ตอนที่ 77 คนชั่วมาหา(1)
ตอนที่ 77 คนชั่วมาหา(1)
วันนี้ทั้งวันได้กินโจ๊กรองท้องไปแค่อย่างเดียว ทำให้ตอนนี้หลินเซี่ยหิวไส้กิ่ว ตั้งใจว่าจะเข้าครัวทำอาหารแต่หัววัน
เธอล้างมือ แล้วพูดกับเฉินเจียเหอว่า “ฉันจะทำบะหมี่เอง คุณหั่นเนื้อกับหั่นผักก็แล้วกัน”
“ได้”
ความจริงแล้วเฉินเจียเหอไม่เคยทำอาหารมาก่อนเลย อย่างมากก็แค่ช่วยคุณยายจุดเตาตอนที่เขากลับไปบ้านเกิด แต่เมื่อหลินเซี่ยสั่งงาน เขาจึงตอบสนองอย่างจำยอม จัดแจงล้างผักและหั่นเนื้อโดยดี
เพียงแต่การเคลื่อนไหวของเขาออกจะงุ่มง่าม ไม่รู้วิธีการหั่นวัตถุดิบ เนื้อสัตว์นุ่มลื่นจึงไถลไม่ยอมถูกมีดหั่นแต่โดยดี จังหวะนั้นนิ้วหัวแม่มือของเขาแทบจะถูกหั่นแทน
หลินเซี่ยทำเส้นบะหมี่เสร็จแล้วก็หยิบใส่กะละมัง เมื่อเห็นเนื้อชิ้นหนาที่เฉินเจียเหอหั่น ก็พูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ทำไมถึงหั่นชิ้นหนาแบบนั้นล่ะ เดี๋ยวก็ไม่สุกกันพอดี”
“เดี๋ยวฉันทำเอง”
เมื่อเผชิญกับสีหน้าท่าทางไม่ได้ดั่งใจของหญิงสาว เฉินเจียเหอก็รู้สึกอับอายเล็กน้อย เขาวางมีดทำครัว ยกหลังมือขึ้นถูจมูก จากนั้นก็หลบไปยืนอยู่ด้านข้าง รู้สึกราวกับตัวเองเป็นคนไร้ประโยชน์
หลินเซี่ยหยิบมีดทำครัวขึ้นมา แล้วจับชิ้นเนื้อมาหั่นเป็นชิ้นบาง ๆ อีกสองครั้ง
ส่วนเขาก็เอาแต่ยืนนิ่ง ไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อไปดี
หลินเซี่ยบอกว่า “คุณช่วยฉีกเห็ดออกเป็นชิ้น ๆ หน่อย แล้วเอาไปลวกในน้ำเดือด”
“โอ้ ได้” เฉินเจียเหอหยิบหม้อมาต้มน้ำอย่างรวดเร็วแล้วฉีกเห็ดออกเป็นชิ้น
หลังจากฉีกเสร็จทั้งหมดแล้ว เขาก็ยกไปให้หลินเซี่ยดูพลางถามอย่างระมัดระวัง “แบบนี้ได้ไหม?”
หลินเซี่ยพยักหน้า “ได้ ดูดีเลยล่ะ”
หลังจากได้รับคำตอบเป็นการยืนยัน ในที่สุดเฉินเจียเหอก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก รีบเทเห็ดลงไปลวกในหม้อ
ขณะที่หลินเซี่ยกำลังหั่นเนื้อและผักเป็นชิ้นเล็ก ก็เหลือบมองการเคลื่อนไหวที่งุ่มง่ามของเฉินเจียเหอขณะทำกับข้าวไปด้วย ถามเบา ๆ “คุณทำอาหารไม่เป็นเหรอ?”
เฉินเจียเหอกลัวว่าคำตอบอาจทำให้เธอไม่ชอบใจ จึงตอบว่า “อีกหน่อยผมจะพยายามเรียนรู้ให้มากขึ้น”
“ไม่เป็นไร คุณตั้งใจทำงานอย่างเดียวก็พอ ไม่จำเป็นต้องพยายามทำอะไรแบบนี้ ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉัน ถ้าแม่กับเสี่ยวเยี่ยนย้ายมาเมื่อไหร่ พวกเราค่อยไปกินข้าวกับหล่อนก็แล้วกัน”
เตาแก๊สในครัวของเฉินเจียเหอมีแค่เตาเดียว จึงหยิบบะหมี่ลงไปลวกพร้อมกันในหม้อลวกเห็ดเลย แล้วใช้กรวยตักเส้นขึ้นมาใส่น้ำเย็น ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นกระทะผัด
หลังจากผัดทุกอย่างเสร็จก็ใส่เส้นบะหมี่ลงไป
พอบะหมี่ผัดพร้อมเสิร์ฟแล้ว เฉินเจียเหอก็เทมันลงในชาม หลินเซี่ยไปยืนอยู่ที่หน้าต่างแล้วมองลงไป
ลานกว้างด้านล่าง ผู้หญิงสองสามคนยังคงฝึกซ้อมระบำยางเกอต่อไปอย่างงุ่มง่าม เมื่อพวกหล่อนได้ยินหลินเซี่ยเรียกหู่จือให้ขึ้นไปกินข้าว ทุกคนก็สูดจมูกดมตามกลิ่นแล้วพูดว่า “ที่แท้กลิ่นนี้ก็มาจากบ้านของเฉินกงนี่เอง”
พี่สาวจางรู้ว่าเฉินเจียเหอทำอาหารไม่เป็น เขาแทบไม่เคยเปิดเตาเข้าครัว นานทีปีหนจะเห็นใช้หม้อหรือกระทะสักที เขามักจะกินข้าวในโรงอาหารเสมอ
หล่อนยิ้มพร้อมพูดกับหู่จือว่า “หู่จือ แม่เลี้ยงของเธอนี่ทำกับข้าวเก่งจริง ๆ เลยนะ”
“ใช่ฮะ หล่อนเก่งมากจริง ๆ ไม่ว่าอะไรก็ทำได้ทั้งนั้น แถมยังตัดเสื้อผ้าตัวใหม่ให้ผมใส่ได้ด้วย”
หลังจากที่หูจื่อพูดจบ เขาก็วิ่งตัวปลิวออกไปด้วยความภาคภูมิใจ “ผมกลับบ้านไปกินบะหมี่ผัดก่อนนะ”
เดิมทีแขนขาของหวังซิ่วฟางก็ไม่สอดประสานรับกันอยู่แล้ว ที่มาอยู่ตรงนี้เพราะถูกบังคับให้ฝึกซ้อมสำหรับแข่งขันการแสดงในโรงงาน อารมณ์เต็มไปด้วยความหดหู่ ไม่แปลกที่จะเต้นไม่ได้สักที
เมื่อได้กลิ่นหอมฟุ้งลอยมาจากห้องของเฉินเจียเหอ คนอื่น ๆ ก็กระตือรือร้นที่จะกลับไปทำกับข้าวเช่นเดียวกัน
พี่สาวจางบอกว่า “เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อน แยกย้ายกลับบ้านไปทำกับข้าวก่อนแล้วกัน แล้วค่อยมาฝึกซ้อมต่อในวันพรุ่งนี้”
พอหู่จือกลับมาแล้ว หลินเซี่ยก็ช่วยเขาล้างมือ จากนั้นสมาชิกครอบครัวทั้งสามก็นั่งกินบะหมี่ผัด
สองพ่อลูกตักเข้าปากชิมไปได้คำเดียว ก็รีบยกนิ้วให้หลินเซี่ย
พออิ่มเอมและอิ่มท้องไปกับของอร่อย หู่จือก็หันไปพูดกับเฉินเจียเหอว่า “พ่อฮะ ในที่สุดผมก็ไม่ต้องกินแกงจืดผักกาดขาวในโรงอาหารของพ่อทุกวันแล้ว”
เฉินเจียเหอพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “น้าเซี่ยเซี่ยของลูกไม่ได้มาอยู่ที่นี่เพื่อทำกับข้าวให้พวกเรากินแค่อย่างเดียว หล่อนยังมีงานของตัวเองที่ต้องทำ อีกหน่อยถ้าหล่อนงานยุ่ง เราก็ยังต้องไปกินข้าวที่โรงอาหารอยู่ดี”
“อ้อ”
“กินเยอะ ๆ นะ ตราบใดที่มีเวลา ฉันสัญญาว่าจะทำอาหารอร่อย ๆ ให้เธอกินทุกวัน”
หลังจากกินข้าวเสร็จ เฉินเจียเหอก็ไปล้างจานอย่างขยันขันแข็ง หู่จือที่อิ่มแปล้หยิบผ้าขี้ริ้วมาเช็ดโต๊ะอย่างมีความสุข
หลินเซี่ยเดินเข้าไปในห้อง ตั้งใจว่าจะเปลี่ยนผ้าปูที่นอนกับผ้านวมของเดิมออกเพื่อนำไปซักในตอนกลางคืน
ยังไม่ทันที่เฉินเจียเหอจะหยิบหม้อมาล้าง ใครคนหนึ่งก็มาเคาะประตู
เขาผูกผ้ากันเปื้อนแล้วเดินไปเปิดประตูให้
คนที่ยืนอยู่นอกประตูคือเลขานุการจาง สีหน้าเขาแปลกแปร่งไปเล็กน้อยเมื่อเห็นว่าเฉินเจียเหอสวมผ้ากันเปื้อน
“โอ้ กำลังทำหน้าที่พ่อบ้านอยู่เหรอ?”
“เลขาจาง ทำไมถึงมาที่นี่ล่ะครับ?”
เลขานุการจางกระแอมไอ ละสายตาจากผ้ากันเปื้อนกลับไปมองหน้าเขา “ผมมีธุระต้องมาพบคุณน่ะสิ”
“เชิญเข้ามาก่อนครับ”
เลขานุการจางมองไปทางห้องด้านหลัง แล้วถามด้วยเสียงแผ่วเบา “ได้ยินว่าคุณพาภรรยากลับมาด้วยเหรอ?”
เฉินเจียเหอพยักหน้า “ครับ”
“แต่โรงงานยังไม่เปิดทำการ ไม่มีใครออกเอกสารรับรองให้ แสดงว่าพวกคุณยังไม่ได้จดทะเบียนสมรสกันน่ะสิ?” เลขานุการจางเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องนี้
เฉินเจียเหออธิบาย “หล่อนยังไม่ได้รับบัตรประจำตัวเลยครับ ผู้อำนวยการก็ยังไม่กลับมา ผมเลยตั้งใจว่าจะไปหาคุณหลังจากโรงงานเปิดทำการแล้ว”
เมื่อได้ยินว่าเขายังไม่ได้จดทะเบียนสมรส เลขานุการจางก็พูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เสี่ยวเฉิน ถ้าอย่างนั้นคุณคงต้องแยกห้องนอนกับผู้หญิงคนนี้”
“ถ้ายังไม่ได้จดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้อง หนุ่มสาวจะนอนร่วมเตียงกันไม่ได้ นี่เป็นเรื่องของกฎหมาย ถ้าฝ่าฝืนดึงดันจะอยู่ด้วยกันให้ได้ แล้วมีใครมาแจ้งความก็จะส่งผลเสีย”
พอเฉินเจียเหอได้ยินแบบนี้ ใบหน้าหล่อเหลาของเขาก็เปลี่ยนไปทันที “เลขาจางครับ เราสองคนแต่งงานกันตั้งแต่ตอนที่อยู่ในชนบทแล้ว ถ้ายึดตามพฤตินัย ผมแต่งงานกับหล่อนแล้วโดยชอบธรรม”
“แต่เรายังต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ยึดตามทะเบียนสมรสเป็นหลัก ช่วงเปลี่ยนผ่านแบบนี้จะทำผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาด”
เลขานุการจางมองเฉินเจียเหอด้วยสีหน้าเคร่งขรึม จำใจพูดออกมาตามตรง “ความจริงแล้วถ้ายังไม่ได้จดทะเบียนสมรสกัน คุณไม่ควรพาหล่อนมาอยู่ด้วยกันตั้งแต่แรก แต่ตอนนี้ไหน ๆ หล่อนก็มาแล้ว ถ้ายังหาที่อยู่ข้างนอกไม่ได้ก็คงต้องนอนที่นี่ไปก่อน แต่แยกห้องนอน คุณไปนอนกับหู่จือ”
เฉินเจียเหอรู้กฎเกณฑ์และระเบียบวินัยในโรงงานเป็นอย่างดี
เขาควรปฏิบัติตาม ไม่อย่างนั้นอาจก่อให้เกิดปัญหาตามมา
แต่ว่า…
เขายังอดกังวลไม่ได้
ไม่ใช่ว่าเขาใจร้อนหรืออยากทำอะไรรุ่มร่ามกับผู้หญิงคนนี้
เขาแค่ไม่มั่นใจ และหวาดกลัว
กลัวเหลือเกินว่าถ้าพวกเขาแยกกันอยู่ ความสัมพันธ์ที่เพิ่งก่อเกิดขึ้นมาใหม่จะกลายเป็นเหมือนฟองสบู่ที่แตกง่าย
เมื่อเห็นว่าเฉินเจียเหอไม่ยอมพูดอะไร เลขานุการจางจึงทำงานตามหน้าที่ของตัวเองต่อไปอย่างจริงจัง “เฉินกง ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณนะ คุณอายุจวนสามสิบอยู่แล้ว ไม่ง่ายเลยกว่าจะแต่งภรรยาสักคน แถมหล่อนยังสวยมาก ผมรู้ว่าใจจริงคุณอยากนอนกอดหล่อนไว้ตลอดทั้งคืน แต่ที่นี่คืออาคารพักอาศัยในเขตโรงงาน เราทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ ถ้าที่นี่เป็นบ้านเกิดของคุณ หลังจัดพิธีแต่งงานแล้วพวกคุณจะหลับนอนด้วยกันยังไงก็ได้ ตราบใดที่ฝ่ายหญิงเต็มใจ แต่อาคารพักอาศัยที่นี่มีคนอยู่มากมาย ต้องใส่ใจกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นให้มากหน่อย คุณเองก็กำลังจะได้รับการประเมินตำแหน่งผู้ชำนาญการในปีนี้ และยังจะได้รับการทดสอบเป็นวิศวกรด้วย ตอนนี้คุณถือเป็นแกนหลักของฝ่ายช่างเทคนิคประจำโรงงานเรา จะปล่อยให้มีเรื่องเกิดขึ้นไม่ได้”
เฉินเจียเหอพยักหน้า “เข้าใจแล้วครับ”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวก่อน ถ้าสามารถไปจดทะเบียนได้ในเร็ว ๆ นี้ ก็ให้ผู้หญิงอยู่ในห้องของหู่จือไปก่อน แต่ถ้ายังไม่สามารถจดทะเบียนได้จริง ๆ ก็ควรไปหาที่อยู่ข้างนอก อย่าทำอะไรเกินเลยจนเกิดความเสื่อมเสีย”
เลขานุการจางเดินไปที่ประตู พอนึกอะไรบางอย่างออก ก็หันไปมองเขาอีกครั้ง “จริงสิ โรงงานเราจะกลับมาเปิดทำการในวันที่ 10 เดือน 1 ผู้อำนวยการจ้าวฝากข้อความมาบอกคุณว่า พรุ่งนี้ตอนบ่าย คุณกับเหล่าหยางจะต้องตามเขาไปที่โรงงานเครื่องจักรของผู้อำนวยการเสิ่น เนื่องจากเรามีออเดอร์ชิ้นส่วนที่ต้องการความแม่นยำ ซึ่งจำเป็นต้องผลิตและแปรรูป เลยต้องนำแบบไปหารือกับพวกเขาเป็นอันดับแรก”
เมื่อพูดถึงผู้อำนวยการเสิ่นแห่งโรงงานเครื่องจักร ดวงตาของเฉินเจียเหอก็สั่นไหวเล็กน้อย
เสิ่นเถี่ยจวิน!
แต่แล้วสีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว ก่อนจะพยักหน้า
“ครับ”
หลังจากที่เลขานุการจางจากไป เฉินเจียเหอก็ขมวดคิ้วเหมือนไมเกรนจะขึ้น เขาปิดประตู ตั้งใจว่าจะเดินกลับเข้าไปในครัวเพื่อล้างหม้อต่อ
หลินเซี่ยออกมาจากห้องนอน พอเห็นใบหน้าหล่อเหลาของเฉินเจียเหอค่อนข้างเคร่งเครียด ก็มองไปทางประตูแล้วถามว่า “ใครเหรอคะ?”
“เลขานุการจางจากโรงงานน่ะ”
“ทำไมสีหน้าคุณดูแย่ขนาดนี้ล่ะ? คุณโดนตำหนิอะไรมาหรือเปล่า?” หลินเซี่ยมองเขาแล้วถาม
เมื่อกี้นี้เธอเห็นว่าเขายังฮัมเพลงไปพลางล้างหม้อไปพลาง แต่หลังจากนั้นกลับทำหน้าเหมือนมะเขือยาวต้องน้ำค้างแข็งจนเหี่ยวเฉา
หู่จือวิ่งออกมาจากห้องบ้าง เฉินเจียเหอยังไม่ทันจะพูดอะไรบางอย่าง พอเขาเห็นหู่จือ ก็ไล่เขากลับเข้าไปใหม่ “หู่จือ เข้าไปอยู่ในห้องก่อน”
“ทุกครั้งที่พ่อจะพูดอะไร ทำไมต้องไล่ผมเข้าห้องตลอดเลย” หูจื่อเม้มริมฝีปาก แต่ก็ยอมวิ่งกลับเข้าห้องแต่โดยดี
เฉินเจียเหอดึงหลินเซี่ยให้นั่งลง ถอนหายใจ สีหน้าดูหนักอึ้ง
“เกิดอะไรขึ้นคะ?” หลินเซี่ยเห็นเขาทำหน้าเครียดแบบนั้น หัวใจของเธอก็เหมือนถูกบีบรัด ดูเหมือนมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นกับเขา
“เลขาจางมาแจ้งให้เราสองคนแยกห้องนอนกันจนกว่าจะไปจดทะเบียนสมรสอย่างถูกต้อง” เขาพูดเสียงทุ้มต่ำ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เหลือเรื่องนี้สินะที่ยังไม่ได้แก้ แลดูวุ่นวายแท้กว่าจะแต่งภรรยาสักคนเนี่ย
ไหหม่า(海馬)