บทที่ 274 ดินแดนลับพังทลาย
บทที่ 274 ดินแดนลับพังทลาย
ลู่หยวนเงยหน้า สายตาเต็มไปด้วยการเย้ยหยัน
หม้อเบิกสวรรค์ซึ่งอยู่ระหว่างทั้งสองคนถูกปกคลุมด้วยแสงสีทอง พลังยังคงแผ่ออกมาจากร่างของลู่หยวนขณะที่หลั่งไหลไปยังอีกฝ่าย
พลังอันแข็งแกร่งทำให้ปราณวิญญาณสั่นไหว และทั่วทั้งพื้นที่ในดินแดนลับเริ่มแตกร้าว
เดิมที ผู้มาจากแดนเซียนยังคงหัวเราะเสียงดัง แต่เมื่อผ่านไปเพียงหนึ่งถ้วยชา พลังที่ถูกถ่ายมาจากร่างของลู่หยวนกลับไม่อ่อนกำลังลง และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
พลังอันยิ่งใหญ่ประหนึ่งขุนเขาเหนือท้องทะเลนี้ใช่สิ่งที่เจ้าเด็กคนนี้ควรจะมีหรือ!
รูม่านตาของผู้มาจากแดนเซียนหดลงด้วยความตกตะลึง
พลังเหล่านี้พุ่งเข้าสู่ร่างกายอย่างรวดเร็วจนเติมเต็มทะเลลมปราณ ผ่านไปเพียงสองถ้วยชาก็รู้สึกได้ว่ามันกำลังขยายตัว
หลังจากนั้น เขาสัมผัสได้ว่าพลังยังคงไหลเวียนอยู่ภายในร่างกาย
พลังเหล่านี้ไม่ยอมรับการควบคุมของเขา ขณะที่กระจายไปตามแขนขาและกระดูกอย่างบ้าคลั่ง
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป พลังนี้จะทำลายเขาเมื่อใดก็ขึ้นอยู่กับเวลาแล้ว!
เขาตัดสินใจปล่อยหม้อเบิกสวรรค์แล้วถอยออกมาอย่างเด็ดขาด
ทว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์สังเกตเห็นการเคลื่อนไหวดังกล่าว ก่อนจะขยับมือ พลังมารทั่วท้องนภาทะยานออกมาเพื่อพันธนาการแขนขาและร่างของอีกฝ่ายไว้อย่างแน่นหนาประหนึ่งโซ่ตรวน
“ไม่ต้องรีบร้อน! ข้าจะเป็นคนส่งเจ้าไปเอง!”
“สู่แดนสุขาวดี!”
หลังจากสิ้นคำ พลังในร่างของลู่หยวนก็เพิ่มขึ้นประหนึ่งแรงกดดันจากสวรรค์ ก่อนจะถ่ายเทไปยังอีกฝ่าย
ร่างมายาของผู้มาจากแดนเซียนที่เดิมเป็นสีทองพลันสั่นไหว ขณะที่ขยายตัว เมื่อดวงตาสีขาวกลายเป็นแดงก่ำ ลูกตาซึ่งอยู่ตรงหน้าผากก็เริ่มกลอกไปมา
เมื่อร่างขยายตัวจนถึงขีดสุด เสียง ‘ปัง’ ก็ดังขึ้นก่อนที่ร่างมายาจะสูญสลายเป็นแสงสีทอง
พลังซึ่งเป็นของลู่หยวนมลายหายไป
วิถีกระบี่และพลังมังกรซึ่งเป็นพลังสองรูปแบบหลอมรวมเข้าด้วยกันจนเกิดเป็นหลุมดำขนาดใหญ่ มันคงอยู่ในท้องฟ้าขณะสั่นไหวไปมา
วิ้ง!
ตูม! ตูม! ตูม!
พลังหลากสีสันระเบิดออกมา ก่อนที่แสงสีขาวจะเข้าปกคลุมทั่วทั้งดินแดนลับ
ค่ายกลภายนอกสั่นไหวอย่างรุนแรงและเริ่มพังทลาย
ยามค่ายกลหลายสิบแห่งซึ่งอยู่ทั่วดินแดนลับถูกทำลาย ทำให้ศิษย์ทั้งหลายผู้ยังอยู่ข้างในได้รับผลกระทบ พวกเขายังไม่ทันได้เก็บเกี่ยววาสนาหรือมรดกก็ถูกขัดจังหวะ ก่อนจะถูกส่งออกไปข้างนอก
มู่พ่านซานผู้กำลังพาจักรพรรดินีกลับไปที่ห้องบรรทมสังเกตเห็นการเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จึงหันไปทางหอคอยสวรรค์ประทาน
ความปั่นป่วนเช่นนี้ใช่ว่าใครจะทำได้!
มู่พ่านซานครุ่นคิดสักพัก ขณะที่ดวงตาปรากฏความสงสัย
หรือว่าอาวุธวิเศษไม่ได้ทำงานผิดพลาด บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ยังอยู่ในดินแดนลับงั้นหรือ?!
มู่พ่านซานออกคำสั่งให้สาวใช้ผู้อยู่ข้างกายพาจักรพรรดินีกลับวัง ก่อนจะขยับเพียงหนึ่งก้าวทะยานสู่หอคอยสวรรค์ประทาน
ดินแดนลับที่ลู่หยวนอยู่พังทลายเป็นแห่งสุดท้ายก่อนจะถูกปิดตาย เขาเก็บหม้อเบิกสวรรค์เข้าไปในแหวนเก็บของแล้วเดินออกมาอย่างสงบ
ทันทีที่ออกมา เขาก็ได้ยินเสียงจากภายนอก
“พวกเจ้ายังไปไหนไม่ได้!”
ชายผู้หนึ่งซึ่งแขนขวาขาดถือมีดแล่เนื้อในมือซ้ายมีสีหน้าเกรี้ยวกราด เบื้องหน้าของเขามีกองร่างไร้วิญญาณเกลื่อนอยู่
อีกฝ่ายยังคงตวัดมีดในมือไปทางศิษย์รุ่นเยาว์พลางสบถคำหยาบคายตลอดเวลา ชวนให้แสลงหู
ลู่หยวนถอยออกมาแล้วกวาดสายตามอง จึงพบว่าศิษย์เหล่านั้นต่างเป็นผู้อยู่สิบอันดับแรกของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์
ศิษย์ผู้ถือกระบี่ยาวด้วยมือข้างหนึ่งมีสีหน้าไม่มั่นใจราวกับหวาดกลัวตัวตนของอีกฝ่าย เขาสะกดโทสะเอาไว้แล้วก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะประสานมือขึ้น “ท่านสวีชู่ ตอนนี้ถึงเส้นตายสามวันตามที่เคยกล่าวไว้แล้ว พวกข้าควรได้กลับไปฝึกฝนตนที่สำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ ขืนล่าช้ากว่านี้ อาจารย์ในสำนักจะเป็นกังวล”
สวีชู่กวัดแกว่งมีดแล่เนื้อในมือเพื่อกดดันให้อีกฝ่ายถอยไป ดวงตาของเขาจับจ้องด้วยความโกรธจนแทบถลนออกมา
“กังวลหรือ? บอกแล้วไงว่าพวกเจ้าต้องอยู่ที่นี่! หากอยากรนหาที่ตายนัก ข้าก็จะช่วยสนองด้วยการฟันให้!”
ใบหน้าของศิษย์ผู้นั้นเต็มไปด้วยน้ำลาย ถึงกระนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ ก่อนจะเอ่ยเสริมว่า “พวกข้าคือศิษย์ของสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์! เป็นคนที่บรรพชนกระบี่”
ก่อนจะทันได้เอ่ยจบ สวีชู่ส่งมีดไปจ่อคอของอีกฝ่าย คิ้วขมวดเข้าหากันแล้วพูดว่า “เจ้าพูดพอแล้วหรือยัง?”
ศิษย์ผู้นั้นหุบปากทันทีก่อนก้าวถอยอย่างระแวดระวัง
สีหน้าของสวีชู่อ่อนลงหลังจากเห็นการกระทำนั้น ก่อนจะชักมีดแล่เนื้อกลับ
สวี่หลิวอวิ๋นซึ่งอยู่อีกด้านก้าวมาข้างหน้าจนมาหยุดอยู่ข้างกายอีกฝ่าย เขาเอ่ยสรรเสริญก่อนปิดท้ายด้วยประโยคขอให้เทียนจวินอำนวยพร
“พี่สวี เหตุใดต้องโกรธเช่นนี้ พวกเขาเป็นเพียงรุ่นเยาว์กลุ่มหนึ่งเท่านั้น”
ศิษย์ทั้งหลายรู้สึกตื้นตันเมื่อเห็นสวี่หลิวอวิ๋นออกหน้าให้
ท่านสวี่หลิวอวิ๋นคือปรมาจารย์ยันต์อันดับหนึ่งในแผ่นดินหลัก แม้แต่อู่หมิงเสวี่ยผู้เป็นประมุขสำนักอักขระสวรรค์ยังต้องประสานมือทำความเคารพต่อหน้าเขา!
เมื่อเห็นผู้อื่นนิ่งงันไปนาน สวี่หลิวอวิ๋นจึงยิ้มบางพลางกระชับชุดคลุมนักพรต “หากพี่สวีไม่พอใจ ข้าจะทำให้พวกเขากลายเป็นยันต์ นับตั้งแต่เข้าวังจักรพรรดิแดนมัชฌิมมา ข้าก็ไม่ได้ใช้ผู้คนเป็นยันต์อีกเลย”
น้ำเสียงของสวี่หลิวอวิ๋นเปี่ยมด้วยความคะนึงหา
ทว่าคำพูดดังกล่าวที่ลอยเข้าหูศิษย์ทั้งหลายประหนึ่งเสียงกระซิบของปีศาจ
ต้องทราบก่อนว่ายันต์มนุษย์ในมือของสวี่หลิวอวิ๋นถูกหลอมมาจากคนที่ยังมีชีวิต!
ผู้ที่ถูกหลอมไม่เพียงตายอย่างเวทนา แม้กระทั่งวิญญาณก็ถูกกักขังเพื่อทำหน้าที่เสริมพลังให้แก่ยันต์มนุษย์จนกว่าจะสูญสลาย
“เหตุใดท่านอาต้องทำให้พวกเขาหวาดกลัวด้วยเรื่องตลกเช่นนี้เล่า?”
สายตาทุกคู่จับจ้องไปทางต้นเสียงอันเย็นชาซึ่งดังมาจากดินแดนลับ
ค่ายกลภายในดินแดนลับเริ่มเคลื่อนไปมา ก่อนที่ร่างประหนึ่งเซียนผู้ถูกเนรเทศจะปรากฏขึ้นตรงหน้า
ผู้ออกมาคือชิวชิงหลี!
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ใบหน้าของสวีชู่กับสวี่หลิวอวิ๋นจึงประดับด้วยรอยยิ้ม
สวี่หลิวอวิ๋นเอ่ยเป็นคนแรก “คุณหนูจากตระกูลชิวนี่เอง ไม่ได้พบกันเสียนาน”
ชิวชิงหลีเยื้องย่างเพียงไม่กี่ก้าวก็ปรากฏกายตรงหน้าทั้งสอง ก่อนจะแสดงความเคารพต่ออีกฝ่ายด้วยท่วงท่าอันงดงามที่ปราศจากอารมณ์
“ชิงหลีคารวะท่านอา”
สวีชู่หัวเราะเสียงดัง “ไม่ต้องสุภาพหรอก ช่วงนี้ตาเฒ่าตระกูลชิวเป็นอย่างไรบ้าง?”
ชิวชิงหลียิ้มบางแล้วตอบกลับ “ท่านบรรพชนสบายดี”
สวีชู่ยิ้มแล้วพยักหน้า “น่ายินดี น่ายินดี!”