ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80 – ตอนที่ 120 หลินเซี่ยเหมือนดาราหนัง

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ตอนที่ 120 หลินเซี่ยเหมือนดาราหนัง

ตอนที่ 120 หลินเซี่ยเหมือนดาราหนัง

หลินเซี่ยอธิบายกับวังจินฮวาว่าการตัดผมได้ไม่ดีนั้นเป็นความผิดพลาด แต่วังจินฮวาไม่ได้รู้สึกขอบคุณหรือยินดีอะไรเลย “เป็นความผิดพลาดงั้นเหรอ? ตอนนั้นเธอไม่รู้วิธีตัดผมด้วยซ้ำ ฉันไม่เชื่อหรอกว่าเธอเป็นคนตัดผมสวย ๆ ให้พวกเขา ดูผมของพวกฉันตอนนั้นสิ เธอทำลงไปได้ยังไง?”

“คือจะไม่ยอมรับสินะ ฉันไม่ยอมง่าย ๆ หรอก”

หลินเซี่ยอธิบายอย่างใจเย็น “เมื่อก่อนทักษะฉันยังไม่ดีเท่าไหร่ แต่ตอนนี้เก่งขึ้นแล้ว คุณสามารถมาหาฉันหลังจากนี้ก็ได้ ฉันยินดีตัดให้ฟรีเลย จะได้ทำทรงผมสวย ๆ เพื่อเป็นการชดเชยให้ด้วย”

เนื่องจากอีกฝ่ายได้ใช้บริการจากร้านเธอ ไม่แปลกที่จะต้องแก้ไขข้อผิดพลาดนี้ ไม่อย่างนั้นวังจินฮวาคงเที่ยวป่าวประกาศไปรอบ ๆ ด้วยสภาพทรงผมอย่างกับหนูแทะ และประจานให้ทุกคนรู้ถึง ‘อาชญากรรม’ ที่เธอตัดผมแย่ ๆ ซึ่งสิ่งนี้จะไม่ทำลายชื่อเสียงของเธอหรอกเหรอ?

แล้วต่อไปจะเปิดร้านเสริมสวยได้ยังไง?

วังจินฮวาตะคอกกลับอย่างเย็นชา “ช่างเถอะ ฉันจะคิดซะว่าตัวเองคงโชคร้ายไปหน่อย ขืนกลับไปตัดผมกับเธออีกรอบ คราวนี้ฉันได้โกนหัวตัวเองทิ้งแน่”

เสิ่นอวี้อิ๋งฟังการสนทนาของพวกเขา จึงรับรู้ว่าหลินเซี่ยเคยตัดผมให้พี่สาวคนนี้ ซึ่งอีกฝ่ายก็มองหลินเซี่ยด้วยสายตาเย็นชาเอามาก ๆ

ไหนเคยมีคนบอกว่าผู้หญิงคนนี้เป็นคนโง่ที่ไม่รู้อะไรเลยไม่ใช่เหรอ?

ทำไมเสิ่นเสี่ยวเหมยและเสิ่นเถี่ยจวินถึงโกหกหล่อนกันล่ะ?

หรือพวกเขาพูดแบบนั้นก็เพื่อรักษาใบหน้าและถนอมสภาพจิตใจของเธอ เพื่อไม่ให้เกิดความขุ่นเคืองกับตระกูลเสิ่น ดังนั้นจึงจงใจอธิบายว่าหลินเซี่ยเป็นคนงี่เง่าที่มีสมองน้อยด้อยพัฒนา?

แต่ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้นอย่างที่เห็นเลย

ผู้หญิงคนนี้ไม่เพียงแต่ฉลาดเท่านั้น แต่ยังมีไหวพริบที่ดีอีกด้วย

เสิ่นอวี้อิ๋งละสายตาจากใบหน้าอันเย็นชาของอีกฝ่าย เริ่มกล่าวทักทายพร้อมเผยรอยยิ้มต่อหน้าพี่สาวจางและคนอื่นที่ยืนอยู่ข้างเธอ หลินเซี่ยจึงทำได้แค่ตอบสนองอย่างสุภาพเท่านั้น

“วันนี้เธอจะแสดงอะไรเหรอ?” เสิ่นอวี้อิ๋งถามด้วยน้ำเสียงมีความจิกกัดเล้กน้อย

เดิมทีหลินเซี่ยไม่อยากคุยกับหล่อนอยู่แล้ว พี่สาวจางจึงพูดแทรกขึ้นว่า “พวกเราจะแสดงเต้นน่ะ”

“จริงเหรอ? หลินเซี่ยเคยเรียนเต้นมาบ้างไหม? พอดีฉันไม่มีโอกาสได้เรียนอะไรแบบนี้เลยตอนอยู่บ้านนอก และคงไม่มีพรสวรรค์มากเท่าเธอ ฉันล่ะอิจฉาเธอจริง ๆ” เสิ่นอวี้อิ๋งมองไปทางหลินเซี่ยและพูดเน้นเสียงตรงคำว่า ‘บ้านนอก’

อีกไม่นาน รายการแสดงก็กำลังจะเริ่มแล้ว

ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ตอนนี้ผู้คนในโรงงานเครื่องจักรไห่เฉิงกำลังมองดูเสิ่นอวี้อิ๋งด้วยความเห็นอกเห็นใจอย่างชัดเจน

ในแววตายังแฝงไปด้วยความโกรธแค้นแทน

หลินเซี่ยมองการแสดงออกที่อ่อนแอและน่าสงสารของเสิ่นอวี้อิ๋งราวกับดอกบัวขาว(1) เธอแทบอยากจะฉีกอีกฝ่ายเป็นชิ้น ๆ เสียตรงนี้

เธอแทบจะทนไม่ไหวขณะมองเสิ่นอวี้อิ๋งที่แสดงท่าทางเยาะเย้ย แล้วตอกกลับไป “แล้วเธอล่ะ จะขึ้นแสดงบนเวทีทั้งที่ไม่มีพรสวรรค์อะไรเลยเนี่ยนะ? ได้ยินมาว่าเธอจะขึ้นแสดงเดี่ยวนี่นา ทั้งโรงงานไม่เหลือใครมาช่วยเธอแสดงเลยเหรอ? หรือว่าผู้อำนวยการเสิ่นพยายามให้ท้ายลูกสาวคนใหม่กัน?”

ต้องบอกว่าคำพูดของหลินเซี่ยโดนใจพนักงานในโรงงานเข้าเต็ม ๆ

เดิมทีแผนของพวกเขาคือให้สมาชิกในครอบครัวซักซ้อมการแสดงรายการหนึ่งด้วยกัน และส่วนของพนักงานก็จะซักซ้อมการแสดงอีกหนึ่งรายการ

แต่ก่อนจะทำแบบนั้น ผู้อำนวยการกลับแจ้งให้พวกเขาทราบทันทีว่า ให้ทุกคนยุบการแสดงร้องประสานเสียงเหลือแค่หนึ่งรายการ ส่วนเสิ่นอวี้อิ๋งจะได้แสดงเดี่ยว

ทุกคนรู้ดีว่านี่คือความตั้งใจของเสิ่นเถี่ยจวิน เขาแค่อยากมอบโอกาสให้ลูกสาวที่เพิ่งได้รับการยอมรับขึ้นแสดงบนเวที

ทุกคนเชื่อฟังคำสั่งอย่างไม่คัดค้าน แต่ความจริงแล้วพวกเขาต่างมีความคิดเห็นส่วนตัวเกี่ยวกับเรื่องนี้

ผู้อำนวยการโรงงานรักลูกสาวมาก ถึงขั้นยอมเสียสละผลประโยชน์ส่วนรวม แล้วเอาความเห็นแก่ตัวขึ้นก่อน

ถึงกระนั้นกลับไม่มีใครกล้าเป็นผู้นำในการคัดค้านการตัดสินใจของผู้อำนวยการอยู่ดี

“หลินเซี่ย ทำไมเธอถึงตั้งตัวเป็นศัตรูกับฉันขนาดนี้กันนะ? ฉันรู้อยู่หรอกว่าเธอไม่ค่อยชอบหน้าฉัน แต่ฉันก็เป็นแค่เด็กไร้เดียงสาคนหนึ่ง จะไปรู้ได้ไงว่าตอนนั้นพวกเราถูกสลับตัวกัน ที่ผ่านมาฉันยังอยากให้เธอกลับไปเยี่ยมตระกูลเสิ่นอยู่ตลอด เพื่อที่เราจะได้สร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกันไง สุดท้ายแล้วพี่น้องไม่เพียงแต่จะไม่รักกัน ยังมาทำท่าประชดประชันกันอีก ทำไมเธอถึงได้ใจร้ายใจดำขนาดนี้กัน?”

“ใช่ ฉันยอมรับว่าเราทั้งคู่ไม่ผิด แต่ตอนนี้เราก็ได้กลับมาในที่ของตัวเองแล้ว เราก็ควรใช้ชีวิตของใครของมันโดยที่ไม่รบกวนกันไม่ได้หรือไง? ฉันขอยืนกรานเลยว่าฉันไม่อยากกลับไปหาตระกูลเสิ่น และก็ไม่อยากเป็นพี่น้องกับเธอด้วย อยู่ให้ห่างจากฉันเถอะ พูดแค่นี้คงเข้าใจใช่ไหมว่าฉันหมายความว่ายังไง?”

“ฉันขอโทษ” น้ำตาไหลรินออกมาจากดวงตา เสิ่นอวี้อิ๋งเริ่มเดินเข้าไปใกล้หลินเซี่ยมากขึ้น “ฉันหวังว่าเราจะอยู่ร่วมกันได้อย่างปรองดองแท้ ๆ พ่อแม่เองก็คิดถึงเธอมากนะ พวกเขาไม่เคยทำร้ายเธอด้วยซ้ำ อย่าแก้แค้นกันแบบนี้เลย มันจะเป็นการทำร้ายจิตใจกันไปเปล่า ๆ”

โปรแกรมการแสดงก่อนหน้านี้เริ่มต้นขึ้นแล้ว หลินเซี่ยต้องการทำให้ทุกคนไม่ตื่นเวที แต่ผู้หญิงคนนี้กลับเข้ามาขวางทาง ดูเหมือนว่าหล่อนต้องการขุดหลุมศพบรรพบุรุษตระกูลเสิ่นขึ้นมาลำเลิกบุญคุณอย่างไรอย่างนั้น ต้องการสร้างปัญหาให้อย่างโจ่งแจ้ง

หลินเซี่ยก้าวถอยหลัง หลีกเลี่ยงไม่คิดเสวนากับเสิ่นอวี้อิ๋งต่อ

เสิ่นอวี้อิ๋งยังคงถือแก้วน้ำอยู่ในมือ หลินเซี่ยรู้สึกอยู่เสมอว่าวินาทีถัดไป หล่อนต้องแกล้งทำเป็นลื่นล้มและสาดน้ำใส่เป็นแน่

ในชาติก่อน นี่เป็นมุกเดิม ๆ ที่เสิ่นอวี้อิ๋งชอบใช้เมื่อหล่อนอยู่ในวงการบันเทิง

ต่ำตมมาก ในกรณีฉุกเฉินแบบนี้ น้ำแก้วเล็กแก้วเดียวสามารถสร้างปัญหาเลวร้ายได้ไม่น้อย

โดยเฉพาะในเวลาแบบนี้ การแต่งหน้าเป็นสิ่งสำคัญมาก

เธอจึงหันไปกระซิบกับพี่สาวจางทันที

“พี่สาวจาง ไปที่อื่นกันเถอะค่ะ ผู้หญิงคนนี้เริ่มแกล้งทำตัวน่าสงสารในที่สาธารณะเพื่อขอความเห็นอกเห็นใจแล้ว ฉันเดาว่าหล่อนกำลังหาทางแบล็กเมล์ฉันอยู่แน่ ๆ และมันอาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันนี้ด้วย”

ทุกคนไม่ใช่คนโง่ เพราะต่างก็เคยเจอฤทธิ์ของเสิ่นอวี้อิ๋งที่ห้างสรรพสินค้าเมื่อคราวก่อนมาแล้ว

แน่นอนว่าเวลานี้หล่อนก็คงจะทำแบบเดียวกัน

หากพยายามเรียกร้องความสงสารแค่ครั้งสองครั้งก็พอจะเข้าใจได้อยู่หรอก แต่การกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าแบบนี้มันออกจะน่าขยะแขยงไปสักหน่อย

นอกจากนี้ ทุกคนควรให้ความสำคัญกับการแสดงที่ใกล้เข้ามาทุกขณะไม่ใช่เหรอ?

แต่หล่อนยังบีบน้ำตาพูดเรื่องความหลังอยู่เรื่อย ทำให้ต่างคนสงสัยในแรงจูงใจของหล่อน

อีกฝ่ายแค่ท่องบทกวี มีต้นฉบับอยู่ในมือ และขึ้นแสดงเป็นรายการท้ายสุด แน่นอว่าคงจะเตรียมตัวมาพร้อมแล้ว

แต่พวกเขาเองกำลังจะขึ้นเวที จึงไม่สามารถประมาทในเวลานี้ได้

หวังซิ่วฟางเหลือบมองเสิ่นอวี้อิ๋งอย่างระมัดระวัง จากนั้นเดินเข้ามาขวางหลินเซี่ยด้วยท่าทางอันทรงพลัง ทำตัวกลายเป็นผู้พิทักษ์หญิงสาว “ฉันจะปกป้องเธอเอง ไม่ต้องกังวลนะ ฉันจะไม่ปล่อยให้หล่อนเข้าใกล้เธอแน่”

หลินเซี่ยรู้สึกประทับใจเล็กน้อยเมื่อเห็นหวังซิ่วฟางปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความหวังดี ตอบกลับไปว่า “ขอบคุณค่ะพี่สาวหวัง”

“ขอบคุณทำไม? ถ้าหล่อนทำร้ายเธอขึ้นมา จะส่งผลต่อกิจกรรมส่วนรวมของพวกเราเอาได้”

ดังนั้นจำเป็นต้องระวังตัวให้มาก เมื่อเป็นกิจกรรมส่วนรวมแล้วจึงไม่มีใครหย่อนยานเลย ทุกคนจงใจรักษาระยะห่างจากผู้คนในโรงงานเครื่องจักร หวังซิ่วฟางยืนอยู่ตรงหน้าหลินเซี่ยตลอด ไม่ว่าเสิ่นอวี้อิ๋งจะร้องห่มร้องไห้พิรี้พิไรอย่างไรก็ไม่มีโอกาสเข้าใกล้หลินเซี่ย

ในที่สุด ก็ถึงคราวที่พวกเขาต้องลงสนาม

หลินเซี่ยพูดปลุกใจทุกคนว่า “เอาล่ะ เรามาทบทวนท่าเต้นในใจกันดีกว่า พอขึ้นเวทีแล้วเราต้องสงบสติอารมณ์เข้าไว้ อย่ากังวลไป ถ้าในบรรดาพวกคุณมีใครลืมท่าเต้นจริง ๆ ก็ขยับตัวให้ช้าลงแล้วมองดูคนอื่น ๆ ฉันจะยืนอยู่ข้างหน้าและเป็นผู้นำเอง ไม่ต้องกังวลนะคะ ทุกคนแค่ดูว่าฉันเต้นยังไงก็พอ”

“ถ้าเกิดปัญหาสุดวิสัยอีกประการหนึ่ง อย่างเช่นเสียงดนตรีหาย หรือจู่ ๆ ดนตรีเงียบไปขณะที่พวกเราเต้นอยู่บนเวที ให้นึกถึงตอนที่พวกเราฝึกซ้อม ฉันจะเป็นผู้นำในการเต้นและร้องเพลง แน่นอนว่านี่เป็นแค่การเตรียมตัวล่วงหน้าเผื่อเหตุฉุกเฉิน ปกติปัญหาแบบนี้ไม่เกิดขึ้นง่าย ๆ ทุกคนแค่จำไว้ว่าหากมีเหตุฉุกเฉินบนเวที จะต้องไม่ตื่นตระหนก”

“เข้าใจแล้ว”

“มาเถอะ มานำพาความรุ่งโรจน์สู่โรงงานยานยนต์ไห่เฉิงกัน”

การแสดงคู่ของหยางเป่าเฉวียนและเสี่ยวหวังอยู่ช่วงท้าย ๆ พวกเขาจึงเข้ามาให้กำลังใจทุกคน

ก่อนหน้านี้ก็เป็นการแสดงเต้นรำเช่นเดียวกัน หลังจากจบการแสดง ก็ถึงคราวของพวกเขา

เฉินเจียเหอนั่งลงกับหู่จือที่ด้านล่างเวที เขาไม่มีความตั้งใจที่จะดูรายการแสดงของโรงงานอื่นเลย แต่รอการแสดงของภรรยาคนสวยอย่างใจจดใจจ่อ

“ลำดับต่อไป ขอเชิญสหายจากโรงงานยานยนต์ไห่เฉิง ขึ้นมาแสดงการเต้นแอโรบิกประกอบบทเพลงความทรงจำสีชมพูครับ”

เมื่อพิธีกรประกาศจบ หู่จือก็ยืดหลังนั่งตัวตรง แล้วพูดว่า “พ่อครับ น้าเซี่ยเซี่ยและคนอื่น ๆ จะออกมาแล้ว”

เฉินเจียเหอตอบกลับ “อืม หยุดพูดเถอะ เรามาตั้งใจดูกัน”

“การเต้นแอโรบิกคืออะไรเหรอ?” มีบางคนสงสัย

“ไม่รู้สิ มารอดูดีกว่า”

ไม่นานหลังจากดนตรีเริ่มบรรเลง กลุ่มคนที่แต่งกายด้วยชุดกีฬาก็ทยอยเดินขึ้นมาบนเวที โดยที่หลินเซี่ยยืนอยู่ด้านหน้าสุด

คนอื่น ๆ ก็ก้าวมายืนขึ้นตามลำดับ

เสียงดนตรีอันมีชีวิตชีวาเริ่มบรรเลง จากนั้นการเต้นอันเร่าร้อนก็เริ่มต้นขึ้นบนเวที

ภายใต้แสงไฟส่องสว่าง ผมสีขาวดอกเลาของลุงหนิวและลุงหลี่โดดเด่นเป็นพิเศษ นอกจากนี้ริบบิ้นเหนือศีรษะของหลินเซี่ยรวมถึงการแต่งหน้าทำผมของทุกคนต่างก็ดูเปล่งประกายมาก

บนเวทีมีนักแสดงสิบคน รวมทั้งหมดสามรุ่น สูงวัย วัยกลางคน และวัยรุ่น

ทุกคนมีรอยยิ้มที่สดใสบนใบหน้า การเคลื่อนไหวของพวกเขาเห็นได้ชัดว่ามีทักษะและเป็นจังหวะพร้อมเพรียง ทำให้ผู้คนในกลุ่มผู้ชมอดไม่ได้ที่จะขยับโยกร่างกายไปตามเสียงเพลง

หัวหน้าและพนักงานที่เกษียณอายุแล้วจำนวนมากก็เข้าร่วมรับชมการแสดงครั้งนี้ พวกเขารู้สึกประทับใจมากเมื่อเห็นลุงหนิวและลุงหลี่เต้นอย่างร่าเริงและมีพลังร่วมกับคนหนุ่มสาวบนเวที สภาพจิตใจของพวกเขาดีมาก

บางคนอดรู้สึกอิจฉาไม่ได้

พอดำเนินมาถึงท่าจบในท่อนสุดท้าย และการสิ้นสุดของเสียงดนตรี ทุกคนก็ก้าวออกมาจากแถว แล้วตะโกนสโลแกนของพวกเขาด้วยน้ำเสียงทรงพลังว่า “แรงงานของชาติ สุขภาพต้องมาก่อน”

นี่ถือได้ว่าเป็นการผลักดันการแสดงไปสู่จุดไคลแม็กซ์

อาจเป็นเพราะการแสดงแต่ละชุดก่อนหน้านี้จริงจังเกินไป การเต้นประกอบเพลงของโรงงานยานยนต์ซึ่งเลือกใช้บทเพลงที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปีนี้ ประกอบกับท่าเต้นที่น่าตื่นตาตื่นใจ กุญแจสำคัญก็คือมีผู้สูงอายุเข้าร่วม ทั้งยังมีสโลแกนและธีมโดดเด่น ทำให้ผู้ชมสนุกสนานและคล้อยตาม อยากมีสุขภาพกายใจและกายที่แข็งแรงตามไปด้วย

เฉินเจียเหอและหู่จือปรบมือเสียงดังจนมือชาไปหมด

“ยอดเยี่ยม”

“สุดยอด” เฉินเจียเหอมองไปที่สาวสวยผู้ฉลาดเฉลียว อ่อนเยาว์ และสง่างามบนเวที ตะโกนด้วยความชื่นชมถึงสองครั้งติดต่อกัน

สหายคนอื่น ๆ ในโรงงานยานยนต์ก็ปรบมือให้พวกเขาอย่างกระตือรือร้น

ในกลุ่มผู้ชม ทุกคนที่รับชมการแสดงต่างหันไปวิพากษ์วิจารณ์หลังจากการแสดงจบกันอย่างออกรส ใครบางคนกระซิบกับคนข้าง ๆ ว่า “ผู้หญิงคนนั้นดูเหมือนดาราหนังเลย”

“ดาราหนังเหรอ?” ใครคนหนึ่งถาม

“ฉันรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนหล่อนคล้ายใครสักคน”

เสียงชายหนุ่มโพล่งขึ้นว่า “เซี่ยอวี่ หล่อนหน้าเหมือนเซี่ยอวี่ใช่ไหมล่ะ?”

“ไม่รู้สิ ฉันไม่รู้จักคนที่นายพูดถึง” คนข้าง ๆ ตอบกลับอย่างไม่สนใจ

“นายนี่เชยระเบิดเลย แม้แต่ดาราใหญ่ของฮ่องกงก็ไม่รู้จัก”

ผู้เฒ่าเสิ่นคนอื่น ๆ บังเอิญนั่งอยู่แถวหน้า เมื่อพวกเขาได้ยินคนที่อยู่ด้านหลังพูดคุยเกี่ยวกับการปรากฏตัวของหลินเซี่ยด้วยความชื่นชมต่าง ๆ นานา ผู้เฒ่าเสิ่นก็หน้าซีดเผือด มองไปทางเสิ่นเถี่ยจวิน และเห็นว่าเสิ่นเถี่ยจวินก็ดูอึดอัดมากเช่นกัน

แม้แต่คนแปลกหน้าที่ได้เห็นหลินเซี่ยเป็นครั้งแรก ก็ยังคิดว่าเธอหน้าตาเหมือนเซี่ยอวี่

พวกเขาเผชิญกับเสียงทักแบบนี้มาตลอดหลายปี ไม่ให้รู้สึกสงสัยก็แปลกแล้ว

……………………………………………………………………………………………………

ดอกบัวขาว 白莲花 เป็นคำแสลงจีน ส่วนใหญ่ใช้ด่าผู้หญิงที่ภายนอกดูใสซื่อบริสุทธิ์ แต่ภายในคิดไม่ซื่อ มีพฤติกรรมที่ไม่ดี

สารจากผู้แปล

คิดจะมาตัดกำลังเซี่ยเซี่ยสินะ ไม่ได้ผลหรอก เพชรยังไงก็เป็นเพชรแม้จะอยู่ในกรวดทราย เข้าใจไหมยัยบัวขาว

ไหหม่า(海馬)

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

ทะลุมิติไปเป็นช่างเสริมสวยยุค 80

Status: Ongoing
เมื่อสวรรค์ได้ให้โอกาสเธอย้อนกลับมาแก้ขในสิ่งที่ผิดพลาด เธอจะใช้โอกาสนี้เป็นช่างเสริมสวยยอดฝีมือให้ได้ตามฝันอย่างไรกันนะ?เรื่องย่อ : ในชาติก่อน หลินเ เป็นสไตสต์คนโง่ผู้ร้ความคิดป็นของตัวเอง จึงถูกดาราดาวรุ่งผู้เป็นเพื่อนสนิทวางแผนทำลายชีวิตจนพังพินาศ ไร้ซึ่งเครดิต ไร้ซึ่งอำนาจ และหน้ามืดตามัวทิ้งสามีพ่อม่ายลูกติดที่คอยสนับสนุนมาตลอดได้ลงค แต่เหมือนสวรรค์ยังคงเห็นใจต่ชะตาชีวิตอันรันทดของเธอ จึงทำให้เธอได้ย้อนกลับมาเกิดใหม่ในปี 1988 อันเป็นปีที่ทุกอย่างยังไม่สายเกินกว่าแก้ หลินเชี่ยจะใช้โอกาสที่ได้มีชีวิตครั้งที่สองเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองอย่างไรบ้าง?

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน