ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 95 หลินเซี่ยหน้าเหมือนผู้ชายคนนั้น

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 95 หลินเซี่ยหน้าเหมือนผู้ชายคนนั้น

ตอนที่ 95 หลินเซี่ยหน้าเหมือนผู้ชายคนนั้น

จู่ ๆ เสิ้นอวี้อิ๋งก็เรียกเขาว่าพี่ใหญ่ ทำให้เฉินเจียเหอรู้สึกอึดอัดอย่างยิ่ง ใบหน้าบูดบึ้งไม่ตอบอะไรสักคำ

“คุณอาศัยอยู่บ้านพักข้าราชการทหารผ่านศึกใช่หรือเปล่าคะ?” เสิ่นอวี้อิ๋งมองเขาด้วยดวงตาที่สดใส “ตอนที่พวกเราเข้าเมือง เราต้องผ่านบ้านคุณปู่ของคุณก่อน ฉันยังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ เคยผ่านบ้านของคุณด้วย เห็นคุณนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่หน้าบ้าน”

หลังจากที่เสิ้นอวี้อิ๋งพูดจบ หล่อนก็ยืนขึ้นเดินไปหาเฉินเจียเหอแล้วเงยหน้ามอง พยายามทำทุกวิถีทางให้เขามองเห็นเธออย่างชัดเจน “ตอนเด็ก ๆ เราก็เติบโตมาในหมู่บ้านเดียวกัน คุณน่าจะเคยเห็นฉันนะ”

เดิมทีเฉินเจียเหอต้องการจะปฏิเสธ

แต่ดวงตาลึกล้ำของเขาขยับเล็กน้อย ก่อนจะเปลี่ยนคำพูดอย่างรวดเร็ว “ดูเหมือนผมจะจำได้”

เสิ้นอวี้อิ๋งรู้สึกยินดีกับปฏิกิริยาของเขา

แต่ก่อนที่หล่อนจะได้พูดอะไร ก็ได้ยินเฉินเจียเหอซึ่งยืนอยู่ตรงหน้าโดยไม่แสดงสีหน้าใดพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ผมจำได้ว่าพ่อบุญธรรมของคุณมักจะแบกคุณไว้บนหลังและเดินผ่านประตูบ้านของผมบ่อย ๆ ได้ยินมาว่าตอนเด็กสุขภาพคุณไม่ค่อยแข็งแรง จำเป็นต้องไปหาหมอแผนจีนอยู่บ่อยครั้ง ไม่แปลกที่เขาจะพาคุณเข้าไปหาหมอในเมืองอยู่บ่อย ๆ”

อันที่จริง เขาไม่มีความทรงจำอะไรกับบุคคลที่ชื่อเสิ่นอวี้อิ๋งเลย

ถึงยังไงพวกเขาก็ไม่ได้เป็นเด็กที่อยู่ในกลุ่มอายุไล่เลี่ยกัน อีกทั้งบ้านของสองครอบครัวยังอยู่ห่างกันมาก ช่วงหลายปีที่เขาอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน เขาไม่รู้จักใครเลยนอกจากเอ้อร์เลิ่ง

แต่เขาก็ไม่ได้โกหกเช่นกัน ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่คุณยายของเขามักจะเล่าให้ฟังบ่อย ๆ

นับตั้งแต่ได้เรียนรู้เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของหลินเซี่ย ยายของเขามักจะพูดถึงหลินต้าฝูที่กระเตงลูกสาวไว้บนหลังและเดินเท้าไปหาหมอเสมอ

ว่ากันว่าหลินต้าฝูและหลิวกุ้ยอิงมักจะพาเธอเข้าไปในเมืองบ่อยครั้ง ต้องพาเธอไปหาหมอเป็นประจำตั้งแต่ยังแบเบาะ

เมื่อลูกสาวของอายุได้ห้าหรือหกขวบ หลินต้าฝูก็ยังคงเดินผ่านหน้าประตูบ้านเขาโดยแบกลูกสาวอยู่บนหลังเป็นระยะ ๆ

คิดแล้วเขาก็ถอนหายใจ “ผมไม่นึกเลยว่าพวกคุณจะถูกสลับตัวกันตั้งแต่ยังเด็ก หลินต้าฝูเป็นพ่อที่มีความรับผิดชอบสูงส่ง ถึงอย่างนั้นก็ถือเป็นเรื่องดีที่เขาช่วยชีวิตเด็กไว้ ไม่อย่างนั้นถ้าพ่อแม่แท้ ๆ มาตามหาคุณในภายหลัง พวกเขาจะต้องเสียใจมากแน่ถ้ารู้ว่าลูกตาย”

ตอนที่เขาอยู่ในบ้านเกิด พวกเขาได้รับการยืนยันจากปากของหลิวกุ้ยอิงว่าเสิ้นอวี้อิ๋งสุขภาพอ่อนแอมากตั้งแต่ยังเป็นเด็กเล็ก หลินต้าฝูเป็นคนพาเธอไปรับการรักษาจากแพทย์แผนจีน ถึงช่วยชีวิตเธอเอาไว้ได้

ทันทีที่เฉินเจียเหอพูดแบบนี้ ทุกคนก็มีสีหน้าแปลกไปเล็กน้อย

พ่อบุญธรรมของเสิ้นอวี้อิ๋งมักจะแบกเธอไว้บนหลังแล้วพาไปหาหมออยู่บ่อย ๆ งั้นเหรอ?

เสิ้นอวี้อิ๋งเอาแต่พูดอยู่เสมอว่าครอบครัวนั้นไม่สนใจไยดีหล่อนมาตั้งแต่ยังเด็ก หล่อนมีชีวิตอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะสวรรค์เมตตา

นอกจากนี้ยังบอกว่าหล่อนอ่อนแอเนื่องจากขาดอาหารและถูกเลี้ยงดูอย่างอดอยาก ไม่เคยบอกสักคำว่าพ่อบุญธรรมพาหล่อนไปหาหมออยู่บ่อยครั้ง

ตอนแรกเสิ้นอวี้อิ๋งต้องการตีสนิทกับเฉินเจียเหอ แต่ไม่คิดว่าจะโดนเขาพูดจาตอกหน้าแบบนี้

ดวงตาของหล่อนกะพริบเล็กน้อย แต่แล้วก็พูดอย่างไม่สบายใจว่า “ฉันไม่เข้าใจว่าคุณพูดอะไร บางทีคุณคงจะจำผิดก็ได้ เด็กผู้หญิงที่พ่อบุญธรรมของฉันแบกไว้บนหลังน่าจะเป็นน้องสาวของฉันมากกว่า”

“อ๋อ ผมจำได้อีกเรื่องว่าเขาเคยคุยกับยายของผมด้วย บอกว่าลูกสาวคนโตเกิดมาอ่อนแอ ตอนเป็นทารกก็น้ำหนักน้อยมากจนเหมือนลูกหนู เขาเลยต้องพาคุณไปหาหมอ”

น้ำหนักน้อยมากจนเหมือนลูกหนู…

ใบหน้าที่เย็นชาและจริงจังของเซี่ยหลานกลายเป็นซีดเผือดทันที

เฉินเจียเหอผู้ซึ่งสงวนวาจาเหมือนทองคำมาโดยตลอด และมักจะปฏิเสธไม่ยอมเสียเวลาไปกับเรื่องเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเอง วันนี้กลับพูดมากผิดวิสัย “ปีนี้หลินเยี่ยนเพิ่งจะอายุสิบเจ็ดเท่านั้นเอง ตอนที่หล่อนเกิด ผมก็ย้ายเข้ามาอยู่ในเมืองก่อนหน้านั้นนานแล้ว ผมไม่เคยเห็นหล่อนตอนเด็กด้วยซ้ำ”

หลังจากที่เขาพูดจบ เขาก็มองไปที่ผู้เฒ่าเซี่ยและเซี่ยหลาน แล้วพูดอย่างสุภาพว่า “ผู้เฒ่าเซี่ย หมอเซี่ยครับ ผมขอตัวก่อน”

เซี่ยตงเป็นคนมาส่งเฉินเจียเหอกลับไป การแสดงออกของเขายากที่จะอธิบาย

ปีนี้เซี่ยตงอายุสามสิบแปดปี สมัยที่เขายังเป็นทหารกองรถไฟ เขามีสถานะเป็นผู้บังคับบัญชาของเฉินเจียเหอ จนกระทั่งในช่วงสองปีที่ผ่านมาเขาถูกย้ายไปประจำอยู่ที่สำนักวิศวกรรมการรถไฟ ทำให้เฉินเจียเหอมีความสัมพันธ์ส่วนตัวอันดีกับอดีตหัวหน้าคนนี้

“เจียเหอ พูดถึงเรื่องนี้ ไม่เพียงแต่พ่อของฉันจะรับไม่ได้ ฉันเองก็รับไม่ได้เหมือนกัน ในอนาคตความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราจะเป็นไปในทิศทางไหน?”

น้ำเสียงของเฉินเจียเหอเจือความเคารพและสุภาพ “คุณจะเป็นหัวหน้าของผมตลอดไป”

“แค่นั้นเหรอ?” เซี่ยตงทำหน้าแปลก ๆ

เขาเป็นน้าของหลินเซี่ยมายี่สิบปีแล้ว

เฉินเจียเหอเองก็เป็นสหายน้องชายของเขามาหลายปีเช่นกัน

ตอนนี้อีกฝ่ายกลับคงสถานะหัวหน้าไว้ให้เขาเท่านั้น คิดจะละทิ้งความสัมพันธ์ทั้งหมดที่ผ่านมาหรือไง?

“หลินเซี่ยถูกไล่ออกจากตระกูล และส่งกลับไปที่ชนบทด้วยชื่อและตัวตนใหม่ หมายความว่าหล่อนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสถานที่แห่งนี้อีก แล้วจะให้ผมลำดับความสัมพันธ์กับคุณยังไง?”

เซี่ยตงอธิบาย “พี่สาวและพี่เขยของฉันมีฐานะและชีวิตการงานที่ดี แต่ในขณะเดียวกันลูกสาวแท้ ๆ ของพวกเขากลับต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในชนบทมานานหลายปี พวกเขาจำเป็นต้องทำแบบนั้นเพื่อชดเชยในสิ่งที่หล่อนเสียไปตั้งแต่เด็ก จะเพิกเฉยต่อหล่อนไม่ได้”

ตอนนั้นเขายังอยู่ในที่ทำงานอยู่เลย ทำให้ไม่รู้ว่าเรื่องราวเป็นมาอย่างไร เมื่อเขากลับมาที่บ้าน ตระกูลเสิ่นก็บอกว่าหลินเซี่ยถูกแม่แท้ ๆ พาตัวไปแล้ว

เซี่ยตงคิดว่าต่อให้ตอนนั้นเขาจะอยู่ในไห่เฉิง ก็ไม่สามารถเข้าไปแทรกแซงอะไรได้

ถ้าแม่แท้ ๆ ของเธอยืนกรานว่าจะรับตัวหลินเซี่ยกลับไปดูแลที่ชนบทตามเดิม คนอื่น ๆ ที่เหลือก็ไม่สามารถสอดมือเข้าไปยุ่งได้

และไม่สามารถทำแบบนั้นได้เช่นเดียวกัน

เพราะการทำแบบนั้นจะไม่ยุติธรรมสำหรับเสิ้นอวี้อิ๋งตัวจริง

ก่อนหน้านี้ทุกคนต่างก็คิดไปในทางเดียวกันว่าการสลับตัวเด็กต้องเป็นฝีมือของผู้หญิงบ้านนอกคนนั้นแน่ ๆ แต่เมื่อฟังจากสิ่งที่เฉินเจียเหอพูดในบ้านเมื่อกี้นี้แล้ว…

พ่อแม่บุญธรรมของเธอที่อยู่ในชนบทก็ออกจะใจดีนี่นา

เซี่ยตงหวนคิดถึงประวัติทางอารมณ์ของพี่สาวและพี่เขยของตัวเอง ตอนนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาค่อนข้างยุ่งเหยิง ทำให้เขาอดตั้งข้อสงสัยขึ้นมาไม่ได้

นอกจากนี้ เซี่ยตงยังสงสัยเกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตของหลินเซี่ยพอสมควร

เขาไม่สงสัยว่าใครเป็นคนสลับตัวเด็กในตอนนั้น แต่สงสัยไปในทิศทางอื่น

เสิ่นเถี่ยจวินไม่ชอบหน้าลูกสาวอย่างหลินเซี่ยสักเท่าใด เรื่องนี้เขาก็รับรู้มาโดยตลอด

ในเมื่อลูกสาวของเขาหน้าตาเหมือนศัตรูหัวใจอย่างกับแกะ ใครจะทำใจรักได้ลงคอ?

แม้แต่เซี่ยตงเองก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่าบางทีหลินเซี่ยอาจไม่ใช่ลูกสาวของเสิ่นเถี่ยจวินด้วยซ้ำ แต่เป็นผลผลิตของพี่สาวกับผู้ชายบางคนที่เผลอล้ำเส้นกันในเวลานั้น

เสิ่นเถี่ยจวินไม่เคยปริปากพูดเรื่องนี้ และเขาก็ไม่คิดจะทำด้วย ในฐานะที่เขาเป็นน้องเขย เขาก็ไม่กล้าพูดออกมาโดยธรรมชาติ

แต่เขารู้ดีว่าไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่สงสัย สมาชิกคนอื่น ๆ ในครอบครัวก็คงสงสัยแบบเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ก็ไม่แปลกที่ตระกูลเสิ่นจะไม่ชอบหลานสาวคนนี้สักเท่าใด

หลินเซี่ยมีชีวิตที่ย่ำแย่มากสมัยยังเป็นเด็ก เขารู้เรื่องนี้ดี แต่หลังจากถูกย้ายมาอยู่ภายใต้การเลี้ยงดูของตระกูลเซี่ย เธอก็มีชีวิตที่สมบูรณ์พูนสุขมากขึ้น

เอาล่ะ งั้นวกกลับเข้าปัญหากันก่อน

ความจริงเปิดเผยแล้วว่าหลินเซี่ยไม่ใช่ลูกของเซี่ยหลาน

เสิ่นเถี่ยจวินและเซี่ยหลานตรวจสอบข้อเท็จจริงของลูกสาวด้วยผลเลือด พบว่าพวกเขาเป็นพ่อแม่ลูกกันจริง ๆ

แล้วทำไมหลินเซี่ยถึงหน้าตาเหมือนไอ้หนุ่มคนนั้น?

ทุกอย่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงเหรอ?

“ตอนนี้พวกหล่อนทั้งสองคนกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว จากนี้จะไม่ยุ่งเกี่ยวซึ่งกันและกันอีก ดังนั้นหล่อนมีอิสระที่จะแต่งงานกับใครก็ได้ตามที่เธอต้องการ” เฉินเจียเหอมองไปที่เซี่ยตง และพูดอย่างจริงใจว่า “พี่ตง ผมไม่อยากให้เรื่องนี้ส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างเราที่ยาวนานมาหลายปี”

หลังจากได้ยินสิ่งที่เขาพูด เซี่ยตงก็กลับมาสงบอีกครั้ง พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ฉันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเรื่องนี้เลย ต่อให้นายจะแต่งงานกับหลานสาวของฉันจริง ๆ มันก็ไม่ได้มีผลกระทบกับฉันมากมายขนาดนั้น”

เซี่ยตงเป็นคนมีเหตุผล เมื่อก่อนเขาเคยตกหลุมรักอย่างบ้าคลั่งมาก่อน ดังนั้นเขาจึงเข้าใจดีว่าผู้ชายที่ตกหลุมรักสามารถกลายเป็นบ้าได้อย่างไร

เขาตบไหล่อีกฝ่ายแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวล พ่อฉันจะต้องเข้าใจแน่ นายเองก็ทำดีกับผู้หญิงคนนั้นให้มาก”

“จริงสิครับ หัวหน้า ผมมีเรื่องจะปรึกษา” เฉินเจียเหอเอามือลูบจมูก น้ำเสียงของเขาดูเคอะเขินเล็กน้อย แถมตอนนี้ยังเขินอายเกินกว่าจะมองเซี่ยตงตรง ๆ

เซี่ยตงตอบกลับ “ว่ามา”

“ตอนที่คุณตามจีบพี่สะใภ้ นอกจากพาหล่อนไปดูหนังแล้ว พวกคุณยังทำกิจกรรมอะไรกันอีกบ้าง?” เฉินเจียเหออยากเรียนรู้จากประสบการณ์ของรุ่นพี่

เซี่ยตงไม่คาดคิดว่าเขาจะถามคำถามนี้ เขามองเฉินเจียเหอด้วยสายตาพิจารณา ในฐานะรุ่นพี่ เขายินดีตอบคำถามอย่างไม่อิดออด “ตอนกลางคืนไปดูหนัง ตอนกลางวันไปเดินเล่นในสวนสาธารณะ แต่ตอนนั้นเราสองคนไม่กล้าจับมือกันอย่างเปิดเผย เพราะสังคมยังไม่เปิดกว้าง ได้แต่นั่งอยู่ห่าง ๆ บนเก้าอี้คนละตัว หรือไม่ก็ไปห้องสมุด อ่านหนังสือด้วยกัน”

เฉินเจียเหอพยักหน้าอย่างครุ่นคิด

“เด็กน้อยเอ๋ย ดูเหมือนว่านายจะรักหล่อนจริง ๆ สินะ”

เซี่ยตงขยับเข้ามาใกล้เขามากขึ้น ทำหน้าตาลึกลับ “การใช้เวลากับคนที่รักถือเป็นเรื่องยอดเยี่ยมจริง ๆ อย่าเอาแต่ทำตัวเพิกเฉยไม่สนใจ และอย่าทำตัวอวดดี พาผู้หญิงที่นายรักไปกับนายทุกที่ เพื่อที่หล่อนจะได้สนุกกับทุกสิ่งที่นายชอบ มอบความจริงใจกับหล่อนให้มาก แล้วหล่อนจะกลายเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของนาย ในอนาคตความทรงจำที่ดีในวัยเยาว์จะได้ตราตรึงไม่รู้ลืม”

ในขณะที่เฉินเจียเหอกำลังจะพยักหน้า เซี่ยตงก็ยิ้มและพูดเสริมขึ้นมาว่า “ฉันลืมไป นายไม่มีวัยเยาว์อีกต่อไปแล้วนี่”

เฉินเจียเหอ “!!!”

เขายกขาเตะอดีตหัวหน้าที่พูดจากระทบกระเทือนจิตใจคนนี้ได้ไหมเนี่ย?

หลินเซี่ยบรรจงสระผมเป็นพิเศษ แต่งหน้าสวย ม้วนปลายผมให้เป็นลอนด้วยหวีและไดร์ สวมเสื้อคลุมที่เฉินเจียเหอซื้อมาให้ ทำตัวสวย ๆ รออยู่ที่บ้าน

นี่ถือเป็นเดตแรกระหว่างพวกเขา ดังนั้นเธอจึงจริงจังกับเรื่องนี้มาก

นอกจากนี้เธอยังเดินโฉบไปที่ตู้เสื้อผ้าของเฉินเจียเหอ เมื่อเห็นแจ็กเกตหนังตัวใหม่ก็หยิบออกมาให้เขาด้วย

ทันทีที่เฉินเจียเหอเปิดประตูเข้าไป เขาก็สะดุ้งอีกครั้งเมื่อเห็นหญิงสาวที่แต่งตัวสวยและสง่างามยืนรออยู่

“เป็นไงบ้างคะ? ฉันแต่งตัวแบบนี้ออกไปดูหนังได้ไหม?”

เฉินเจียเหอพยักหน้าหงึกหงัก “ได้”

“รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเถอะ”

หลินเซี่ยช่วยเขาถอดเสื้อคลุมบุผ้าฝ้ายสีดำออก และจัดแจงให้เขาเปลี่ยนมาสวมแจ็กเกตหนังที่มีปกขนสัตว์แทน

“คุณไม่ชอบเสื้อตัวนี้เหรอ? ฉันเห็นว่ามันยังใหม่เอี่ยม ไม่ได้แกะป้ายราคาออกด้วยซ้ำ”

เธอหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาและตั้งท่าเตรียมสวมให้เขา ดังนั้นเฉินเจียเหอจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องให้ความร่วมมือ

รับประกันได้เลยว่าเขาไม่เคยแต่งตัวทันสมัยขนาดนี้มาก่อนในช่วงตลอดหลายปีที่ผ่านมา

เมื่อลงไปชั้นล่าง หลินเซี่ยก็คล้องแขนเขาไว้อย่างสนิทสนม เฉินเจียเหอเหลือบมองชายชราและผู้หญิงที่กำลังเดินอยู่ชั้นล่าง แต่แล้วก็ให้ความร่วมมือโดยปล่อยให้เธอคล้องแขนตัวเองต่อไป

ทันทีที่ลงไปชั้นล่าง พวกเขาก็ถูกรายล้อมด้วยลุงป้าน้าอาทั้งหลาย

“ไอหยา ดูคู่หนุ่มสาวกิ่งทองใบหยกสองคนนี้สิ จะออกไปไหนกันล่ะ?”

“ไปดูหนังค่ะ”

“เสี่ยวเฉิน เธอนี่โชคดีจริง ๆ”

วันรุ่งขึ้น หลินเซี่ยตื่นแต่เช้าและไปเรียกพี่สาวจาง ขอให้เธอช่วยรวบรวมพี่สาวที่สนใจเข้าร่วมให้มารวมตัว เพื่อที่จะเริ่มซ้อมเต้นด้วยกัน

หลังจากจัดของเสร็จในตอนเช้า เธอก็ตั้งใจว่าจะออกไปที่ร้านค้าสักหน่อย ช่วงบ่ายค่อยไปซื้อของบางอย่างและนำไปไว้ที่บ้านเช่า

หลังจากจัดห้องหับทุกอย่างพร้อมแล้ว ก็จะให้แม่และหลินเยี่ยนเดินทางมาทันที

เช้าตรู่ของเดือนแรกยังมีอากาศหนาวเย็นมาก พี่สาวทั้งหลายสวมเสื้อแจ็คเก็ตบุนวมหนาคลุมตัว อ้าปากหาวหวอดขณะออกไปข้างนอก “เสี่ยวหลิน ตื่นเช้าจังเลยนะ”

หลินเซี่ยอธิบาย “การฝึกซ้อมจะมีประสิทธิภาพมากในตอนเช้า เพราะพวกคุณอารมณ์ดี และยังถือเป็นการออกกำลังกายได้อีกด้วย”

เธอหยิบสมุดภาพท่าเต้นที่แยกเป็นส่วน ๆ ซึ่งวาดเองกับมือออกมา

“นี่คือท่าทางที่ฉันวาดเองค่ะ รับไปดูกันได้เลย วันนี้เรามาฝึกซ้อมกันเฉพาะครึ่งแรกก่อน ครึ่งหลังฉันอยากออกแบบท่าทางให้ยากขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อย แต่ฉันยังเป็นมือสมัครเล่น ไว้ค่อยโทรไปขอความช่วยเหลือจากเพื่อนทีหลัง ให้เธอมาสอนพวกเรา”

“ได้ เรามาเริ่มกันเลย”

“มาค่ะ หลังจากดนตรีเล่นแล้ว ให้ทำท่านี้ก่อน แล้วยกแขนขึ้น ปรบมือ ตามด้วยขยับขา จำไว้ว่าทุกจังหวะมีทั้งหมดสิบหกก้าว จำการเคลื่อนไหวไว้ให้ดีก็พอแล้ว นอกเหนือจากนั้นไม่ใช่เรื่องยากเลย”

หลินเซี่ยยืนอยู่ข้างหน้า เป็นผู้นำพี่สาวทั้งหลายฝึกซ้อมเต้น

“ระหว่างเต้นอย่าลืมร้องเพลงคลอไปด้วย จะช่วยให้จำท่าได้ง่ายขึ้น”

‘ฤดูร้อนผ่านไปอย่างช้า ๆ เหลือไว้แต่ความลับเล็ก ๆ

เก็บอยู่ในใจ เก็บอยู่ในใจ ไม่อาจบอกเธอไปได้…

เสียงเพลงหวานดังขึ้นกลางลานกว้างของอาคารพักอาศัย ประตูบ้านทุกบ้านเปิดออก ชายชราและป้า ๆ ที่ออกไปซื้อข้าวของหรือออกกำลังกายตอนเช้า อดไม่ได้ที่จะหยุดยืนดูพวกเธอเต้น

ในขณะที่พี่สาวทั้งหลายกำลังอ่านท่าเต้นอย่างกระฉับกระเฉง หวังซิ่วฟางก็เปิดประตู ก่อนจะสาดน้ำเหลือใช้จากการซักล้างลงมา

พี่สาวจางตะโกนถามด้วยความโกรธ “ซิ่วฟาง ทำอะไรของเธอ?”

“เทน้ำทิ้งไง” ผมของหวังซิ่วฟางยุ่งเป็นกระเซิงและดูไม่เรียบร้อย การแต่งตัวดูเชยมาก

“สาดไปข้างนอกไม่ได้เหรอ วันนี้อากาศหนาวมากนะ ถ้าพวกเราเต้น ๆ อยู่แล้วลื่นล้มตอนที่อากาศหนาวจัดจะทำยังไง?” ใครก็ตามที่มีสายตาเฉียบแหลมจะรู้ทันทีว่าหล่อนจงใจทำ

ในฐานะผู้รับผิดชอบ พี่สาวจางพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “เธอจะเข้าร่วมการแสดงไหม? ถ้าเธอยืนยันว่าไม่เข้าร่วมแน่ ฉันจะไปขอให้พี่สาวจ้าวมาเสียบแทน”

“พี่สาวจ้าวเจ็บขา คงมาซ้อมไม่ได้หรอก” หวังซิ่วฟางทำหน้าเหมือนหมูตายไม่กลัวน้ำเดือด

“ลูกสาวของพี่สาวจ้าวก็ยังไม่เปิดเรียน ฉันเลยขอให้เสี่ยวอิ๋งมาแทนที่แม่ของเธอ เพราะเธอยังสาวและมีหุ่นกับหน้าตาที่สวยสะดุดตา

หวังซิ่วฟางยืนถือกะละมังซักผ้า ทำสีหน้าลังเล

“ฉันจะให้โอกาสเธอเป็นครั้งสุดท้าย ลองไปคิดดูภายในครึ่งชั่วโมง ถ้าไม่อยากร่วมก็ไม่ต้องร่วม”

พี่สาวจางยื่นคำขาดแบบนั้น หวังซิ่วฟางจึงเหลือบมองหลินเซี่ยและพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา

“ถ้าอย่างนั้นฉันคงต้องถามอาจารย์ก่อน ว่าเธอเต็มใจจะสอนฉันไหม”

หลินเซี่ยไม่อยากให้ทุกคนเสียเวลา เธอมองหน้าหวังซิ่วฟางด้วยความรังเกียจและพูดอย่างเย็นชาว่า “นี่ถือเป็นกิจกรรมส่วนรวม ถ้าคุณอยากเข้าร่วมก็กรุณาให้ความร่วมมือด้วยดี อย่าใช้เรื่องของอายุมาเป็นข้ออ้าง”

“งั้นฉันลงไปซ้อมด้วยก็ได้” หวังซิ่วฟางเดินกลับเข้าไปในบ้าน วางกะละมังซักผ้าลง ก่อนจะมัดผมขึ้นแล้วเดินลากเท้าไปร่วมวงซ้อมอย่างสบาย ๆ

“พี่หวังยืนอยู่ข้างหลัง ดูการเคลื่อนไหวของคนข้างหน้าเป็นตัวอย่าง”

หลินเซี่ยจัดแจงตำแหน่งให้หวังซิ่วฟางจนเสร็จสรรพ จากนั้นทุกคนก็เข้าแถว หลินเซี่ยเปิดเครื่องเล่นเทปอีกครั้ง เพื่อให้พวกเธอซ้อมขยับตัวไปพร้อมกับดนตรี

แต่พอขยับแค่สองก้าวเท่านั้นก็พบปัญหาแล้ว

………………………………………………………………………………………………………………………….

สารจากผู้แปล

สรุปเซี่ยเซี่ยเป็นลูกใครกันแน่ ทั้งที่ผลตรวจออกมาชัดว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน หรือว่ามีคนปลอมแปลงผลตรวจ?

ให้โอกาสแล้ว อย่าทำคนส่วนใหญ่เสียเรื่องนะซิ่วฟาง

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท