ผู้กล้าเหนือกาลเวลา – บทที่ 55 นายกองผู้แปลกประหลาด

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

บทที่ 55 นายกองผู้แปลกประหลาด

สัมผัสได้ว่าพลังฝึกของทั้งสองคนเหมือนอยู่ในระดับรวมปราณขั้นที่หก หลังจากวิเคราะห์แล้วสวี่ชิงรู้สึกว่าไม่ใช่ภัยคุกคาม กำลังรบของตัวเองในตอนนี้สามารถสังหารได้ ดังนั้นจิตใจจึงนิ่งสงบ

เด็กหนุ่มเหมือนจะสัมผัสได้ถึงสายตาของสวี่ชิงจึงลูบคอไปโดยสัญชาตญาณ สีหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาเล็กน้อย เขารู้สึกว่าสมาชิกใหม่ข้างหน้าคนนี้ไม่เหมือนกับสมาชิกใหม่คนอื่นมากๆ

ผู้บำเพ็ญหญิงก็รู้สึกเหมือนกัน นางหรี่ตาฉายแววสนใจออกมา เลียริมฝีปาก พูดกับเด็กหนุ่ม

“เจ้าเฝ้าประตูให้ดี ข้าจะพาศิษย์น้องคนนี้เข้าไป” พูดแล้วนางก็เผยรอยยิ้มหวาน พาสวี่ชิงเดินเข้าไปข้างในกรมปราบพิฆาตด้วยตัวเอง

“ศิษย์น้อง ไปกับข้าเถอะ”

สวี่ชิงเอ่ยขอบคุณ

ชายหนุ่มที่อยู่หน้าประตูมองภาพนี้ก็ส่ายหน้าเบาๆ

“ยัยผู้หญิงเจ้าชู้คนนี้ นี่คือจะเปลี่ยนชายบำเรอหรือไร แต่เจ้าเด็กนี่แม้จะไม่ค่อยเหมือนกับสมาชิกใหม่คนอื่น แต่กรมปราบพิฆาตที่แห่งนี้ จะรอดสามเดือนไปได้หรือไม่ยังต้องว่ากันอีกเรื่อง”

ในกรมปราบพิฆาตตอนนี้ สวี่ชิงเดินตามผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าโดยรักษาระยะห่างเอาไว้ในระดับหนึ่งมาตลอดทาง เดินอยู่ในลานกว้าง ที่เห็นในสายตาล้วนเป็นลูกศิษย์สวมชุดนักพรตสีเทาเหมือนกับเขา

ทุกคนเหมือนพลังบำเพ็ญอย่างน้อยๆ ก็เป็นระดับรวมปราณขั้นห้าขั้นหกทั้งนั้น ในนั้นมีพลังบำเพ็ญระดับรวมปราณขั้นเจ็ด ขั้นแปดด้วย บางคนเย็นชา บางคนเหมือนจะอ่อนโยน บางคนตัวมีกลิ่นคาวเลือด และยังมีบางคนถือข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน เหมือนว่าจะธรรรมดามากๆ

มองโดยภาพรวมแล้ว ยากจะเห็นกลิ่นอายเหมือนกันที่เป็นของกรมกรมหนึ่ง ล้วนเว้นระยะห่างเหมือนผลักไสซึ่งกันและกัน

สวี่ชิงสังเกตรอบๆ อย่างเงียบงัน สายตากวาดไปที่คอของผู้บำเพ็ญทุกคนที่เดินผ่าน ในใจวิเคราะห์กำลังรบและตัวเองว่าจะสังหารได้หรือไม่

นี่คือสัญชาตญาณของเขา

ไม่นานนักสวี่ชิงก็ต้องยิ่งระแวงระวังมากกว่าเดิม เพราะเขาพบว่าคนที่ยากจะสังหารได้มีมาก กระทั่งว่ามีหลายคนที่ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงภัยคุกคามรุนแรง

ในขณะเดียวกันเขาก็เริ่มสังเกตโครงสร้างของกรมปราบพิฆาต ดังนั้นในสมองจึงวาดเค้าโครงอย่างรวดเร็ว

ในขณะเดียวกัน ผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้าจู่ๆ ก็ถอยหลังเข้ามาใกล้เขา แล้วหัวเราะเบาๆ

“ศิษย์น้อง ทำไมเจ้าชอบมองคอคนอื่นอยู่เรื่อยเลย”

ระหว่างพูดนางก็มาถึงลำตัวสวี่ชิงแล้ว มือขวายกขึ้นกำลังคิดจะแตะหน้าอกของเขา แต่เสี้ยวขณะต่อมาสีหน้านางก็เปลี่ยนไปทันที แล้วพลันถอยพลังไปอย่างรวดเร็ว หยิบลูกกลอนออกมาสามสี่เม็ดแล้วกลืนลงไป ในยามที่เงยห้ามองสวี่ชิง สีหน้าก็เคร่งเครียด

“ข้าไม่ชอบให้คนอื่นเข้ามาใกล้ๆ” สวี่ชิงมองผู้หญิงคนนี้อย่างสงบนิ่ง

หญิงสาวมองสวี่ชิงอย่างล้ำลึก พยักหน้า เก็บแผนในใจ ตอนนี้นางรู้แล้วว่า สมาชิกใหม่ข้างหน้าคนนี้ไม่ธรรมดาเลย

“พอจะน่าสนใจอยู่บ้าง คนอย่างเจ้าบางทีอาจจะมีชีวิตอยู่ในกรมปราบพิฆาตได้นาน” พูดจบนางก็นำทางต่อ ครั้งนี้ระหว่างทั้งสองคนไม่ใช่สวี่ชิงรักษาระยะห่างแล้ว แต่เป็นหญิงสาวที่เป็นฝ่ายรักษาระยะห่างในระดับหนึ่งเอง อีกทั้งยังไม่พูดอะไรต่ออีกด้วย

เวลาผ่านไปไม่นาน จากการนำทางของหญิงสาว อ้อมอาคารเจ็ดแปดแห่งและถนนเส้นเล็กๆ สามสี่สาย ไม่นานสวี่ชิงก็ถูกนำมายังหน้าตำหนักใหญ่ ในตำหนักแห่งนี้มืดสนิท เป็นการเปรียบเทียบกับแสงอาทิตย์ข้างนอกอย่างชัดเจน

“นายกรมเจ้าคะ มีสมาชิกใหม่มารายงานตัว ชื่อว่าสวี่ชิง” หญิงสาวมาถึงตรงนี้สีหน้าก็เคร่งขรึมยิ่งขึ้น หลังจากเอ่ยเสียงดังแล้วก็ก้มหน้ายืนนิ่งไม่ขยับอยู่ตรงนั้น

สวี่ชิงสีหน้าเคร่งเครียดเหมือนกัน ก้มหน้ารอคอย

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ในตำหนักมืดมิดก็เหมือนมีตะเกียงสองดวงสว่างขึ้นมาทันที นั่นเป็นดวงตาคู่หนึ่ง สายตามองทะลุความว่างเปล่า ยิงพุ่งออกมาจากในตำหนัก ตกมาที่ร่างสวี่ชิง

ถูกสายตานี้จับจ้อง สวี่ชิงร่างสั่นสะท้าน รู้สึกว่ามีพลังกดดันแข็งแกร่งอย่างหนึ่งกดทับมาทั้งร่าง เหมือนว่าในตำหนักแห่งนี้ มีอสูรร้ายที่แข็งแกร่งจนให้คนหายใจไม่ออกตัวหนึ่ง

สวี่ชิงขนลุกชัน หายใจหอบถี่ มือขวาแนบไว้ที่ข้างกายโดยไม่รู้ตัว ร่างงอเล็กน้อย

ดีที่สายตาคู่นี้ไม่นานก็เก็บกลับไป แต่ตอนนี้เอง ไม่รอให้สวี่ชิงได้โล่งอก ป้ายที่มือซ้ายของเขาถูกพลังแข็งแกร่งกลุ่มหนึ่งพันรัด แล้วดึงออกไป

เสียงฟุ่บดังขึ้น พุ่งเข้าไปในตำหนัก

สวี่ชิงไม่สามารถต่อกรความแข็งแกร่งนี้ได้เลย เขากระทั่งรู้สึกว่าหากพลังกระชากไม่ได้ตกมาที่ป้าย แต่มาที่ร่างของเขา น่ากลัวว่าตัวเองก็คงถูกลากเข้าไปในตำหนักทันทีเช่นกัน

สวี่ชิงเหงื่อผุดเต็มหน้าผาก หลังจากนั้นครู่หนึ่ง เสียงเย็นชาเสียงหนึ่งก็ดังออกมาจากในตำหนัก

“ไปรายงานตัวที่หน่วยปราบนิลกาฬกองที่หกเถอะ”

ป้ายฐานะและเหรียญตราเหรียญหนึ่งของสวี่ชิงก็พุ่งออกมาจากข้างในตำหนักอย่างรวดเร็วปานสายฟ้าฟาด เข้าใกล้มาหาสวี่ชิงทันทีจากคำพูดที่สะท้อนก้อง

สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง ยกมือไปคว้าเอาไว้ แรงสั่นสะเทือนที่มือสัมผัสได้จากป้ายและเหรียญตรารุนแรงมาก มันทะลักเข้ามาทั่วทั้งร่างกาย ทำให้ร่างกายท่อนบนของเขาสั่นคลอนอย่างควบคุมไม่ได้อยู่ครู่หนึ่ง แต่ขาทั้งสองกลับนิ่งมั่นคงมาก ไม่ถอยหลังไปแม้แต่ครึ่งก้าว

ภาพนี้ทำให้สายตาในตำหนักสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร แค่ค่อยๆ หลับลงไปช้าๆ อีกครั้ง

หญิงสาวที่อยู่ข้างๆ หลังจากได้เห็นปฏิกิริยาที่สวี่ชิงรับป้ายและเหรียญตรามาดวงตาก็หดเล็ก

‘ระดับการระมัดระวังเทียบเท่าได้กับคนเก่าคนแก่ของสำนัก ทั้งยังมีพลังถึงขนาดนี้…’ หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ เดิมก่อนหน้านี้หลังจากที่นางสังเกตได้ว่าสวี่ชิงไม่ได้หาเรื่องง่ายๆ ก็วางแผนไว้ว่าจะไม่ยุ่งด้วยอีกต่อไป แต่ตอนนี้ความคิดเปลี่ยนไปแล้ว นางคิดจะผูกไมตรีจิต ดังนั้นจึงเอ่ยปากขึ้น

“ศิษย์น้องสวี่ชิงข้าคุ้นเคยกับกองหกดี ข้าพาเจ้าไปเอง” พูดแล้วนางก็ส่งสัญญาณให้สวี่ชิงติดเหรียญตราได้แล้ว

สวี่ชิงสูดลมหายใจลึก หลังจากติดเหรียญตราแล้วก็ประสานหมัดโค้งคารวะไปทางตำหนัก แล้วจึงเอ่ยขอบคุณหญิงสาว

แม้เขาจะอายุน้อย แต่ประสบการณ์หลายปีทำให้เขาจับจิตใจคนได้อย่างเฉียบไว

ท่าทางของผู้หญิงข้างหน้าคนนี้เปลี่ยนไปไม่หยุด เขาเดาสาเหตุได้แล้ว

ความจริงก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ ตลอดการเดินทางครั้งนี้ ลูกศิษย์หญิงก็เป็นฝ่ายแนะนำตัวเองกับสวี่ชิงก่อน

“ศิษย์น้อง ข้าชื่อสวีเยี่ยนหง เป็นสมาชิกหน่วยปราบพสุธากองที่เก้า ข้าเป็นเวรเฝ้าประตูใหญ่วันนี้พอดี นับว่าเป็นโชคชะตาของเจ้ากับข้า”

สวีเยี่ยนหงพาสวี่ชิงเดินไปในกรมปราบพิฆาต ชี้ไปยังสิ่งก่อสร้างแต่ละแห่งแนะนำสวี่ชิงอย่างกระตือรือร้น

“ที่นี่คือสำนักงานของรองเจ้ากรม ตรงนั้นก็มีเหมือนกัน”

“ศิษย์พี่สวี ไม่ทราบว่ารองเจ้ากรมของกรมปราบพิฆาตมีกี่คนหรือ” สวี่ชิงถามขึ้นมาหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง

“กรมปราบพิฆาตเรามีเจ้ากรมหนึ่งคน รองเจ้าสี่คน แบ่งเป็นหน่วยนภา พสุธา เหลืองทอง นิลกาฬ สี่หน่วย ทุกหน่วยมีผู้ใต้บัญชาการเก้ากอง กองที่เจ้าต้องไปคือหน่วยนิลกาฬกองที่หก”

“เจ้าโชคดีไม่เลวเลย รองเจ้ากรมหน่วยนิลกาฬของพวกเจ้ามักจะปิดด่านตลอด ปกติได้เจอน้อยมาก เช่นนี้ถึงสบายไม่น้อย” ได้ยินสวี่ชิงเรียกตัวเองว่าศิษย์พี่ ลูกศิษย์หญิงใบหน้ามีรอยยิ้มปรากฏขึ้นอีกครั้ง ก่อนจะเอ่ยอธิบาย

ไม่นานนัก สวี่ชิงก็มาถึงยังหน่วยนิลกาฬจากการนำทางของนาง หน่วยนิลกาฬทั้งหมดอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของกรมปราบพิฆาต ข้างในมีอาคารเล็กๆ สิบกว่าหลัง มีผู้บำเพ็ญจำนวนไม่น้อยเข้าออกตลอดเวลา เหมือนจะยุ่งไม่น้อย

เหมือนว่าระหว่างแต่ละหน่วยจะหลีกเลี่ยงกัน ดังนั้นสวีเยี่ยนหงจึงไม่ได้เข้ามา หลังจากส่งสวี่ชิง แลกช่องทางการติดต่อแล้วก็จากไป

ที่นี่ สวี่ชิงได้พบกับนายกองของกองที่หก

เขาไม่ได้เห็นคนคนนี้เป็นครั้งแรก เขาคือชายหนุ่มที่ทำให้เขารู้สึกอันตรายที่ได้พบระหว่างทางเมื่อคืนนั่นเอง ความบังเอิญเช่นนี้ทำให้สวี่ชิงรู้สึกระแวงระวังขึ้นมาอีกครั้ง

ชายหนุ่มเมื่อได้เห็นสวี่ชิงก็กวาดตามองใบหน้าเขา ไม่นานนักก็เหมือนว่าจะจำได้ แต่เหมือนว่าจะไม่แปลกใจกับการมาถึงของเขา

ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงคล้ายครุ่นคิดอะไร ถอยหลังไปสามสี่ก้าวอย่างเงียบเชียบ

“เช้าวันนี้ข้าได้บอกกับรองเจ้ากรมชี้ตัวเจ้ามาโดยเฉพาะ คิดไม่ถึงว่าไอ้หนูเมื่อเช็ดหน้าเช็ดตาสะอาดแล้ว จะแตกต่างกับเมื่อวานมากขนาดนี้เชียว” นายกองที่หกไม่ปกปิด พูดออกมาตรงๆ

“คารวะนายกอง” สวี่ชิงมองนายกองแวบหนึ่ง เอ่ยเสียงเบา ในใจยิ่งระแวงระวังขึ้นไปอีก

“ไม่แปลกใจหรือ” นายกองที่หกคล้ายจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม

“แปลกใจขอรับ” สวี่ชิงพยักหน้า

“แปลกใจแล้วทำไมถึงนิ่งขนาดนี้” นายกองที่หกถามอย่างแปลกประหลาดใจ

สวี่ชิงพูดไม่เก่ง แต่เขารู้สึกว่าที่อีกฝ่ายพูดมาก็มีเหตุผล ดังนั้นเมื่อคิดๆ แล้ว ก็ปั้นหน้าแปลกใจออกมา

“…” นายกองที่หกเงียบไปนาน หลังจากนั้นจึงเอ่ยปากขึ้น

“เหตุที่เอาตัวเจ้ามาก็เพราะกองของข้าหลายวันนี้ตายไปหลายคน กำลังคนไม่พอ อีกทั้งภารกิจต่อไปนี้จะมากและหนักหนา” นายกองที่หกเมื่อพูดถึงตรงนี้ก็มองสวี่ชิง

สวี่ชิงเมื่อได้ยินว่าตายไปหลายคนประโยคนี้ ในใจพลันเคร่งเครียด แต่ก็ไม่ได้เอ่ยปากถาม แต่มองนายกองรอคอยคำตอบ

เห็นสวี่ชิงเป็นเช่นนี้ นายกองที่หกก็หัวเราะออกมาอย่างพอใจ

“ไม่เลว ดีกว่าสมาชิกใหม่สามสี่คนก่อนหน้านี้ สวี่ชิง เจ้ามาวันนี้วันแรกยังไม่คุ้น เช่นนี้แล้วกัน ข้าจะพาเจ้าเดินลาดตระเวนครั้งหนึ่ง ถือโอกาสบอกหน้าที่ของกรมปราบพิฆาตกับเจ้าโดยละเอียดด้วยเลย”

นายกองของกองที่หกนี้เป็นคนทำอะไรรวดเร็ว พูดจบก็ไม่ได้แนะนำสมาชิกคนอื่นๆ ให้เขา พาสวี่ชิงออกไปเดินบนถนนทันที

บนถนนที่ครึกครื้นเอะอะ นายกองที่หกพาสวี่ชิงเดินทอดน่องไปข้างหน้า ประเดี๋ยวๆ ก็ทักทายกับพ่อค้าแม่ขายที่อยู่รอบๆ ดูแล้วอ่อนโยนมาก แต่เมื่อวานสวี่ชิงได้เห็นความโหดเหี้ยมในดวงตาของเขามาแล้ว รู้ว่าคนคนนี้ไม่ได้อ่อนโยนเหมือนที่แสดงออกมา ดังนั้นจึงเริ่มรักษาระยะห่างในระดับหนึ่ง ในใจระมัดระวังขึ้นมา

ในใจเขาก็วิเคราะห์พลังบำเพ็ญของนายกองที่อยู่ข้างหน้าคนนี้ด้วย รู้สึกว่าน่าจะเป็นระดับรวมปราณขั้นเก้า ไม่ก็ขั้นสิบ

ความแข็งแกร่งด้านกำลังรบของลูกศิษย์สำนักเจ็ดเนตรโลหิตระดับรวมปราณขั้นเก้าขั้นสิบ อยู่เหนือสวี่ชิงเมื่อก่อนหน้านี้แล้ว

“เจ้าอย่าทำหน้าตึงทั้งวัน ที่นี่เจ้าต้องรู้จักทำสองหน้าให้เป็น ไม่อย่างนั้นล่ะก็อยู่ได้ไม่นานหรอก” นายกองที่หกมองสวี่ชิง

สวี่ชิงเงียบนิ่ง คิดอยู่ครู่หนึ่งก็รู้สึกว่าคำพูดนี้มีเหตุผลหน่อยๆ อยู่เหมือนกัน ดังนั้นจึงพยายามปรับใบหน้าของตัวเอง แต่ประสบการณ์เจ็ดปีไม่อาจทำให้เขาเปลี่ยนได้ในทันที

“ช่างเถอะ เจ้าค่อยๆ ปรับแล้วกัน” นายกองที่หกยิ้มอย่างจนใจ เขารู้สึกว่าตัวเองรับตัวประหลาดเข้ามา ดังนั้นเมื่อซื้อผิงกั่ว[1]จากข้างๆ มาสามสี่ลูกก็ไม่ได้แบ่งให้สวี่ชิง

สวี่ชิงมองแล้วก็ซื้อมาสองลูกเหมือนกัน

“บอกหน้าที่ของกรมปราบพิฆาตยอดเขาที่เจ็ดเราให้เจ้าฟังก็แล้วกัน กรมปราบพิฆาตยอดเขาที่เจ็ดทำเพียงแค่เรื่องเดียวเท่านั้น นั่นก็คือฆ่าคน” ระหว่างพูดนายกองที่หกเห็นชายเร่ร่อนคนหนึ่งที่ข้างถนน

ก็โยนเหรียญวิญญาณออกไปสองเหรียญอย่างสบายๆ ชายเร่ร่อนคนนั้นซาบซึ้งใจเป็นอย่างยิ่ง

สวี่ชิงมองชายเร่ร่อนคนนั้นแวบหนึ่ง อีกฝ่ายไม่ใช่ผู้บำเพ็ญ ดังนั้นในใจย้อนนึกคำพูดของนายกอง ถามขึ้นไปว่า

“ฆ่าผู้ร้ายหรือ”

นายกองที่หกกัดผิงกั่วคำหนึ่งดังกร๊อบแล้วกลืนลงไป ท่าทางเหมือนว่ามันหอมหวานมาก เอ่ยปากตอบไปด้วยสีหน้าสบายๆ

“ปกป้องประชาชนไม่ให้ถูกลูกศิษย์และขั้วอำนาจร้ายคุกคาม ให้พวกเขาหาเงินจ่ายค่าพำนักอาศัยอย่างขยันขันแข็งที่นี่ รักษาความสงบพื้นฐาน นี่ก็คือสิ่งที่หน่วยลาดตระเวนทำ แต่เมื่อพวกเขาเจอกับเรื่องที่ไม่อาจจัดการได้ ยกตัวอย่างเช่นเจอกับโจรผู้ร้ายที่ล้ำเส้นหรือผู้บำเพ็ญที่โหดเหี้ยม พวกเรากรมปราบพิฆาตก็ต้องลงมือ

“ดังนั้นสิ่งที่พวกเรากรมปราบพิฆาตเผชิญหน้าล้วนเป็นภารกิจที่อันตรายมาก สูญเสียสาหัส ก่อนหน้าเจ้า กองที่หกเปลี่ยนคนมาไม่น้อย มีทั้งออกปฏิบัติภารกิจตาย มีทั้งถูกคนลอบวางแผนฆ่า ดังนั้นต่อไปนี้เจ้าต้องระวังตัว

“แต่กรมปราบพิฆาตก็มีข้อดี นั่นก็คือค่าตอบแทนไม่เลวเลย อีกทั้งเป็นเพียงหน่วยเดียวที่สามารถจับคนร้ายไปแลกเป็นเงินได้” พูดจบนายกองก็กินผิงกั่วอีกคำ

สวี่ชิงมองผิงกั่วในมือ เงียบไปครู่หนึ่งก็ถามขึ้นอย่างจริงจังว่า

“หลังจากที่ฆ่าแล้ว สิ่งของของเขาตกเป็นของใคร”

“หืม” นายกองที่หกหันหลังมา ประเมินสวี่ชิงอย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ใบหน้าฉายรอยยิ้มบางๆ ออกมา

“น่าสนอยู่เหมือนกันนี่ เจ้าเป็นสมาชิกใหม่คนแรกที่หลังจากฟังคำอธิบายของข้าก็ถามคำถามเช่นนี้ เช่นนั้นข้าก็จะพูดกับเจ้ามากอีกหน่อย หลังจากที่เจ้าสังหารโจรร้ายหรือคนเหี้ยมโหดเพียงลำพัง สินสงครามก็จะเป็นของเจ้า แต่หากทุกคนลงมือร่วมกันก็ย่อมต้องแบ่งกัน

“นอกจากนั้น มีบางคนที่เมื่อเจ้าเห็นในเมืองหลักแห่งนี้แล้ว ทางที่ดีที่สุดคือหลีกเลี่ยง หาเรื่องล่วงเกินพวกเขาไม่ได้” นายกองที่หกพูดพลางชี้ไปยังถนนที่ห่างออกไปไกล ตรงนั้นมีชายหนุ่มสวมชุดนักพรตสีม่วงอ่อนคนหนึ่ง กำลังเดินผ่านผู้คนอย่างหยิ่งทะนง เหยียบย่างเข้าไปในร้านแห่งหนึ่ง เจ้าของร้านออกมาต้อนรับอย่างเคารพนอบน้อม

คนที่อยู่รอบๆ เมื่อเห็นชุดนักพรตบนร่างของเขาต่างมีสีหน้ายำเกรง พากันก้มหน้าลงไป แม้แต่ลูกศิษย์ที่เดินลาดตระเวนก็ต่างเป็นเช่นนี้เหมือนกัน

เหมือนว่าการปรากฏตัวของคนคนนี้เหมือนเทพเดินเข้ามาในโลกมนุษย์ ทำให้คนไม่กล้าจ้องมองตรง

สวี่ชิงดวงตาจ้องเพ่ง

“เจ้าต้องจำไว้ว่า ในเมืองหลักเจ็ดเนตรโลหิต คนที่สวมชุดนักพรตสีเข้มและชุดนักพรตสีอ่อนจะล่วงเกินหาเรื่องไม่ได้ คนด้านหน้า…คือผู้อาวุโสระดับสร้างฐานบนเขา เจ้าก็ไม่มีความสามารถไปล่วงเกินหาเรื่องได้อยู่แล้ว ส่วนคนด้านหลังคือศิษย์หลักที่สามารถพักอาศัยบนเขาได้ พวกเขาน่ะไม่ได้มีพลังบำเพ็ญระดับสร้างฐานสักคน แต่ชะตาชีวิตดี

“พวกเราตายร้อยคนล้วนไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ศิษย์หลักชะตาชีวิตดีพวกนี้ตายหนึ่งคนคือเรื่องใหญ่”

สวี่ชิงเงียบนิ่ง เงยหน้ามองไปยังยอดเขาที่เจ็ดของสำนักเจ็ดเนตรโลหิตที่อยู่ไกลๆ

“อิจฉาใช่หรือไม่ มีชีวิตอยู่ให้ดี ฝึกบำเพ็ญให้ดี ในเสี้ยวพริบตาที่เจ้าก้าวสู่ระดับสร้างฐาน ศิษย์หลักพวกนี้เห็นเจ้าก็ต้องก้มหัวให้” นายกองที่หกกัดผิงกั่ว สีหน้าเป็นปกติ

“นอกจากนั้นแล้ว ข้าจะเตือนเจ้าอีกเรื่องหนึ่ง ตามกฎในสำนักแล้วไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์ชุดเทาอย่างพวกเราเหล่านี้ฆ่าแกงกันเอง แต่ก็แค่กฎเบื้องหน้าเท่านั้น ดังนั้นเจ้าต้องรู้จักจัดการศพ ทางที่ดีที่สุดคือหลังจากเอาแต้มอุทิศและหินวิญญาณของอีกฝ่ายไปแล้ว ก็ทำให้แต้มของเขากลับเป็นศูนย์ถูกค่ายกลสังหาร…” นายกองที่หกกระแอมเสียงเบา คางก็ยื่นพยักเพยิดไปที่ถนนอีกฝั่งหนึ่ง

“ก็เหมือนคนคนนั้น”

สวี่ชิงมองตามไปทางที่นายกองที่หกยื่นคาง เห็นชายหนุ่มชุดเทาคนหนึ่งนอนอยู่ตรงนั้น ชายหนุ่มคนนี้นอนหายใจรวยริน ทั้งร่างเต็มไปด้วยบาดแผล ตอนนี้ดวงตาแฝงไว้ด้วยความเคียดแค้นและโกรธเคือง

เพียงแต่ปากของเขาถูกตบจนแตกยับเยิน แขนขาหักหมด พูดอะไรไม่ออกแม้แต่ประโยคเดียว ยิ่งไม่อาจขยับได้ ที่หน้าอกมีป้ายฐานะวางเอาไว้ ตัวเลขบนนั้นเป็นศูนย์แล้ว

ไม่นานนัก ชายคนนี้เลยกำหนดเวลาที่ต้องออกไป จากแสงสีดำที่พุ่งลงมาจากฟ้าสายหนึ่ง ร่างของเขาก็กระตุกอย่างรุนแรง ร่างกายและจิตวิญญาณสลายสิ้นกลายเป็นเถ้าถ่านต่อหน้าต่อตาสวี่ชิง

พลังชีวิตเหมือนถูกกระชากออกไป หลอมรวมไปในความว่างเปล่า สูญสลายไป

ภาพนี้ทำให้สวี่ชิงดวงตาจับจ้อง ส่วนคนที่เดินไปมารอบๆ ก็เหมือนจะชินชา ทุกคนไม่แม้แต่จะมอง ยังคงเดินจากไปอย่างเร่งรีบเย็นชา

“คนคนนี้ ก่อนหน้านี้ก็ฆ่าศิษย์ร่วมสำนักไปมากมาย วันนี้ถูกคนฆ่าทิ้งก็เป็นเรื่องปกติ” นายกองยิ้ม กำลังจะเอ่ยต่อ แต่สีหน้าพลันเคร่งเครียด มองไปยังบริเวณที่ไม่ไกล

สวี่ชิงที่อยู่ข้างๆ แทบจะหันไปพร้อมกับเขา มองไปทางตรอกที่อยู่ไม่ไกล ตรงนั้นมีระลอกคลื่นไอพลังประหลาด

สถานที่ที่พวกเขาอยู่นับว่าเป็นบริเวณที่จอแจ แต่ตรอกแห่งนี้กลับมืดมิด ไม่เข้ากับรอบข้าง คนบนถนนส่วนมากล้วนหลบเลี่ยง

“กลางวันแสกๆ กลับยังกล้าทำแบบนี้” นายกองที่หกถอนหายใจ

“ศิษย์น้อง เจ้ารอข้าสักเดี๋ยว” พูดแล้วก็ถือผิงกั่วที่กินใกล้หมดแล้วพลางเดินไปทางตรอกที่อยู่ไม่ไกล สวี่ชิงหรี่ตา มองนายกองเดินเข้าไปในตรอก แค่สิบกว่าอึดใจเท่านั้น เงาร่างของนายกองที่หกก็เดินออกมาจากตรอกพลางกัดกินผิงกั่วไปด้วย

กลิ่นคาวเลือดจางๆ ลอยอวลบนร่างเขา

สวี่ชิงกวาดตามองตรอก

“มีเจ้าคนดวงซวยคนหนึ่งปลูกถ่ายอวัยวะของอสูรกลายพันธุ์ผิดพลาด ทั้งคนกลายเป็นอสูรกลายพันธุ์ไป ข้าขอเตือนเจ้าว่าในอนาคตอย่าได้เดินเส้นทางสายนี้ แม้พลังบำเพ็ญจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่จะเกิดภัยตามมาอีกไม่มีที่สิ้นสุด” นายกองที่หกยิ้มอย่างอ่อนโยน ใบหน้าไร้ซึ่งพิษภัย เดินไปข้างหน้าต่อ

สวี่ชิงเงียบ คนที่เขาฆ่าไปเมื่อคืนวานนี้ก็ปลูกถ่ายอวัยวะอสูรกลายพันธุ์เช่นกัน และก่อนหน้านี้ สวี่ชิงก็ไม่รู้ว่าที่แท้แล้วสามารถทำแบบนี้ได้ด้วย

ตอนนี้เขาพยักหน้า มองนายกองกินผิงกั่วอย่างเอร็ดอร่อย ดังนั้นจึงหยิบผิงกั่วที่ตัวเองซื้อมากินไปคำหนึ่งบ้าง มันหวานหอมจริงๆ ด้วย

ทั้งสองคนกินผิงกั่วพลางเดินไปในเมืองไปเช่นนี้ เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป นายกองที่หกกินไว สวี่ชิงกินช้า

ภายหลังนายกองมองผิวกั่วอีกลูกในมือของสวี่ชิงอยู่หลายครั้ง

สวี่ชิงก็มองเขาพลางกัดกินอีกคำ

นายกองถูจมูก หยิบส้มออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วเริ่มกิน

“บอกถึงภารกิจในช่วงนี้กับเจ้าก็แล้วกัน เป้าหมายหลักของพวกเราในช่วงนี้ก็คือค้นหาพรรคพวกหลงเหลือของนกเขาราตรี”

“นกเขาราตรี?” สวี่ชิงดวงตาเพ่งจ้อง

“นกเขาราตรีเป็นกลุ่มที่ใหญ่และลึกลับมาในทวีปปักษาสวรรค์ทักษิณ ลักพาตัวเด็กและผู้บำเพ็ญโดยเฉพาะเพื่อเอาไปเป็นคนเลี้ยงของวิเศษ ปกติแล้วทำเรื่องสกปรกพวกนี้ข้างนอกก็ช่างเถิด แต่ช่วงนี้กลับกล้ามาทำเรื่องแบบนี้ในเมืองเจ็ดเนตรโลหิต ทำให้ประชาชนหวาดกลัว หากเป็นแบบนี้ต่อไป เหล่าบุคคลยิ่งใหญ่บนภูเขาเหล่านั้น เห็นรายได้น้อยก็จะไม่พอใจ

“เมื่อคืนเจ้าก็เห็นแล้วว่า นายของพวกมันถูกรองเจ้ากรมสังหารไปแล้ว ส่วนพรรคพวกที่เหลือพวกเรากรมปราบพิฆาตทั้งเจ็ดเขตต้องลงมือด้วยกัน ออกค้นหาขุดรากถอนโคน”

สวี่ชิงได้ยินคำ ประกายเย็นเยียบก็ฉายวายในดวงตา เขาคิดถึงชายชราของคาราวานที่ตัวเองสังหารคนนั้นทันที ดวงตาค่อยๆ หรี่ลง พยักหน้าเบาๆ

นายกองที่หกเป็นคนฉลาด กวาดตามองสวี่ชิงเพียงแวบเดียวก็เหมือนจะมองอะไรบางอย่างออก แต่ก็ไม่ได้ไปถาม กลับพาสวี่ชิงเดินทอดน่องไปในเมือง แนะนำเรื่องการลาดตระเวน

ระหว่างทาง สวี่ชิงเห็นเด็กเร่ร่อนคนหนึ่ง ดังนั้นจึงนึกถึงการกระทำก่อนหน้านี้ของนายกอง ดังนั้นจึงให้เหรียญวิญญาณไปเหรียญหนึ่งเช่นกัน

“เอ๋ นี่คือสายของเจ้าเหมือนกันอย่างนั้นหรือ” นายกองกะพริบตาปริบๆ มองสวี่ชิงที่เหมือนจะหัวเราะแต่ก็ไม่หัวเราะ

สวี่ชิงอึ้ง เข้าใจขึ้นมาทันที แม้จะไม่ได้พูดอะไร แต่ก็มีความรู้สึกเหมือนถูกปั่นหัวเสียแล้ว

ไม่นานนัก ในยามที่พลบค่ำใกล้มาเยือน พวกเขาก็มาถึงท่าเรือ

ในบริเวณที่วางสินค้าที่ขนส่งมามหาศาลกองพะเนินจนเหมือนภูเขาลูกย่อมๆ แต่ละลูกๆ ก็มีเสียงซื่อๆ ไร้เล่ห์เหลี่ยมดังลอยมาจากที่ไกลตามการเดินเข้ามาใกล้ของพวกเขา

“เจ้าพูดมากอีกประโยค ข้าจะฉีกปากเจ้า”

สวี่ชิงเงยหน้าไปมอง ก็เห็นลูกศิษย์ยอดเขาที่เจ็ดคนหนึ่งย่อตัวนั่งอยู่ข้างกองสินค้าไม่ไกลทันที คนคนนี้เป็นชายกลางคน หน้าตาดาษดื่น ท่าทางซื่อๆ ขี้ขลาด

คำพูดนี้เป็นเขาที่พูดมันออกมา

ข้างหน้าเขาคือชายชราสวมเสื้อผ้าหรูหราคนหนึ่ง ตอนนี้สีหน้าแฝงด้วยความโกรธ เห็นได้ชัดว่าเกิดการโต้เถียงกันระหว่างชายกลางคนเมื่อครู่คนนั้น

“จะฉีกปากใครกัน จางซาน” นายกองที่หกกินส้มในมือหมดก็หยิบสาลี่ออกมาลูกหนึ่ง หลังจากกัดไปคำหนึ่งก็เดินไป

เห็นนายกองที่หกชายชราคนนั้นหน้าเปลี่ยนสี รีบจากไปทันที ส่วนลูกศิษย์กลางคนที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็หันกลับมามองนายกองที่หก ยิ้มซื่อๆ หลังจากทักทายแล้ว ก็ยิ้มซื่อให้สวี่ชิงด้วย

“นี่สวี่ชิง สมาชิกมาใหม่ของกรมปราบพิฆาต” นายกองที่หกยิ้มพลางเอ่ยแนะนำ จากนั้นก็ชี้ไปที่ชายกลางคนแล้วพูดกับสวี่ชิง

“เขาชื่อจางซาน แต่ก่อนเป็นสมาชิกของกรมปราบพิฆาต ต่อมากลัวตาย ย้ายมาที่กรมขนส่ง อย่าเห็นว่าหน้าตาท่าทางดูซื่อแบบนี้เชียวล่ะ ผู้ฝึกไร้สังกัดโจรสลัดที่ตายด้วยมือเขา…”

“กองจนเต็มที่นี่ได้เลย” นายกองที่หกทำมือเปรียบเทียบกับกองสินค้ามหาศาล

สวี่ชิงระวังตัวขึ้นมาทันที และสิ่งที่ทำให้เขาต้องยิ่งตั้งสมาธิก็คือเขาสัมผัสระลอกคลื่นที่แข็งแกร่งมากๆ จากอีกฝ่ายไม่ได้เลย หากเป็นแบบที่นายกองพูดมาจริงๆ เช่นนั้นก็เห็นได้ชัดว่า จางซานที่หน้าตาธรรมดาๆ คนนี้มีจุดที่แปลกประหลาด

“จะใช่ได้อย่างไรกัน ข่าวลือทั้งนั้น ข้าก็แค่ฆ่าโจรกระจอกไม่กี่คนก็เท่านั้น เฮ้อ ตอนนี้ในใจข้ายังรู้สึกสงสารอยู่เลย” จางซานบิดมือ หัวเราะซื่อๆ ต่อไป

สวี่ชิงเงียบนิ่ง เขาไม่เห็นความสงสารแม้เพียงเศษเสี้ยวบนใบหน้าของอีกฝ่ายเลย

“ศิษย์น้องสวี่ชิง อย่าไปฟังนายกองพูดเพ้อเจ้อ วันข้างหน้าฝากตัวด้วยนะ” จางซานพูดพลางค้นของในตัว แล้วยื่นกระดูกสัตว์ชิ้นหนึ่งไปให้

“ของกำนัลแรกพบ”

[1] แอปเปิล

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

ผู้กล้าเหนือกาลเวลา

Status: Ongoing
เมื่อเขากลายเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวในเมืองที่ถูกพลังของเทพเจ้าทำลายล้าง…รายละเอียดกำลังภายใน-เทพเขียนเรื่องใหม่จากนักเขียนชื่อดัง ‘เอ่อร์เกิน’ ผู้เขียน ‘หนึ่งความคิดนิจนิรันดร์’ ‘สู่วิถีสุรา’ ฟื้นลิขิตฟ้าข้าขอเป็นเขียน’ ‘หนึ่งฝ่ามือสยบโลกา’ เมื่อเทพเจ้าลืมตาจับจ้องมา โลกก็เกิดการเปลี่ยนแปลง ไอพลังประหลาดกระจัดกระจายไปทั้งโลกมนุษย์ เกิดการกลายพันธุ์ต่อสรรพชีวิตบนโลก ‘สวี่ชิง’ เด็กหนุ่มผู้รอดชีวิตใช้ชีวิตเพียงลำพัง ดิ้นรนเอาตัวรอดจากอสูรร้ายและไอพลังประหลาดได้พบกับพลังวิเศษ แต่ในโลกกลียุคเช่นนี้ ปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีชีวิตรอด เพื่อที่จะแก้แค้นให้กับคนที่รัก เพื่อตามหาครอบครัวที่อาจจะมีชีวิตอยู่ที่ใดสักแห่ง เขาจะต้องแข็งแกร่งขึ้นให้ได้ . . . เขาต้องรอด!!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท