บทที่ 284 เผ่าสาปมาร
บทที่ 284 เผ่าสาปมาร
ร่างของคุนเผิงยืนตระหง่านเหนือท้องฟ้าปิดบังท้องนภาไว้ครึ่งหนึ่ง มีกลุ่มเมฆสีดำกำลังเคลื่อนตัวเหนือศีรษะยักษ์ของมัน
ลู่หยวนไม่ต่างจากมดตัวเล็กยามอยู่ตรงหน้ามัน แต่ความสงบของเขาก็ไม่อาจเพิกเฉยได้
โดยเฉพาะหอกยาวที่มีมังกรเจินหลงพันรอบอยู่ก็ยิ่งน่าสะพรึงกลัว
เนตรเทวะบนหน้าผากของลู่หยวนเปิดออก ดวงตาสีโลหิตก็เริ่มเปลี่ยนไป
เพียงกวาดมองร่างของคุนเผิง เขาก็พบว่ามีปราณวิญญาณแผ่ออกมาจากอักขระของค่ายกลปรภพ
ต้องทราบก่อนว่าค่ายกลปรภพคือค่ายกลแปลกประหลาด ซึ่งกักเก็บศพมากมายเอาไว้
ผู้ที่เชี่ยวชาญอักขระค่ายกลปรภพสามารถใช้งานพลังของมัน เพื่ออัญเชิญซากศพทรงพลังที่อยู่ภายในนั้นออกมาต่อสู้ได้!
ภายในค่ายกลยามนี้มีเพียงความเงียบงัน ปราศจากปราณวิญญาณ!
แต่เมื่อครู่กลับมีปราณวิญญาณแผ่ออกมาจากอักขระ แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ก็สัมผัสได้!
ลู่หยวนหรี่ตาลงพลางคาดเดา
หรือว่าสถานที่แห่งนี้ถูกใครบางคนรุกล้ำจนไม่หลงเหลือความปลอดภัยอย่างที่คนนอกร่ำลือกันอีกแล้ว?!
หากเป็นเช่นนี้ คนเหล่านี้อาจจะควบคุมค่ายกลปรภพได้ในไม่ช้าก็เร็ว ถึงตอนนั้น ซากศพนับไม่ถ้วนที่อยู่ข้างในก็จะถูกควบคุม!
หากพวกมันรวมตัวเป็นกองทัพก็จะมีพลังมหาศาล!
เมื่อคิดถึงตรงนี้ ลู่หยวนก็รู้สึกว่าพื้นที่โดยรอบถูกบีบอัดอย่างรวดเร็ว จากนั้นพลังอันแกร่งกล้าพลันเคลื่อนลงมาจากอากาศ
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้น ก็พบกับหมัดยักษ์ที่เหวี่ยงลงมาจากท้องนภา ซึ่งปกคลุมด้วยรัศมีสีดำและสีเขียวอันแปลกประหลาด และมีอักขระสีดำโคจรอยู่รอบ ๆ รัศมีเหล่านั้น ทุกสิ่งที่อักขระเหล่านี้
กวาดผ่านล้วนถูกย้อมเป็นสีม่วงและสีดำ ซึ่งดูแปลกประหลาดยิ่ง
ลมพายุพัดเข้ามาจนฟ้าดินสั่นสะเทือนประหนึ่งวันสิ้นโลก
ลู่หยวนหยิบหอกพันมังกรเก้าสวรรค์จากด้านหลังอย่างไม่รีบร้อน ก่อนจะหันปลายหอกไปทางหมัดของคุนเผิง
จักรพรรดินีที่ยืนอยู่ไกลออกไปคิ้วขมวด หรือว่าบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่เสียสติไปแล้ว?!
แม้แต่นางก็มองออกว่าหมัดที่คุนเผิงเหวี่ยงลงมาปกคลุมด้วยชั้นอักขระสาปพิษ!
หากสัมผัสมันจะมีปัญหาใหญ่ตามมา!
หอกพันมังกรเก้าสวรรค์ในมือของลู่หยวนเป็นเพียงอาวุธระดับจักรพรรดิ จึงไม่อาจขัดขืนอักขระสาปพิษนี้ได้ ต่อให้มีมังกรเจินหลงพันอยู่ก็ต้านทานไม่ได้!
ขณะจักรพรรดินีครุ่นคิด หมัดยักษ์ของคุนเผิงก็เคลื่อนลงมา ส่วนลู่หยวนชูหอกขึ้นแล้วแทงสวนกลับไป
ตูม!
เมื่อหอกและหมัดปะทะกัน รอบข้างก็พังทลาย
พลังอันมหาศาลกวาดไปทั่วทุกสารทิศโดยมีลู่หยวนเป็นศูนย์กลาง
ก้อนหินเบื้องล่างถูกปกคลุมด้วยแสงสีขาวที่กวาดผ่านไปตามคลื่นอากาศ จากนั้นพวกมันพลันกลายเป็นผุยผง
ยามที่คลื่นอากาศกวาดมาถึงตรงหน้าจักรพรรดินี อาวุธวิเศษสามชิ้นรอบข้างพลันสั่นไหว ก่อนที่โล่สามชั้นจะปรากฏขึ้นเพื่อปกป้องชีวิตของนาง
ปัง!
เกิดเสียงดังสนั่น คลื่นอากาศกวาดล้างสรรพสิ่งรอบกายของจักรพรรดินีจนไม่เหลือซาก
นางรู้สึกเพียงแค่ว่า แสงสีขาวเจิดจ้าจนมองไม่เห็นสิ่งใด เมื่อมันกวาดผ่านพร้อมกับคลื่นอากาศ รอบข้างกลับกลายเป็นความว่างเปล่า เสียงต่าง ๆ เงียบลงคล้ายกับถูกทำให้หายไป
แสงสีขาวคงอยู่เพียงสามอึดใจก่อนจะหายไป จากนั้นจักรพรรดินีจึงรีบเงยหน้ามองท้องนภาซึ่งอยู่ห่างไกล
นางจึงพบว่าคุนเผิงยังคงตั้งท่าเหวี่ยงหมัดลงมาอยู่บนท้องฟ้า โดยอักขระสีเขียวและสีดำกำลังส่องแสงอยู่ราวกับกำลังสำแดงพลัง!
ส่วนบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ยืนตัวตรง พร้อมกับกุมหอกยาวชี้เข้าหาหมัดยักษ์ พลังสีทองซึ่งอยู่ที่ปลายหอกยังคงผันผวน ในขณะที่มังกรเจินหลงที่พัวพันรอบหอกสำแดงพลังมังกรออกมา
พลังทั้งสองซึ่งแตกต่างกันกำลังเข้าปะทะกัน เกิดแรงกดดันอันมหาศาลระหว่างหมัดและปลายหอกพุ่งออกมา
“บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ป้องกันได้งั้นหรือ?!”
จักรพรรดินีไม่อยากเชื่อตาตัวเอง แต่ถ้าพูดถึงเล่ห์เหลี่ยมของบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ การจะต้านหมัดนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องใหญ่ ถึงอย่างไร ความสำเร็จในสำนักมายาศักดิ์สิทธิ์ของอีกฝ่ายก็น่าประทับใจ นอกจากนี้เงามายาก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวที่ไม่มีจิตเทวะและวิญญาณของคุนเผิงอยู่ในค่ายกลปรภพ
สำหรับบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่ อาจเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อย
แต่สิ่งสำคัญก็คือคุนเผิงมีอักขระสาปพิษจำนวนมากอยู่ตามร่างกาย!
อักขระเหล่านี้คือปัญหาใหญ่!
พวกมันกวาดผ่านไปพร้อมกับความผันผวนของปราณวิญญาณรอบข้าง เมื่อสัมผัสบนร่างของมนุษย์ อักขระต้องสาปเหล่านี้ก็จะทะลวงเข้าสู่เส้นลมปราณอย่างรวดเร็ว ก่อนจะไหลเวียนเข้าสู่ทะเลลมปราณและจิตเทวะเพื่อปิดกั้นเส้นประสาท จากนั้นพิษจะกระจายไปทั่วจนเปลี่ยนมนุษย์ให้กลายเป็นศพพิษ!
แม้แต่จ้าวยุทธ์ก็ยังรู้สึกหวาดกลัว!
ถึงแม้บุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่จะใช้กลอุบายจนสามารถต่อสู้กับจ้าวยุทธ์ได้ แต่ร่างกายหาได้แข็งแกร่งไม่ หากสิ่งนี้แปดเปื้อนร่าง เขาก็จะถึงแก่ความตายเป็นแน่!
ถึงอย่างไร สิ่งที่อยู่ตรงหน้ากำลังบอกจักรพรรดินีว่าอักขระพิษเหล่านี้ไม่มีค่าในสายตาของบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่แม้แต่น้อย!
อักขระสาปพิษที่มักจะถูกมองว่าเป็นหายนะ กลับไม่อาจเข้าใกล้ร่างของอีกฝ่ายได้!
จักรพรรดินีเพ่งมอง ก่อนจะพบว่าอักขระสาปพิษซึ่งอยู่รอบหมัดของคุนเผิงประหนึ่งอสรพิษขนาดเล็ก พวกมันกำลังพุ่งเข้าหาบุตรศักดิ์สิทธิ์ลู่อย่างบ้าคลั่ง แต่กลับมีพลังแกร่งกล้าขัดขวางไม่ให้รุกคืบต่อได้
ทางฝั่งลู่หยวนมีหมู่เมฆสีแดงผันผวนอยู่รอบกายบนท้องนภา พลังแห่งแดนรกร้างลอยล่องอยู่เพื่อขัดขืนแรงกดดันมหาศาล
ส่วนคุนเผิง มีหมู่เมฆสีดำเคลื่อนไปมาขณะที่กลิ่นซากศพเน่าเปื่อยคละคลุ้งในอากาศ
ผืนฟ้าระหว่างทั้งสองคนแตกสลายประหนึ่งรอยแยก
หมู่เมฆลอยลงมาจากฟากฟ้า ก่อนจะผันผวนไปมา ทำให้ไม่มีพลังของฝ่ายใดข้ามรอยแยกมาได้!
ขณะที่เข้าปะทะกัน ค่ายกลปรภพบนร่างของคุนเผิงพลันสั่นไหวอีกครา
เสียงหนึ่งดังมาจากที่ใดไม่ทราบ “เจ้าต่อกรกับคุณเผิงที่ข้าควบคุมได้ขนาดนี้นับว่าไม่เลว”
เสียงนั้นกระจ่างใสจนดูเหมือนเด็กน้อยที่มีอายุเพียงสิบปี
ลู่หยวนกวาดสายตามองอักขระในค่ายกลปรภพ “ข้าเคยได้ยินมาว่าเมื่อห้าแสนปีก่อน มีเผ่าพันธุ์หนึ่งที่ยอมเสี่ยงชีวิตเพื่อก้าวเข้าสู่ค่ายกลปรภพ แต่ผ่านไปเพียงสิบวัน สมาชิกเผ่าพันธุ์จำนวนห้าพันเก้าร้อยสิบเอ็ดชีวิตต่างหายตัวไป”
“ทุกคนจึงคิดว่าเผ่าพันธุ์นี้เสียชีวิตอยู่ในค่ายกลปรภพ ข้าเองก็เคยคิดแบบนั้น แต่วันนี้ ความคิดได้เปลี่ยนไปแล้ว!”
“ใช่หรือไม่ ลูกหลานของเผ่าสาปมาร!”
คำพูดของลู่หยวนเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจราวกับรับรู้ถึงตัวตนของอีกฝ่าย!
เสียงหัวเราะอันแผ่วเบาด้วยความสำราญแว่วมา ไม่ช้าก็กระจายไปทั่วทั้งท้องฟ้า
เมื่อเสียงหัวเราะจางหาย เสียงของเด็กชายจึงดังขึ้น “ข้าไม่นึกเลยว่าจะยังมีคนบนแผ่นดินหลักที่จดจำเผ่าสาปมารได้!”