ตอนที่ 35 ผมชอบหล่อน
ตอนที่ 35 ผมชอบหล่อน
หลังอาหารเย็น เฉินเจียเหอได้ย้ายจักรเย็บผ้าไปที่ห้องตะวันตก หู่จือเองก็วิ่งเข้ามาดูหลินเซี่ยที่กำลังจะทำชุดให้เขา
“นี่ ถอดชุดบุนวมของเธอออกก่อน ฉันจะวัดขนาดตัวของเธอหน่อย”
วันนี้หลินเซี่ยซื้อสายวัดตัวและชอล์กเพื่อนำมาวัดขนาดตัวของหู่จือ และวางแผนที่จะทำชุดให้เขาโดยเฉพาะ
เธอมองไปที่เฉินเจียเหอแล้วถามว่า
“คุณยังมีเครื่องแบบทหารชุดเก่าที่บ้านไหม? ถ้ามีเอาออกมาให้ฉันดูเป็นแบบหน่อยค่ะ”
ในความทรงจำของเธอ เครื่องแบบทหารมีหลายสไตล์ และเธอต้องตัดมันอย่างระมัดระวังเพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยรายละเอียด
มันไม่เหมาะสมนักที่จะสร้างเครื่องแบบทหารที่เหมือนกับของในอนาคตให้หู่จือสวมใส่
“มี เดี๋ยวผมไปหามันมาให้” เฉินเจียเหอควานหาเครื่องแบบทหารตัวเก่าในตู้ หู่จือที่เดิมทีตั้งตารอเสื้อผ้าชุดใหม่ ตอนนี้เขาเต็มไปด้วยความสงสัยเกี่ยวกับทักษะการตัดเย็บของหลินเซี่ย
เขาไม่เชื่อว่าแม่เลี้ยงคนนี้จะมีทักษะการตัดชุด
เฉินเจียเหอดึงชุดทหารออกมา และยื่นให้เธอ
หลินเซี่ยพิจารณารูปแบบชุดทหารและการตัดเย็บเพื่อศึกษา
“หู่จือ อย่ามองฉันด้วยสีหน้าแบบนั้นได้ไหม? ฉันความจำดีนะ และทำมันได้ด้วยการมองเพียงครั้งเดียว”
หู่จือไม่ได้พูดอะไร แต่เขายังคงเก็บความสงสัยไว้ในใจ
หลังจากตรวจสอบรูปแบบการตัดเย็บแล้ว หลินเซี่ยก็เริ่มตัดผ้า
นอกจากนี้หู่จือยังมาช่วยดึงผ้าให้ด้วย
หลังจากตัดแล้ว เธอก็นั่งที่จักรเย็บผ้าและเริ่มเย็บ
…
เฉินเจียเหอถูกโจวลี่หรงเรียกไปที่ห้องตะวันออก เพื่อพูดคุยกันตามลำพัง
ทันทีที่เฉินเจียเหอเข้ามา เขาปิดประตูและมองโจวลี่หรง ก่อนพูดอย่างจริงจังว่า “แม่ ถ้าแม่ยังกังวลเกี่ยวกับหลินเซี่ยและผม ผมหวังว่าแม่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้อีกต่อไปแล้วล่ะ ผมแต่งงานกับหล่อนแล้ว ผมจะรับผิดชอบหล่อนเอง และจะไม่มีวันเปลี่ยนใจ”
“งานของถังหลิงถูกโอนมายังเมืองไห่เฉิงแล้ว” โจวลี่หรงมองเขาและพูดออกมาโดยตรง
แม้ได้ยินชื่อของถังหลิง แต่ท่าทางของเฉินเจียเหอกลับไม่เปลี่ยนไปเลย “แล้วมันเกี่ยวอะไรกับผม?”
“หล่อนยังโสดอยู่ แถมยังถามถึงแกในทันทีที่กลับมา และบอกว่าเต็มใจยอมรับหู่จือด้วย นั่นหมายความว่าหล่อนยังมีความรู้สึกดีต่อแกอยู่ เข้าใจหรือเปล่า?”
โจวลี่หรงพูดคำเหล่านั้นออกมาด้วยความมั่นใจ
หล่อนเชื่อว่าถังหลิงมีความสำคัญในใจลูกชายเสมอ
“แม่ ไม่ว่าหล่อนจะโสดหรือเปล่ามันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผม ผมแต่งงานแล้ว”
คำพูดของเฉินเจียเหอทำให้โจวลี่หรงหายใจไม่ออก
หล่อนลดเสียงลงและพูดอย่างจริงจังว่า
“แม่รู้นะว่าที่หล่อนไม่อยากอยู่กับแกก็เพราะหู่จือ เหตุการณ์นี้กระทบกระเทือนและทำให้แกไม่พอใจ แต่นั่นมันก็ผ่านไปนานแล้ว ตอนนี้พวกแกทั้งสองต่างก็ยังโสดและไม่ใช่เด็กอีกต่อไป สามารถจัดการกับปัญหาทางอารมณ์แบบผู้ใหญ่มากขึ้นแล้ว หล่อนเองก็ทบทวนเรื่องนี้แล้ว ไม่สนว่าแกจะมีลูกติดอายุห้าขวบหรือไม่ แม่หวังว่าแกจะจัดการเรื่องที่นี่ และสานสัมพันธ์กับหล่อนอีกครั้งหลังจากกลับไป แต่งงานและอยู่ร่วมกันฉันท์สามีภรรยา เป็นคู่รักที่ภูมิหลังทางสังคมที่เข้ากันได้ถือเป็นสิ่งสำคัญ”
“แล้วแม่กับพ่อมีภูมิหลังคล้ายกันเหรอ? แต่ก็อยู่มาด้วยกันตั้งหลายปีไม่ใช่หรือไง?” เฉินเจียเหอไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับคำพูดของโจวลี่หรง
เมื่อลูกชายพูดถึงหล่อนและพ่อของเขา โจวลี่หรงก็รู้สึกอับอายในทันที
“จริงอยู่ที่เราแก่เฒ่าไปด้วยกัน แต่ลูกคิดว่ามันง่ายดายสำหรับแม่เหรอ กับการอยู่ในตระกูลเฉินตลอดหลายปีที่ผ่านมา? เพราะว่าแม่มาจากชนบท ผู้คนตั้งมากมายต่างคิดว่าแม่ไม่คู่ควรกับพ่อ แม้แต่พี่สะใภ้ก็ยังไม่ให้ความเคารพกันเลยด้วยซ้ำ! มีเพียงแม่เท่านั้นที่ต้องทนต่อความขมขื่นมานานหลายปี ช่วยเหลือพ่อไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง รู้ไหมว่าแม่อึดอัดแค่ไหน?”
เฉินเจียเหอมองดูแม่ของตัวเองที่กำลังอ่อนไหวพลางกล่าวอย่างใจเย็น “แม่ แต่พ่อไม่เคยร้องขอให้แม่ช่วยเลย พ่อรักแม่มาโดยตลอด เป็นแม่เองต่างหากที่อ่อนไหวเกินไป”
“ฉันเป็นคนอ่อนไหวงั้นเหรอ? นั่นเป็นเพราะแกไม่ได้มองจากมุมของฉันไง ตอนนี้หลินเซี่ยไม่มีอะไรเลย ตัวตนของหล่อนน่าอับอายมาก ถ้าแกแต่งงานกับหล่อน แล้วเราจะสู้หน้ากับตระกูลเสิ่นและตระกูลเซี่ยได้อย่างไร? ในอนาคตหล่อนจะรู้สึกต่ำต้อยไม่เหมาะกับฐานะทางสังคมของครอบครัวเรา ซึ่งมันจะส่งผลเสียต่อหล่อนเอง นอกจากนี้ยังมีผู้คนจากครอบครัวของหล่อนอีก แม้ฉันจะไม่ได้กลับมาหมู่บ้านนี้บ่อยนัก แต่ก็ได้ยินมานานแล้วถึงพฤติกรรมของหลินเอ้อร์ฝูและคนอื่น ๆ ญาติที่ยากจนเหล่านั้นจะกลายเป็นภาระในอนาคต แกกับหล่อนยังไม่ได้จดทะเบียนสมรส จึงยังไม่ถือว่าเป็นคู่สามีภรรยา ฟังแม่นะ การแต่งงานครั้งนี้มันผิดตั้งแต่แรกเริ่มแล้ว อย่าทำผิดแบบเดิมอีก และรีบหยุดมันซะ เข้าใจไหม?”
เฉินเจียเหอรู้สึกโกรธกับคำพูดของแม่ เขาลุกขึ้นและกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “แม่ อย่ายัดเยียดความคิดของตัวเองให้กับคนอื่น หลินเซี่ยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลเสิ่นอีกต่อไป ไม่ว่าหลินเซี่ยจะแต่งงานกับใคร มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับตระกูลเสิ่น ผมไม่ได้คุ้นเคยกับตระกูลเสิ่นด้วยซ้ำ พวกเขาเป็นครอบครัวของน้องสะใภ้ และผมไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความรู้สึกของพวกเขา ส่วนตระกูลเซี่ย… ผมเชื่อว่าลุงเซี่ยจะเข้าใจ”
ไม่ว่าโจวลี่หรงจะพยายามโน้มน้าวใจอย่างไร เฉินเจียเหอก็ไม่คิดจะเปลี่ยนใจ
โจวลี่หรงถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายและถามเขาว่า “เฉินเจียเหอ ทำไมถึงแต่งงานกับหล่อนล่ะ? ทำไมถึงอยากทำให้คนในครอบครัวอับอาย?”
“ผมชอบหล่อน” เฉินเจียเหอมองโจวลี่หรงพลางตอบเสียงหนักแน่น
โจวลี่หรงตกใจกับคำตอบนี้
ไม่ว่าเป็นใครก็ต้องตกใจ
ด้วยไม่คิดว่าลูกชายผู้เย็นชาและเก็บตัวคนนี้จะพูดคำว่าชอบได้อย่างตรงไปตรงมา
ในความทรงจำของหล่อน ตั้งแต่เล็กจนโต เขาไม่เคยบอกเลยว่าชอบผู้หญิงคนไหนมาก่อน
แม้แต่กับถังหลิง ก็เป็นเหล่าผู้อาวุโสเองที่คิดว่าพวกเขาเหมาะสมกัน
โจวลี่หรงรู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่ง และถามอย่างเร่งรีบ “แกรู้จักกับหล่อนตอนที่เราอยู่เมืองไห่เฉิงใช่ไหม?”
“ใช่ ผมชอบหล่อนมานานแล้ว”
โจวลี่หรงมองเฉินเจียเหอด้วยสีหน้างุนงง ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน
เขาอายุเกือบสามสิบปีแล้ว แต่กลับมาบอกว่าชอบเด็กสาวที่อายุน้อยกว่า นี่เขามีรสนิยมแบบนี้หรือ?
บางทีมันอาจเป็นความเห็นอกเห็นใจของผู้อาวุโสที่มีต่อผู้เยาว์
“วันนี้แม่ได้ยินคนเขาคุยกันที่บ้านเอ้อร์เลิ่งว่า เดิมทีหลินเซี่ยต้องแต่งงานกับคนขายหมู แต่แล้วแกกลับไปขอหล่อนแต่งงาน ทำให้ตระกูลหลินเปลี่ยนใจ ถ้าแกแค่ต้องการช่วยหล่อนให้รอดพ้นจากสถานการณ์ดังกล่าว แม่ก็พอเข้าใจได้ แต่ไม่เห็นต้องใช้วิธีสุดโต่งแบบนี้เลย ปล่อยให้แม่จัดการเอง แม่จะขอคนรู้จักหางานให้หล่อนทำในเมือง…”
“ไม่จำเป็น”
เฉินเจียเหอขัดจังหวะ เขามองโจวลี่หรงด้วยสีหน้าจริงจังและพูดอย่างหนักแน่นว่า “ผมอายุสามสิบปีแล้ว ตัดสินใจเรื่องในชีวิตตัวเองได้ ผมตระหนักรู้ดีถึงความต้องการที่จะแต่งงานกับหล่อน และหวังว่าแม่จะยอมรับหลินเซี่ยเป็นลูกสะใภ้ เช่นเดียวกับหู่จือที่ไม่ว่าแม่จะยอมรับหรือไม่ก็ตาม เขาก็เป็นลูกชายของผม และเป็นหลานชายของแม่ โชคชะตาไม่ยุติธรรมกับพวกเขามากพอแล้ว ในฐานะผู้อาวุโสกว่า โปรดอย่าบีบบังคับพวกเขามากเกินไปนักเลย”
หลังโจวลี่หรงรับฟังคำเตือนของลูกชาย หล่อนก็รู้สึกขุ่นเคืองมาก
“เมื่อห้าปีก่อนแกก็ไม่ฟังฉัน ยอมตัดสัมพันธ์กับฉันเพื่อเห็นแก่หู่จือ ตอนนี้แกก็ยังมาต่อต้านฉันอีก ช่างเป็นลูกชายที่แสนดีจริง ๆ!”
“แม่ไม่สามารถเปลี่ยนการตัดสินใจของผมเมื่อห้าปีก่อนได้ ตอนนี้ก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน!” เฉินเจียเหอสบตาหล่อนโดยตรง ซึ่งแสดงออกอย่างชัดเจนว่าเขาพร้อมที่จะยืนหยัดเผชิญหน้ากับหล่อน
โจวลี่หรงทุบโต๊ะด้วยความโกรธ “เราจะได้เห็นดีกัน ฉันจะไม่ปล่อยให้ตัวภาระทั้งสองมาทำลายแกเด็ดขาด”
“สหายโจวลี่หรง หากคุณกล้าทำร้ายพวกเขา อย่ากล่าวโทษหากผมไม่คิดว่าคุณเป็นแม่อีกต่อไป” เฉินเจียเหอเตือนด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“แก…”
หลินเซี่ยกำลังมุ่งความสนใจกับจักรเย็บผ้า ขณะที่หู่จือกำลังดูอยู่ด้านข้าง แต่เริ่มมีอาการสัปหงกเป็นครั้งคราว
วันนี้เด็กน้อยคงเหนื่อยจากการซื้อของ…
หลินเซี่ยอุ้มเขาไปวางบนเตียงเตา ถอดเสื้อผ้าและกางเกงบุนวมออก แล้วปล่อยให้เขานอนก่อน
ภายในห้องเงียบสงบ มีเพียงเสียงจักรเย็บผ้าที่ดังขึ้นเป็นจังหวะ ท่ามกลางความเงียบนั้น เสียงการเคลื่อนไหวจากภายนอกเริ่มขยายกว้าง
เธอได้ยินเสียงทะเลาะกันจากห้องตะวันออก…
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อย่าให้ลูกพูดแทงใจดำตัวเองบ้างนะคุณแม่ มันจะเจ็บแสบกว่าหลายเท่าเลยนะ เพราะสตอรี่ของคุณแม่ก็ใช่ย่อยเหมือนกันนะคะ มีสิทธิ์อะไรไปกีดกันลูก
ไหหม่า(海馬)