อหลินตงซิ่วได้ยินเสิ่นอี้หลินพูดแบบนี้ เธอก็ไม่ได้พูดอะไรอีก

เธอเพียงแค่นั่งอยู่บนเบาะหลัง ประคองตัวด้วยแขนทั้งสองข้าง ขณะยกก้นขึ้นโดยไร้เสียง

เธอคิดว่าการทำแบบนี้ จะช่วยเซี่ยชิงหยวนผ่อนน้ำหนักลงได้

พอก้าวลงจากรถ ขาเธอก็อ่อนล้ากว่าเดิม

เซี่ยชิงหยวนพาพวกเขาไปที่ตลาดขายผัก

เธอชี้ไปยังบริเวณที่ตัวเองมักจะขายสลัดเย็นและเอ่ยว่า “ปกติหนูจะตั้งแผงขายอาหารที่นี่ ตอนนี้ก็ขอให้อี้โจวช่วยมองหาหน้าร้านที่เปิดเช่าอยู่ เวลาขายของจะได้สะดวกมากขึ้นค่ะ”

หลินตงซิ่วมองดูตลาดขายผักที่มีผู้คนเดินขวักไขว่ไปมา จากนั้นก็ลอบคิดว่าอีกฝ่ายจะขายสลัดเย็นได้วันละเท่าไหร่

อีกทั้งหญิงสาวยังบอกว่าจะเช่าหน้าร้านขายสำหรับขายอาหาร จึงทำให้เธอเริ่มเป็นกังวล

หลินตงซิ่วถามด้วยเสียงอันแผ่วเบา “ถ้าจะเช่าร้านค้าต้องจ่ายเงินเท่าไหร่เหรอจ๊ะ?”

เซี่ยชิงหยวนคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “ถ้าเป็นร้านที่มีพื้นที่มากกว่าสิบตารางเมตร ก็น่าจะมากกว่าหนึ่งร้อยหยวนต่อเดือนค่ะ”

แม้เมืองเตียนเฉิงจะเป็นเมือง แต่ก็ยังด้อยกว่าพวกเมืองที่ได้รับการพัฒนาแล้ว และมณฑลอวิ๋นก็ตั้งอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ค่าเช่าจึงไม่สูงมากนัก

เมื่อหลินตงซิ่วได้ยินว่าค่าเช่ามากกว่าหนึ่งร้อยหยวน ซึ่งสูงกว่าเงินเดือนก่อนหน้านี้ของเสิ่นอี้โจวมาก เธอก็อดไม่ได้ที่จะเคร่งเครียด

แต่แม่สามียังจำได้ว่าเซี่ยชิงหยวนบอกกับเธอก่อนหน้านี้ว่า กำไรต่อวันจากการขายสลัดผักเย็นนั้นอยู่ที่วันละสามสิบถึงสี่สิบหยวน ดังนั้นเธอจึงไม่พูดอะไรอีก

ลูกหลานมีพรเป็นของตัวเอง ดังนั้นเธอจะช่วยเหลือถ้าเธอทำได้และไม่สนใจสิ่งใด

จากนั้นพวกเขาก็เดินเล่นอยู่ในตลาดขายผักกันอีกพักหนึ่งและซื้อผักกลับบ้าน

ในขณะที่ทำอาหารกลางวัน หลินตงซิ่วถามว่า “แม่ไม่รู้ว่าที่นี่มันไกลจากที่ทำงานของอี้โจวไหม แต่คงจะดีถ้าแม่สามารถไปส่งอาหารที่นั่นได้”

เช่นเดียวกับมนุษย์แม่ทุกคนในโลกนี้ เธอเป็นห่วงว่าลูก ๆ จะกินอาหารอิ่มท้องหรือไม่

เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “มันค่อนข้างไกลค่ะ แต่ถ้าคุณแม่อยากจะทำอาหารให้อี้โจว หนูจะเอาไปส่งให้นะคะ”

หลินตงซิ่วยิ้ม “ดีเลย”

เซี่ยชิงหยวนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็โทรหาสำนักงานของเสิ่นอี้โจว สักพักใหญ่ก็มีชายหนุ่มมารับสาย

เสียงของชายคนนั้นทุ้มนุ่มและมีเสน่ห์ จากนั้นเขาก็ถามอย่างสุภาพมากว่า “สวัสดีครับ สำนักงานของเลขาธิการเสิ่นครับ”

เซี่ยชิงหยวนนิ่งงันอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดว่า “ฉันเป็นสมาชิกในครอบครัวของเลขาธิการเสิ่นค่ะ ไม่ทราบว่าเขาอยู่ที่นั่นหรือเปล่าคะ?”

คนที่อยู่ปลายสายชะงักไปครู่หนึ่งเช่นกัน ก่อนจะตอบว่า “เลขาฯ เสิ่นต้องออกไปทำธุระบางอย่างข้างนอกครับ ไม่ทราบว่าต้องการฝากข้อความให้ผมแจ้งในภายหลังไหมครับ?”

เซี่ยชิงหยวนหันไปมองที่ทางด้านหลัง ซึ่งก็คือหลินตงซิ่วที่ยุ่งอยู่ในครัว จากนั้นเธอจึงพูดว่า “ช่วยบอกเขาว่าฉันจะเอาอาหารกลางวันไปให้เขาตอนเที่ยงทีนะคะ”

น้ำเสียงของชายปลายสายเหมือนกำลังยิ้ม แต่มันไม่ใช่แบบเย้ยหยัน

เขาตอบว่า “ตกลงครับ ผมจะบอกให้”

หลังจากนั้นไม่นาน เซี่ยชิงหยวนก็ขี่รถสามล้อไปส่งอาหาร

เสี่ยวหลิวเคยพาเธอมาที่ศาลากลางแล้ว ยามเฝ้าประตูจึงจำเธอได้และพาหญิงสาวขึ้นไปชั้นสองด้วยความกระตือรือร้นอย่างมาก

เวลานี้คือช่วงพักเที่ยงของทุกคน

ดังนั้น ภายในตึกสำนักงานจึงไม่มีใครอยู่เลย

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยพาเธอขึ้นไปที่ชั้นสองและจากไปทันที เซี่ยชิงหยวนเดินไปตามทางเดินในความทรงจำครั้งที่แล้ว ซึ่งไม่นานนักเธอก็ไปถึงสำนักงานของเสิ่นอี้โจว

เธอหยุดที่หน้าประตูห้องทำงาน และกำลังจะเคาะประตูแต่กลับมีเสียงสนทนาแว่วมาจากข้างใน

เธอเพิ่งเห็นว่าประตูไม่ได้ล็อก

เซี่ยชิงหยวนจึงนึกได้ว่าเธออาจได้ยินความลับบางอย่างที่ไม่เหมาะสมก็เป็นได้ ดังนั้นเธอจึงหันกลับไปอย่างรวดเร็วและกำลังจะจากไป

ทว่าทันทีที่เธอหันหลังกลับ คำว่า ‘หมอ’ และ ‘นรีเวชวิทยา’ ก็ลอยมาเข้าหูเธอ

ฝีเท้าของเซี่ยชิงหยวนถูกตรึงไว้ตรงนั้น

เธอตั้งใจฟังอย่างอดไม่ได้

เธอได้ยินชายสูงอายุคนหนึ่งพูดว่า “นี่เป็นข้อมูลติดต่อของสูตินรีแพทย์คนนั้น ถ้าวันหนึ่งคุณจะไปที่เมืองหลวงของมณฑล ก็โทรหาเขาล่วงหน้าหนึ่งวันนะ”

จากนั้นเสิ่นอี้โจวก็กล่าวว่า “ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณเลขาธิการหยวนมากครับ”

คนที่ถูกเรียกว่าเลขาธิการหยวนยิ้มและพูดว่า “ผมได้ยินจากหยางฉุนอี้ ว่าหลังจากมาถึงที่นี่เพียงสองอาทิตย์ คุณก็สร้างผลงานได้แล้ว ผมเชื่อว่าในอนาคต คุณจะได้ไปทำงานที่เมืองหลวงของจังหวัดได้ดีแน่นอน…”

เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับการสนับสนุนของเลขาฯ หยวนนะครับ”

หยวนหงหลี่กล่าวอีกครั้ง “หากคุณไร้ความสามารถ ไม่ว่าเราจะต้องการสนับสนุนคุณมากแค่ไหน ก็ไม่มีอะไรที่เราทำได้หรอก!”

จากนั้นเขาก็หยุดพูดเล็กน้อย “จริงสิ คุณให้ผมแนะนำเด็กหนุ่มที่มีพรสวรรค์ให้กับคุณใช่ไหม? เอาล่ะ คราวนี้ผมพามาด้วยสองคน”

เขาพูดอีกครั้ง “ซิงอวี่ เป็นคนที่คุณเพิ่งพบเขาไป เขาจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชิงหวาเมื่อปีที่แล้ว ดังนั้นจึงถือได้ว่าเขาเป็นรุ่นน้องของคุณ คราวนี้ผมพาพวกเขามาที่นี่เพื่อให้ได้มีประสบการณ์การทำงานสักปีหรือสองปี”

จากนั้นเสียงคุ้นเคยที่เซี่ยชิงหยวนเคยได้ยินทางโทรศัพท์ก็ดังขึ้น “เลขาธิการเสิ่น สวัสดีครับ”

เสิ่นอี้โจวไม่ได้พูดทันที

หยวนหงหลี่ยิ้มและพูดว่า “คุณต้องพอใจกับหนุ่ม ๆ ที่ผมหามาให้แน่ ๆ แต่ไม่ต้องห่วงหรอกนะ ผมถามมาให้คุณแล้ว ซิงอวี่ยังโสดและพ่อแม่ก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ อีกทั้งยังใจกว้างมาก สาวม่ายที่คุณเคยพูดถึงก่อนหน้านี้ ถ้ามีเวลาว่าง คุณลองให้พวกเขามาพบปะกันหน่อยก็ดีนะ”

เซี่ยชิงหยวนยืนนิ่งอยู่ด้านนอกประตู จิตใจของเธอว่างเปล่าไปชั่วขณะ

คำปฏิเสธที่มีต่อเธอของเสิ่นอี้โจวกับที่เขาบอกว่าจะเก็บสินสอดของเธอไว้ตั้งแต่เมื่อเดือนก่อน ล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องราวในครั้งนี้อย่างนั้นหรือ?

ดังนั้น ตอนที่เสิ่นอี้โจวกลับไปที่หมู่บ้านซีสุ่ยครั้งที่แล้ว เพราะเขาได้ตัดสินใจแล้วว่าจะหย่ากับเธออย่างนั้นเหรอ?

ตอนที่จัดการปัญหากับตู้อวิ๋นเซิงแล้ว เขาทำทีเป็นเมินเฉยและตกลงจะหย่ากับเธอ

แต่สาเหตุที่เขายอมปล่อยเธอไปก่อนหน้านี้ เป็นเพราะกลัวว่าจะหาบ้านให้เธอไม่ได้อย่างนั้นเรอะ!

หัวใจของเธอรู้สึกหนาวเหน็บและลามลงไปถึงปลายเท้าของเธอ

กล่องข้าวกลางวันในมือของเธอเกือบจะร่วงลงไปที่พื้น

น้ำตาของเธอไหลริน แต่เธอกลับกล้ำกลืนมันลงไป

เธอเริ่มสงสัยว่าความสุขในช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ผ่านมานี้เป็นเพียงเพราะเสิ่นอี้โจวต้องการกล่าวคำอำลาครั้งสุดท้ายกับเธอหรือไม่

เซี่ยชิงหยวนหันหลังกลับและลงไปชั้นล่างด้วยความงุนงง ราวกับว่าเธอไม่มีสติสตังอยู่กับตัว

เมื่อเห็นว่าเซี่ยชิงหยวนยังคงถือกล่องข้าวกลางวันอยู่ในมือ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงถามว่า “คุณนาย คุณได้พบกับเลขาธิการเสิ่นหรือยังครับ?”

เซี่ยชิงหยวนตระหนักว่าเธอมาถึงประตูทางออกแล้ว

เธอกลืนน้ำลายลงคอแล้วพูดว่า “อืม รบกวนช่วยเอาข้าวกล่องนี้ขึ้นไปให้เขาทีหลังจากฉันกลับไปนะคะ”

สุดท้ายเธอก็พูดว่า “อีกอย่าง อย่าบอกเขานะว่าฉันขึ้นไปแล้ว”

หลังจากพูดจบ เธอก็วางกล่องข้าวกลางวันในมือของเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ก่อนจะขี่สามล้อและจากไปโดยไม่หันกลับมามอง

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี

Status: Ongoing
หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ประสบอุบัติตุจนเสียชีวิต และเธอก็ได้ย้อนไปตอนที่เธออายุ 21 ปี …ลับมาครั้งนี้เธอจะไม่ยอมหย่ากับเสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธออีกเด็ดขาด!หลังจากหย่าร้างกับอดีตสามีมาสิบปี เชี่ยชิงหยวนก็ได้ช่วยเด็กชายคนหนึ่งเอาไว้จนประสบอุบัติเหตุจนเสียชีวิตปีแล้วปีเล่าผ่านไป เสิ่นอี้โจวดีตสามีของเธอก็มักจะมายี่ยมหลุมศพของเธอประจำ เธอในร่างวิญญาณออกปากไล่เขาทุกครั้งต่อีกฝ่ายกลับไม่ได้ยิน เขาจำไม่ได้เลยหรืออย่างไร ว่าเธอทำอะไรกับเขาไว้บ้าง แต่แล้วเธอก็ได้ย้อนกลับมาใน ในวันที่เธออายุ 21 ปี แลยังไม่ได้หย่าขาดกับเสิ่นอี้โจว ในเมื่อเธอได้โอกาสอีกครั้งนี้ เธอจะไม่ยอมหย่าเด็ดขาด ครั้งนี้เธอจะสร้างครอบครัวที่อบอุ่นกับเสิ่นอื้โจวได้จงได้

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท