ตอนที่ 73 อย่าไปสนใจจอมเสแสร้งคนนั้นเลย(1)
ตอนที่ 73 อย่าไปสนใจจอมเสแสร้งคนนั้นเลย(1)
เสิ่นเสี่ยวเหมยเดินตามถังหลิงออกไป เฉินเจิ้นเจียงและโจวลี่หรงมีสีหน้าน่าเกลียดยิ่งกว่าเก่า
เรื่องที่เป็นอยู่ยังไม่วุ่นวายพออีกเหรอ?
ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้ยังชักศึกนอกบ้านเข้ามาปะปนกับเรื่องร้อนใจภายในอีก
เฉินเจียซิ่งสัมผัสได้ถึงสายตาอันเย็นชาของพ่อแม่ จึงกะพริบตาถี่อย่างรู้สึกผิด “ผมจะออกไปตามเสี่ยวเหมย”
วันนี้ที่บ้านเต็มไปด้วยความโกลาหล เฉินเจียเหอจึงวางแผนจะพาหลินเซี่ยและหู่จือกลับก่อนกำหนด
“พ่อ แม่ พวกเรากลับก่อนนะครับ”
เฉินเจิ้นเจียงพูดว่า “ไว้ค่อยกลับหลังอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก็ได้”
“ไม่เป็นไรครับ เรากลับไปกินข้าวกันเองได้”
บรรยากาศที่บ้านอึมครึมเกินไป แม้แค่เฉินเจียเหอเองยังอึดอัดมาก ไม่ต้องพูดถึงหลินเซี่ยที่เพิ่งจะมาเหยียบบ้านหลังนี้เป็นครั้งแรก
เฉินเจิ้นเจียงเรียกเฉินเจียเหอไว้ก่อน ถามด้วยเสียงแผ่วเหมือนกระซิบ “เดี๋ยวก่อน เธอสองคนยังไม่ได้ไปจดทะเบียนสมรสกัน จะย้ายไปอยู่ด้วยกันเลยได้ยังไง?”
เฉินเจียเหออธิบาย “ทันทีที่โรงงานเปิดทำการ ผมจะขอเอกสารรับรองทันที”
ใบหน้าของเฉินเจิ้นเจียงดูซีดเซียว เหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่างอีก แต่เฉินเจียเหออุ้มเด็กไว้และจูงมือหญิงสาวอีกคนเรียบร้อยแล้ว พร้อมจะออกไปข้างนอก “ไปก่อนนะครับ”
หลินเซี่ยอำลาทุกคนอย่างสุภาพ “คุณลุง คุณป้า ไปก่อนนะคะ”
“ไปเถอะ ครั้งหน้าค่อยให้เจียเหอพาเธอมาที่นี่ใหม่”
ด้วยมารยาท เฉินเจิ้นเจียงจึงยังต้องตอบกลับหลินเซี่ยอย่างสุภาพ
หลังออกมาจากบ้านตระกูลเฉินแล้ว ใบหน้าของหลินเซี่ยยังคงเคร่งเครียดจริงจังไม่หาย ขณะนั่งอยู่บนรถประจำทาง ก็เหม่อมองออกไปนอกหน้าต่างโดยไม่พูดอะไรสักคำ
เฉินเจียเหอนั่งอยู่ข้างเธอ เมื่อเห็นว่าอารมณ์ของเธอค่อนข้างจะหดหู่ ก็เกิดความกังวล และรีบอธิบายเสียงดังว่า “เซี่ยเซี่ย ผมกับถังหลิงไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันจริง ๆ”
หลินเซี่ยเหลือบมองเขาด้วยสีหน้าสงบ “ฉันรู้ค่ะ”
วันนี้เธอไปที่บ้านของเขาเป็นครั้งแรก แต่ต้องเผชิญกับทัศนคติของครอบครัวเขาที่ไม่แยแสต่อเธอเลยสักนิด
เขาเดาว่าเธอคงอารมณ์เสียเพราะเรื่องนี้
วันนี้ที่จริงแล้วเขาไม่ควรรีบร้อนพาเธอกลับบ้านเลย
ยิ่งเฉินเจียเหอเห็นท่าทางของเธอ ก็นึกโทษตัวเองขึ้นมาอีกครั้ง
ทันทีที่เขาได้ยินว่าอาการป่วยของน้องชายแย่ลง เขาก็สูญเสียความตั้งใจเดิม จนเผลอทำร้ายจิตใจเธอเข้าโดยไม่ตั้งใจ
ไม่แปลกที่หลินเซี่ยจะพลอยรู้สึกแย่ตามไปด้วย
อาจเป็นเพราะในครอบครัวของเขามีผู้ป่วย บรรยากาศในตระกูลเฉินจึงเต็มไปด้วยความกดดันตลอดเวลา ไม่แปลกที่คนนอกจะพยายามหลีกหนีให้ไกล
นอกจากนี้ สมาชิกตระกูลเฉินบางคนยังนิสัยเสีย และทำตัวไม่น่ารักเอาเสียเลย
พอลงจากรถประจำทางแล้ว พวกเขาก็เดินเท้าต่อไปไปข้างหน้าประมาณ 100 เมตร จนเจอกับอาคารพักอาศัยของบุคลากรในโรงงานยานยนต์
เมื่อพวกเขามาถึงบ้าน หู่จือก็วิ่งไปที่สนามหญ้าส่วนกลางทันทีที่ลงจากรถ
เฉินเจียเหอถือกระเป๋าเดินทาง เดินพร้อมกับจับมือของหลินเซี่ยตามความเคยชิน แต่คราวนี้เธอชักมือหนี “แค่เดินไปตามทางเอง ทำไมต้องจับมือด้วย?”
เธอกลัวว่าอาจเดินไปเจอคนรู้จักของเฉินเจียเหอ แล้วจะรู้สึกกระดากอายจนทำตัวไม่ถูก
ดวงตาของเฉินเจียเหอหรี่ลง ท้ายที่สุดก็ยอมเดินเคียงข้างเธอเฉย ๆ
โคมไฟสีแดงขนาดใหญ่หลายคู่แขวนอยู่เหนือประตู บ่งบอกถึงบรรยากาศของวันปีใหม่อย่างชัดเจน
เวลานี้ด้านล่างบริเวณลานส่วนกลางของครอบครัวคึกคักมาก วันหยุดตรุษจีนแบบนี้ โรงงานยังไม่เปิดทำการ พนักงานทุกคนต่างก็ยุ่งกับการตระเวนอวยพรปีใหม่ญาติ ๆ และเพื่อนฝูง
หู่จือวิ่งเข้าไปในลานส่วนกลาง เมื่อเจอเพื่อนบ้านที่คุ้นเคยกันดี ก็เข้าไปทักทายทุกคนอย่างสุภาพและกล่าวสวัสดีปีใหม่
เพื่อนบ้านหลายคนที่สวมเสื้อผ้าตัวใหม่และถือกล่องของขวัญเตรียมจะออกไปอวยพรปีใหม่ พากันควักเงินอั่งเปาให้กับหู่จืออย่างกระตือรือร้น
หากเปรียบเป็นที่ดิน หู่จือก็ได้ยึดครองโฉนดที่ดินไว้หลายผืนในมือ
ทันทีที่เฉินเจียเหอและหลินเซี่ยก้าวเข้าไปในลานส่วนกลาง การมาของพวกเขาก็ดึงดูดความสนใจของทุกคน
ดวงตาของทุกคนจับจ้องไปที่หลินเซี่ย
“เฉินกงกลับมาแล้วเหรอ?”
“สุขสันต์วันปีใหม่นะเฉินกง”
“เฉินกงกลับจากบ้านเกิดแล้วเหรอ?”
เฉินเจียเหอพยักหน้า “ครับ ผมกลับไปบ้านเกิดเพื่อเยี่ยมคุณตาคุณยาย”
โดยปกติแล้วเฉินเจียเหอจะเป็นคนสันโดษ ประกอบกับการที่เขามีตำแหน่งเป็นแกนหลักของฝ่ายช่างเทคนิคประจำโรงงาน คนงานทั่วไปที่ไม่ใช่ระดับหัวหน้าจึงไม่กล้าเข้าใกล้เขา
ดังนั้น แม้ว่าใครหลายคนจะสงสัยเกี่ยวกับตัวตนของผู้หญิงที่ติดตามเขามา แต่ก็กระดากอายเกินกว่าจะถาม
หลังจากที่พวกเขาเดินจากไปแล้ว ทุกคนก็เริ่มถกเถียงกันว่าเธอใช่ลูกพี่ลูกน้องของเขาจากชนบทที่เขาพาเข้ามาในเมืองเพื่อหางานทำหรือเปล่า?
แต่เธอดูไม่เหมือนเป็นสาวบ้านนอกเลยนะ
ไม่มีใครคาดเดาไปในทิศทางว่าเธอคือภรรยาของเขา
ขณะที่ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อพูดคุยกระซิบกระซาบ ทันใดนั้นหู่จือก็เห็นเสี่ยวฮวากำลังเดาะลูกขนไก่อยู่หน้าบ้าน
เขาตะโกนบอกเสี่ยวฮวาด้วยความตื่นเต้น “เสี่ยวฮวา ฉันมีแม่เลี้ยงแล้ว”
“อะไรนะ?” เสี่ยวฮวาถึงกับผงะ ลูกขนไก่ร่วงตกลงกับพื้น
หู่จือชี้ไปที่หลินเซี่ย ก่อนจะประกาษให้เสี่ยวฮวารับรู้อีกครั้ง “นั่นไงแม่เลี้ยงของฉัน สวยไหม?”
เมื่อหู่จือพูดจบ เพื่อนบ้านก็อุทานขึ้นมาทันที “อะไรนะ? นั่นภรรยาของเฉินกงเขาเรอะ?”
“หล่อนดูอายุประมาณสิบเจ็ดสิบแปดเท่านั้นเอง ฉันคิดว่าเป็นลูกพี่ลูกน้องของเขาซะอีก”
“พระเจ้าช่วย พวกเขาแต่งงานกันเงียบ ๆ เหรอเนี่ย น่าประหลาดใจจริง ๆ”
“ไม่ยักรู้มาก่อนเลยว่าเฉินกงเขาชอบแม่สาววัยกระเตาะแบบนี้”
เสี่ยวฮวาไม่มีแก่ใจไปเก็บลูกขนไก่ด้วยซ้ำ หล่อนรีบวิ่งกลับบ้านของตัวเองโดยไม่ลังเล
เมื่อได้ยินบทสนทนาอื้ออึงเบื้องหลัง หลินเซี่ยรู้สึกเขินอายมากจนแทบอยากแทรกแผ่นดินหนี
เธอดูเด็กขนาดนั้นเลยเหรอนี่?
พนักงานของโรงงานยานยนต์ที่นี่ช่างสรรหาเรื่องมานินทาจริง ๆ
เฉินเจียเหอเร่งฝีเท้าแล้วพาเธอขึ้นไปชั้นบน
อาคารพักอาศัยของพนักงานคล้ายบังกะโลสองชั้นขนาดเล็ก สภาพโดยรวมค่อนข้างเก่า
บันไดอยู่ด้านนอก ประตูมีรั้วรอบขอบชิด
ห้องชุดของแต่ละครอบครัวจะมีสองห้องพร้อมด้วยห้องครัวและห้องน้ำ
พอขึ้นไปถึงชั้นบนแล้ว เขาก็เดินไปหยุดอยู่หน้าห้อง หยิบกุญแจออกมาเปิดประตูอย่างรวดเร็ว
ครอบครัวสามคนเข้าไปข้างใน ก่อนจะประตูตามเสียงดังปัง แยกตัวเองออกจากข่าวซุบซิบภายนอก
หลังจากเข้าไปในห้องเรียบร้อยแล้ว เฉินเจียเหอก็วางสัมภาระลง ด้วยกลัวว่าหลินเซี่ยจะไม่ชินกับสังคมแบบนี้ จึงพูดกับเธอว่า “คุณแกล้งทำเหมือนว่าไม่ได้ยินเสียงพวกนั้นก็แล้วกัน”
หลินเซี่ยยิ้มและพยักหน้า “ค่ะ”
“บ้านหลังนี้มีสองห้องนอน ผมกับหู่จือนอนอยู่ในห้องเดียวกัน แล้วก็มีห้องครัวซึ่งผมไม่ค่อยได้ใช้งาน เพราะปกติแล้วผมกับหู่จื่อจะกินอาหารในโรงอาหารเป็นหลัก”
“แล้วตอนที่คุณไม่อยู่ล่ะคะ?” หลินเซี่ยถาม
เฉินเจียเหอตอบว่า “ถ้าผมจำเป็นต้องไปทำงานนอกสถานที่ ก็จะพาเขาไปฝากไว้ที่อื่น”
เฉินเจียเหอพาเธอเดินไปรอบบ้าน อาจเป็นเพราะพื้นที่ใช้สอยภายในห้องชุดนี้ค่อนข้างเล็ก ทำให้ไม่มีเฟอร์นิเจอร์มากนัก ยกเว้นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในชีวิตประจำวัน
เมื่อเข้าไปในห้องนอน ยังไม่ทันที่เฉินเจียเหอจะพูดอะไรบางอย่าง เขาบังเอิญเหลือบไปเห็นกางเกงชั้นในของตัวเองที่โยนทิ้งไว้ลวก ๆ บนเตียงก่อนจะออกจากบ้านเมื่อปีที่แล้วโดยบังเอิญ จึงรีบสาวเท้ายาว ๆ เข้าไป แล้วเหยียดแขนยาวออก ขยำมันยัดลงในกระเป๋ากางเกง
หลินเซี่ยเดินตามไปข้างหลัง เนื่องจากร่างสูงของเขาขวางไว้ ทำให้ไม่แน่ใจว่าเขาหยิบอะไรขึ้นมาจากเตียงแล้วยัดลงในกระเป๋ากันแน่ ดวงตาของเธอจ้องไปที่กระเป๋ากางเกงซึ่งปูดออกของเฉินเจียเหอ และถามด้วยสีหน้างุนงง “คุณทำอะไรน่ะ?”
“เปล่าซะหน่อย” เฉินเจียเหอใช้มือข้างหนึ่งบังกระเป๋ากางเกงตัวเองไว้ “เข้ามาดูสิ”
“พ่อวางกางเกงในไว้บนเตียง เขาคงกลัวว่าคุณจะเห็น ก็เลยยัดมันซ่อนไว้ในกระเป๋า” ทันใดนั้นหู่จือก็เดินมาจากด้านหลังเธอ พูดกับหลินเซี่ยอย่างตรงไปตรงมา
เฉินเจียเหอ “!!!”
เขามองดูลูกชายขวานผ่าซากคนนี้ซึ่งมักจะฉีกหน้าเขาอยู่เสมอ คำรามลอดไรฟันว่า “ไปทำความสะอาดห้องของตัวเองไป”
ว่าแล้วก็ผลักหู่จือออกไปทันที
เฉินเจียเหอมองดูหญิงสาวที่ยังคงมีใบหน้าสดใส ก่อนจะกระแอมไอเพื่อกลบเกลื่อน แล้วพูดว่า
“ห้องนอนนี้อาจจะดูเรียบง่ายไปสักหน่อย ตู้เสื้อผ้าก็เล็กด้วย ไว้อีกหน่อยเราค่อยหาซื้อเฟอร์นิเจอร์บางส่วนมาเพิ่ม หรือจะซื้ออย่างอื่นก็ได้แล้วแต่คุณต้องการ ถึงยังไงเราก็จะอยู่บ้านนี้อีกไม่นานแล้ว ช่วงครึ่งปีหลังจะได้ย้ายเข้าไปอยู่ในพื้นที่ของโรงงานแห่งใหม่ ถึงตอนนั้นน่าจะมีห้องว่างเหลือเฟือ”
“จริงเหรอคะ? ถ้าอย่างนั้นก็อยู่อย่างนี้กันไปก่อน ยังไม่ต้องซื้อของชิ้นใหญ่”
อารมณ์ของหลินเซี่ยกลับมาเป็นปกติแล้ว เฉินเจียเหอลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก และพาเธอไปชมห้องต่อ
ในห้องครัวมีหม้อและกระทะ ทั้งหมดสภาพยังดูดี ราวกับว่าไม่ได้ผ่านการใช้งานมาอย่างหนัก
เฉินเจียเหอบอกว่า “ผมว่าจะออกไปซื้อผักที่ตลาดซะหน่อย เราจะได้ทำกับข้าวกินกัน”
ขณะที่เขากำลังพูดอยู่นั้น ก็มีใครคนหนึ่งมาเคาะประตู
“คุณดูห้องไปก่อนนะ เดี๋ยวผมจะไปเปิดประตู”
เฉินเจียเหอเดินไปเปิดประตูให้ เห็นว่าชายวัยกลางคนสวมแว่นตาคนหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้า
“เสี่ยวเฉิน กลับมาแล้วเหรอ?”
เฉินเจียเหอตอบกลับ “เหล่าหยาง ผมเพิ่งกลับมาเมื่อกี้นี้เองครับ”
เหล่าหยางมองเข้าไปในห้อง แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ผมขอเข้าไปได้ไหม?”
“เชิญครับ” เฉินเจียเหอก้าวถอยไปเพื่อหลีกทางให้
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
หู่จือเอ๊ย ไว้หน้าพ่อบ้างลูก พ่อกำลังจะทำคะแนนในใจสาวอยู่
ไหหม่า(海馬)